"แสนสิริ" เปิดแผน-กลยุทธ์รุกปี 2554 เร่งขยายโปรเจกต์ใหม่ครบวงจรครอบคลุมทุกเซกเมนต์อีก 23 โครงการ มูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท ส่งผลให้ปัจจุบัน "แสนสิริ" มีโปรเจกระหว่างพัฒนา-ขายกว่า 80 โครงการ พร้อมตั้งเป้าขายทั้งปี 30,000 ล้านบาท ฟุ้งผลการดำเนินงานปี 53 เกินเป้า คาดกำไรเติบโตตามยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 20% ด้านโบรกฯ คาดการณ์หุ้นจ่ายปันผลงาม ดิวิเดนด์ยีลด์สูง 10% แจงยอดขายรวมปี2553ทะลุ 27,000 ล้านบาท
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าแผนดำเนินธุรกิจในปี 2554 ของกลุ่มบริษัทแสนสิริยังคงใช้กลยุทธ์การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่ครบวงจร โดยมีแผนจะเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ๆ อย่างน้อย 23 โครงการ มูลค่าขายรวมกว่า 30,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว 8 โครงการมูลค่ารวม10,000 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียมประมาณ 11โครงการ มูลค่า 17,000 ล้านบาท และโครงการทาวน์เฮาส์ 4 โครงการ มูลค่า3,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาที่ต่อเนื่องจากปีก่อน กลุ่มบริษัทแสนสิริและบริษัทในเครือจะมีโครงการที่อยู่อาศัยรองรับการขายในปี 2554 อย่างน้อยถึง 80 โครงการ โดยประมาณการยอดขายรวมในปี 2554 ไว้ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ปัจจัยหนุนของตลาดอสังหาในปีนี้ จะมาจากสภาวะการณ์ทางเศรษฐกิจและทิศทางของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ดังจะเห็นจากอัตราการเติบโตของจีดีพีที่สูงขึ้นติดต่อกันในช่วงปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้คาดว่าน่าจะเห็นอัตราการเติบโตของจีดีพีที่ประมาณ 4 - 5% นอกจากนี้ปัจจัยอื่นๆ ที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อาทิ การส่งออก การท่องเที่ยว และอัตราดอกเบี้ยซึ่งเกี่ยวเนื่องกับสถานการณ์ทางการเมืองที่หากมีการเลือกตั้งใหม่คาดว่าจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยลดลงหรือคงที่ ขณะที่ทิศทางของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ 90% อยู่ในทิศทางที่ดีหากเทียบกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ของยุโรปหรืออเมริกา
ส่วนสถานการณ์การแข่งขันของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยเปลี่ยนไปจากเดิม กลายเป็นตลาดของรายใหญ่ ที่มีการแข่งขันกันในทิศทางที่ชัดเจน คือ มีคู่แข่งที่ชัดเจน มีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน และจุดเด่นที่แต่ละบริษัทมีแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ในส่วนของแสนสิรินั้นในปีนี้น่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการเน้นให้ความสำคัญกับการทำการตลาดแบบโซเชียลมีเดียมากขึ้น รวมทั้งการจัดกิจกรรมร่วมกับลูกบ้านอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผลการดำเนินธุรกิจในปี 2553 ของแสนสิริ นับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยส่วนหนึ่งมาจากการที่กลุ่มบริษัทแสนสิริมีการขยายการลงทุนในการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตอบรับทุกความต้องการที่อยู่อาศัยและครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้าตลอดทั้งปี และอีกส่วนหนึ่งเป็นผลความสำเร็จจากการที่ลูกค้าให้การตอบรับและไว้วางใจในแบรนด์ “แสนสิริ” และแบรนด์ที่อยู่อาศัยต่างๆอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สามารถสร้างยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยรวมประมาณ 7,900 ยูนิต จากการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยรวมทั้งสิ้น 55 โครงการคิดเป็นยอดขายกว่า 27,000 ล้านบาท ซึ่งเติบโตจากปีก่อนถึงกว่า 93% โดยคาดการณ์ว่ากำไรของบริษัทจะเติบโตขึ้นในทิศทางเดียวกันหรือสูงกว่าปีก่อนถึง 20%
"นอกจากนี้ แสนสิริ ยังมียอดขายล่วงหน้าที่รอรับรู้รายได้ในอีก 1 - 3 ปี ประมาณ 24,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความมั่นคงในระยะยาวให้กับบริษัทเป็นอย่างดี ทั้งนี้ ที่ผ่านมาบริษัท หลักทรัพย์ ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) คาดการณ์ว่า บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) จะมีรายได้รวมในปี 2553อยู่ที่ 18,900 ล้านบาท และกำไรสุทธิประมาณ 1,720 ล้านบาท รวมทั้งอัตราเงินปันผลปี 2553 คาดว่าจะอยู่ที่ 0.60 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น Dividend yield สูง 10% ต่อปี และกำหนดมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมของปีนี้ที่ 10.54 บาทต่อหุ้น หลังจากที่แสนสิริ สามารถสร้างรายได้และกำไรที่ดีอย่างต่อเนื่องในปี 2553 รวมถึงคาดการณ์ผลประกอบการณ์ที่จะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องไปในอีก 2 ปีข้างหน้า"
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าแผนดำเนินธุรกิจในปี 2554 ของกลุ่มบริษัทแสนสิริยังคงใช้กลยุทธ์การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่ครบวงจร โดยมีแผนจะเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ๆ อย่างน้อย 23 โครงการ มูลค่าขายรวมกว่า 30,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว 8 โครงการมูลค่ารวม10,000 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียมประมาณ 11โครงการ มูลค่า 17,000 ล้านบาท และโครงการทาวน์เฮาส์ 4 โครงการ มูลค่า3,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาที่ต่อเนื่องจากปีก่อน กลุ่มบริษัทแสนสิริและบริษัทในเครือจะมีโครงการที่อยู่อาศัยรองรับการขายในปี 2554 อย่างน้อยถึง 80 โครงการ โดยประมาณการยอดขายรวมในปี 2554 ไว้ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ปัจจัยหนุนของตลาดอสังหาในปีนี้ จะมาจากสภาวะการณ์ทางเศรษฐกิจและทิศทางของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ดังจะเห็นจากอัตราการเติบโตของจีดีพีที่สูงขึ้นติดต่อกันในช่วงปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้คาดว่าน่าจะเห็นอัตราการเติบโตของจีดีพีที่ประมาณ 4 - 5% นอกจากนี้ปัจจัยอื่นๆ ที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อาทิ การส่งออก การท่องเที่ยว และอัตราดอกเบี้ยซึ่งเกี่ยวเนื่องกับสถานการณ์ทางการเมืองที่หากมีการเลือกตั้งใหม่คาดว่าจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยลดลงหรือคงที่ ขณะที่ทิศทางของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ 90% อยู่ในทิศทางที่ดีหากเทียบกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ของยุโรปหรืออเมริกา
ส่วนสถานการณ์การแข่งขันของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยเปลี่ยนไปจากเดิม กลายเป็นตลาดของรายใหญ่ ที่มีการแข่งขันกันในทิศทางที่ชัดเจน คือ มีคู่แข่งที่ชัดเจน มีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน และจุดเด่นที่แต่ละบริษัทมีแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ในส่วนของแสนสิรินั้นในปีนี้น่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการเน้นให้ความสำคัญกับการทำการตลาดแบบโซเชียลมีเดียมากขึ้น รวมทั้งการจัดกิจกรรมร่วมกับลูกบ้านอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผลการดำเนินธุรกิจในปี 2553 ของแสนสิริ นับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยส่วนหนึ่งมาจากการที่กลุ่มบริษัทแสนสิริมีการขยายการลงทุนในการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตอบรับทุกความต้องการที่อยู่อาศัยและครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้าตลอดทั้งปี และอีกส่วนหนึ่งเป็นผลความสำเร็จจากการที่ลูกค้าให้การตอบรับและไว้วางใจในแบรนด์ “แสนสิริ” และแบรนด์ที่อยู่อาศัยต่างๆอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สามารถสร้างยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยรวมประมาณ 7,900 ยูนิต จากการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยรวมทั้งสิ้น 55 โครงการคิดเป็นยอดขายกว่า 27,000 ล้านบาท ซึ่งเติบโตจากปีก่อนถึงกว่า 93% โดยคาดการณ์ว่ากำไรของบริษัทจะเติบโตขึ้นในทิศทางเดียวกันหรือสูงกว่าปีก่อนถึง 20%
"นอกจากนี้ แสนสิริ ยังมียอดขายล่วงหน้าที่รอรับรู้รายได้ในอีก 1 - 3 ปี ประมาณ 24,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความมั่นคงในระยะยาวให้กับบริษัทเป็นอย่างดี ทั้งนี้ ที่ผ่านมาบริษัท หลักทรัพย์ ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) คาดการณ์ว่า บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) จะมีรายได้รวมในปี 2553อยู่ที่ 18,900 ล้านบาท และกำไรสุทธิประมาณ 1,720 ล้านบาท รวมทั้งอัตราเงินปันผลปี 2553 คาดว่าจะอยู่ที่ 0.60 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น Dividend yield สูง 10% ต่อปี และกำหนดมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมของปีนี้ที่ 10.54 บาทต่อหุ้น หลังจากที่แสนสิริ สามารถสร้างรายได้และกำไรที่ดีอย่างต่อเนื่องในปี 2553 รวมถึงคาดการณ์ผลประกอบการณ์ที่จะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องไปในอีก 2 ปีข้างหน้า"