“คำทำนายที่เคยมีมาช้านานนัก เริ่มประจักษ์ให้เห็นเร้นไม่ได้ หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยทำนาย เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามาประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา เป็นประชาชนเต็มพระนคร
ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดินชาวประชาจะปีติยิ้มสดใส แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนาจะมีการต่อตีกันกลางเมือง ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า คอร์รัปชันจะกัดกร่อนทั้งพารา ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร
ข้าราชการตงฉินถูกประณาม สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้ เกิดวิกฤตผิดเพี้ยนโดยทั่วไป โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี
ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว ถ้วนทุกทั่วจะมุดขุดรูหนี ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี เกรงเป็นผีตายตกไปตามกันพุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ เกิดวิกฤตธรรมชาติอุบาทว์ครัน พายุลั่นน้ำถล่มดินทลายแผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน ข้าเป็นนาย นายเป็นข้าน่าสมเพช ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น ทั้งพฤฒาจารย์ลือระบิล จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลมความระทมจะถมทับนับเทวศ ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม ส่วนคนชั่วหัวร่อทำท่าดัง”
คำทำนายหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ปี 2518 หมายเหตุ 1. คำทำนายนี้ยังขาดบทสุดท้าย 3 บท จะนำมาลงต่อให้ครบในคราวหน้า 2. มีผู้เชื่อว่าหลวงพ่อฤาษีลิงดำ หรือสานุศิษย์ใกล้ชิดได้นำคำทำนายรัตนโกสินทร์ 10 รัชกาลมาแต่งเป็นคำกลอน โดยกล่าวถึงคำทำนายรัชกาลที่ 9 โดยพิสดาร อย่างไรก็ทางคณะศิษย์วัดท่าซุง แจ้งว่าหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ไม่ได้เป็นผู้แต่งขึ้น ส่วนเป็นผู้ใดแต่งนั้นไม่ทราบ
ผู้เขียนได้รับการประณามอย่างหนักจากท่านผู้อ่าน “ขาประจำ” 3-4 ท่านที่เชื่อว่าผู้เขียนมีเจตนาปลุกระดมให้กองทัพยึดอำนาจโค่นล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์ ท่านเหล่านั้นคงไม่เคยฟังหรืออ่านที่ผู้เขียนปราศรัยและเขียนเกือบจะนับไม่ถ้วนครั้งว่า ผู้เขียนไม่เห็นด้วยหรือไม่เอา “ยึดอำนาจ ขอนายกฯ พระราชทาน รัฐบาลแห่งชาติ”
ไม่กี่วันมานี้ ผู้เขียนไปขึ้นเวทีมัฆวานฯ เป็นครั้งแรกของการชุมนุมครั้งใหม่ รวมทั้งเวทีคู่ขนานของทีวีเพื่อมนุษยชาติช่อง FM ของสันติอโศก และได้บอกท่านผู้ชมและผู้ฟังว่า หากไม่มีการประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ คราวนี้ผู้เขียนคงจะไม่ออกมาพูด ทั้งนี้เป็นความจริงใจ
ที่ผู้เขียนขึ้นพูด เพราะต้องการป้องกันมิให้เกิดการนองเลือด เพราะรัฐบาลขี้ขลาดหรือลุแก่อำนาจเผด็จการ ใช้กำลังตำรวจหรือทหารปราบปรามประชาชน ผู้มาคัดค้านด้วยมือเปล่าและสันติวิธีหากมีผู้มาชุมนุมมากๆ ยิ่งมีเด็กหนุ่มสาว และผู้หญิง รัฐบาลจะได้ยับยั้งชั่งใจ ใช้สมองมากขึ้นกว่าใช้ประสาทหัวแม่เท้า
หากมีผู้ชุมนุมมากขึ้นจนถึงจำนวนที่คุ้ม โอกาสที่จะนองเลือดก็ลดน้อยลง เพราะญาติมิตรและลูกหลานของตำรวจทหารที่มารักษาการจะมากขึ้น ทำให้เกิดความเป็นห่วง และเล็งเห็นความบริสุทธิ์จริงใจไร้เบื้องหน้าเบื้องหลังของผู้ร่วมชุมนุมมากขึ้นในหลายๆ กรณี รวมทั้งที่เมื่อเร็วๆ นี้ในอียิปต์ ตำรวจ ทหารรักษาการจำนวนมากหันมาเข้าข้างผู้ประท้วง เพราะเกิดความเข้าใจ เห็นใจ และแรงบันดาลใจรักชาติและความเป็นธรรมขึ้นมา
ที่ผู้เขียนเป็นห่วง เกิดจากประสบการณ์ที่ได้เห็นการนองเลือดในประเทศไทยมาแล้วหลายครั้ง ได้ทำนายล่วงหน้า พูด และเขียนหนังสือเตือนก่อนเกิดเหตุการณ์นานๆ แต่ก็เกิดขึ้นจนได้ ทั้งนี้มิใช่อยู่ที่การยั่วยุหรือท้าทายของผู้ประท้วงเป็นหลัก แต่หากอยู่ที่ความขลาดเขลาและไม่รับผิดชอบของผู้ใช้อำนาจ และบางส่วนอาจจะเป็นเพราะการเกิดภาวะเผชิญหน้า ตำรวจ ทหารขาดประสบการณ์ เกิดความกลัวและความเครียด หรือตกเป็นเหยื่อของการยั่วยุ
พลเอกสุจินดา คราประยูร เมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ก่อนเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ในหลวงทรงเตือนว่า หากกระสุนนัดแรกลั่นจากฝ่ายรัฐบาลเมื่อใด เมื่อนั้นรัฐบาลแพ้ ไม่ว่าจะมีข้ออ้างดีเพียงใดผู้เขียนจำเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ได้ เมื่อนักศึกษาแตกกระเจิงบริเวณข้างสวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เพราะถูกระเบิดน้ำตาคุณภาพดีจากตำรวจ (ต่างกับชนิดที่ใช้ในวันที่ 17 ตุลาคม 2551 กับพันธมิตรฯ ครั้งรัฐบาลม่านรูด) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสั่งให้ทหารรักษาพระองค์ที่รักษาการอยู่ถอดดาบปลายปืนและแมกกาซีนกระสุนออกหมด โดยไม่ทรงสงสัยหรือหวาดเกรงใดๆ ทำให้ทหารเข้าใจไม่ลุแก่โทสะ ทุกฝ่ายจึงอยู่ใต้พระบารมีปกเกล้า
อีกประการหนึ่ง ผู้เขียนเป็นห่วงว่าหากเกิดการปราบปรามประชาชนผู้บริสุทธิ์ขึ้นในครั้งนี้ (ซึ่งต่างกับกรณีของ นปช.ที่ใช้กำลังและประกาศอย่างเปิดเผยว่าจะประทุษร้ายและเปลี่ยนระบบการปกครองไปสู่รัฐไทยใหม่ หากรัฐบาลจับกุมผู้นำและใช้กำลังในทางป้องปรามแต่เนิ่น การสูญเสียชีวิตก็คงจะน้อยลงหรืออาจจะไม่เกิดขึ้น) ความโหดร้ายทารุณในการต่อสู้ทางการเมืองของเมืองไทยก็จะยกระดับขึ้นสู่สากล ได้แก่ การก่อวินาศกรรมทั่วไป การจับตัวเรียกค่าไถ่ ฆ่าตัวประกัน หรือผู้นำการเมืองและครอบครัว และการลอบสังหารฝ่ายตรงกันข้ามซึ่งเกิดขึ้นอยู่โดยทั่วไป แต่ไม่พึงปรารถนาสำหรับประเทศไทย
หันกลับมาพูดถึงคำทำนายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำข้างต้น ผู้เขียนอยากจะชี้ให้เห็นถึงอิทธิพลของลัทธิความเชื่อ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัฒนธรรมและสังคมมนุษย์ ตลอดจนหมอดูและคำทำนายต่างๆ ว่าเป็นสิ่งทรงอิทธิพลโน้มน้าวให้ผู้ที่เคารพเลื่อมใส เชื่อถือ หรือหมกมุ่น กระทำตาม ถึงแม้จะต้องเสียสละด้วยชีวิตก็ยังยอม ดังที่เห็นได้จากกรณีนักรบพลีชีพ หรือแม้กระทั่งเหตุร้ายเมื่อวันครบรอบ 60 ปีของสุเหร่าที่กรือเซะของไทยในกรณีของคำทำนายรัชกาลที่ 9 เช่นเดียวกับการทำนายอื่นๆ จากแหล่ง จากศาสดา หรือจากนักบวชที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะในศาสนาใดๆ ไม่ว่าจะเป็นโคไมนีของอิหร่าน หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำของไทย แนวโน้มที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นคำทำนายจะมีสูงมาก ยิ่งในกรณีที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดในคำทำนายนั้นที่ใกล้เคียงหรือเกิดเป็นความจริงขึ้น
ผู้เขียนขอยกตัวอย่างดังนี้ 1.“ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน” ชาวไทยและชาวโลกคงได้เห็นแล้วว่ากษัตริย์ทั่วโลกและตัวแทนได้เดินทางมาเข้าเฝ้าฯ และถวายพระพรพระเจ้าอยู่หัวในงานเฉลิมพระเกียรติที่ยิ่งใหญ่มโหฬาร งานอย่างนี้ยังไม่มีที่ไหนในโลก 2. “พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ เกิดวิกฤตธรรมชาติอุบาทว์ครัน พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย” มีอะไรที่ไม่จริงบ้าง
3. “จะมีการต่อตีกันกลางเมือง ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า คอร์รัปชันจะกัดกร่อนทั้งพารา ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร” เขาว่าคอร์รัปชันรัฐบาลนี้เหมือนและยิ่งร้ายกว่ารัฐบาลทักษิณ จริงหรือไม่
4. “ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว ถ้วนทุกทั่วจะมุดขุดรูหนี ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน” มีความสับสนอย่างยิ่ง พระเจ้าอยู่หัวทรงปรารภว่า ไม่รู้จะไปทางไหน ใครทำอะไร ตลอดจนความสับสนสงสัยเรื่องเขมรจับไทย และกรณี MOU 2543 หนองจานและเขาพระวิหาร ฯลฯ หรือไม่
5. “แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน” เกิดขึ้นแล้วหลายครั้ง และกำลังกลัวว่าจะเกิดขึ้นอีกใช่หรือไม่ โดยสรุป ผู้เขียนเห็นว่า คำทำนายล่วงหน้าตั้ง 200 ปี นำมาเขียนใหม่ในปี 2518 ช่างใกล้เคียงความจริงอย่างน่าอัศจรรย์เพราะฉะนั้น โปรดคอยอ่านคำทำนาย 3 บทสุดท้าย
ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดินชาวประชาจะปีติยิ้มสดใส แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนาจะมีการต่อตีกันกลางเมือง ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า คอร์รัปชันจะกัดกร่อนทั้งพารา ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร
ข้าราชการตงฉินถูกประณาม สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้ เกิดวิกฤตผิดเพี้ยนโดยทั่วไป โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี
ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว ถ้วนทุกทั่วจะมุดขุดรูหนี ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี เกรงเป็นผีตายตกไปตามกันพุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ เกิดวิกฤตธรรมชาติอุบาทว์ครัน พายุลั่นน้ำถล่มดินทลายแผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน ข้าเป็นนาย นายเป็นข้าน่าสมเพช ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น ทั้งพฤฒาจารย์ลือระบิล จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลมความระทมจะถมทับนับเทวศ ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม ส่วนคนชั่วหัวร่อทำท่าดัง”
คำทำนายหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ปี 2518 หมายเหตุ 1. คำทำนายนี้ยังขาดบทสุดท้าย 3 บท จะนำมาลงต่อให้ครบในคราวหน้า 2. มีผู้เชื่อว่าหลวงพ่อฤาษีลิงดำ หรือสานุศิษย์ใกล้ชิดได้นำคำทำนายรัตนโกสินทร์ 10 รัชกาลมาแต่งเป็นคำกลอน โดยกล่าวถึงคำทำนายรัชกาลที่ 9 โดยพิสดาร อย่างไรก็ทางคณะศิษย์วัดท่าซุง แจ้งว่าหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ไม่ได้เป็นผู้แต่งขึ้น ส่วนเป็นผู้ใดแต่งนั้นไม่ทราบ
ผู้เขียนได้รับการประณามอย่างหนักจากท่านผู้อ่าน “ขาประจำ” 3-4 ท่านที่เชื่อว่าผู้เขียนมีเจตนาปลุกระดมให้กองทัพยึดอำนาจโค่นล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์ ท่านเหล่านั้นคงไม่เคยฟังหรืออ่านที่ผู้เขียนปราศรัยและเขียนเกือบจะนับไม่ถ้วนครั้งว่า ผู้เขียนไม่เห็นด้วยหรือไม่เอา “ยึดอำนาจ ขอนายกฯ พระราชทาน รัฐบาลแห่งชาติ”
ไม่กี่วันมานี้ ผู้เขียนไปขึ้นเวทีมัฆวานฯ เป็นครั้งแรกของการชุมนุมครั้งใหม่ รวมทั้งเวทีคู่ขนานของทีวีเพื่อมนุษยชาติช่อง FM ของสันติอโศก และได้บอกท่านผู้ชมและผู้ฟังว่า หากไม่มีการประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ คราวนี้ผู้เขียนคงจะไม่ออกมาพูด ทั้งนี้เป็นความจริงใจ
ที่ผู้เขียนขึ้นพูด เพราะต้องการป้องกันมิให้เกิดการนองเลือด เพราะรัฐบาลขี้ขลาดหรือลุแก่อำนาจเผด็จการ ใช้กำลังตำรวจหรือทหารปราบปรามประชาชน ผู้มาคัดค้านด้วยมือเปล่าและสันติวิธีหากมีผู้มาชุมนุมมากๆ ยิ่งมีเด็กหนุ่มสาว และผู้หญิง รัฐบาลจะได้ยับยั้งชั่งใจ ใช้สมองมากขึ้นกว่าใช้ประสาทหัวแม่เท้า
หากมีผู้ชุมนุมมากขึ้นจนถึงจำนวนที่คุ้ม โอกาสที่จะนองเลือดก็ลดน้อยลง เพราะญาติมิตรและลูกหลานของตำรวจทหารที่มารักษาการจะมากขึ้น ทำให้เกิดความเป็นห่วง และเล็งเห็นความบริสุทธิ์จริงใจไร้เบื้องหน้าเบื้องหลังของผู้ร่วมชุมนุมมากขึ้นในหลายๆ กรณี รวมทั้งที่เมื่อเร็วๆ นี้ในอียิปต์ ตำรวจ ทหารรักษาการจำนวนมากหันมาเข้าข้างผู้ประท้วง เพราะเกิดความเข้าใจ เห็นใจ และแรงบันดาลใจรักชาติและความเป็นธรรมขึ้นมา
ที่ผู้เขียนเป็นห่วง เกิดจากประสบการณ์ที่ได้เห็นการนองเลือดในประเทศไทยมาแล้วหลายครั้ง ได้ทำนายล่วงหน้า พูด และเขียนหนังสือเตือนก่อนเกิดเหตุการณ์นานๆ แต่ก็เกิดขึ้นจนได้ ทั้งนี้มิใช่อยู่ที่การยั่วยุหรือท้าทายของผู้ประท้วงเป็นหลัก แต่หากอยู่ที่ความขลาดเขลาและไม่รับผิดชอบของผู้ใช้อำนาจ และบางส่วนอาจจะเป็นเพราะการเกิดภาวะเผชิญหน้า ตำรวจ ทหารขาดประสบการณ์ เกิดความกลัวและความเครียด หรือตกเป็นเหยื่อของการยั่วยุ
พลเอกสุจินดา คราประยูร เมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ก่อนเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ในหลวงทรงเตือนว่า หากกระสุนนัดแรกลั่นจากฝ่ายรัฐบาลเมื่อใด เมื่อนั้นรัฐบาลแพ้ ไม่ว่าจะมีข้ออ้างดีเพียงใดผู้เขียนจำเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ได้ เมื่อนักศึกษาแตกกระเจิงบริเวณข้างสวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เพราะถูกระเบิดน้ำตาคุณภาพดีจากตำรวจ (ต่างกับชนิดที่ใช้ในวันที่ 17 ตุลาคม 2551 กับพันธมิตรฯ ครั้งรัฐบาลม่านรูด) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสั่งให้ทหารรักษาพระองค์ที่รักษาการอยู่ถอดดาบปลายปืนและแมกกาซีนกระสุนออกหมด โดยไม่ทรงสงสัยหรือหวาดเกรงใดๆ ทำให้ทหารเข้าใจไม่ลุแก่โทสะ ทุกฝ่ายจึงอยู่ใต้พระบารมีปกเกล้า
อีกประการหนึ่ง ผู้เขียนเป็นห่วงว่าหากเกิดการปราบปรามประชาชนผู้บริสุทธิ์ขึ้นในครั้งนี้ (ซึ่งต่างกับกรณีของ นปช.ที่ใช้กำลังและประกาศอย่างเปิดเผยว่าจะประทุษร้ายและเปลี่ยนระบบการปกครองไปสู่รัฐไทยใหม่ หากรัฐบาลจับกุมผู้นำและใช้กำลังในทางป้องปรามแต่เนิ่น การสูญเสียชีวิตก็คงจะน้อยลงหรืออาจจะไม่เกิดขึ้น) ความโหดร้ายทารุณในการต่อสู้ทางการเมืองของเมืองไทยก็จะยกระดับขึ้นสู่สากล ได้แก่ การก่อวินาศกรรมทั่วไป การจับตัวเรียกค่าไถ่ ฆ่าตัวประกัน หรือผู้นำการเมืองและครอบครัว และการลอบสังหารฝ่ายตรงกันข้ามซึ่งเกิดขึ้นอยู่โดยทั่วไป แต่ไม่พึงปรารถนาสำหรับประเทศไทย
หันกลับมาพูดถึงคำทำนายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำข้างต้น ผู้เขียนอยากจะชี้ให้เห็นถึงอิทธิพลของลัทธิความเชื่อ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัฒนธรรมและสังคมมนุษย์ ตลอดจนหมอดูและคำทำนายต่างๆ ว่าเป็นสิ่งทรงอิทธิพลโน้มน้าวให้ผู้ที่เคารพเลื่อมใส เชื่อถือ หรือหมกมุ่น กระทำตาม ถึงแม้จะต้องเสียสละด้วยชีวิตก็ยังยอม ดังที่เห็นได้จากกรณีนักรบพลีชีพ หรือแม้กระทั่งเหตุร้ายเมื่อวันครบรอบ 60 ปีของสุเหร่าที่กรือเซะของไทยในกรณีของคำทำนายรัชกาลที่ 9 เช่นเดียวกับการทำนายอื่นๆ จากแหล่ง จากศาสดา หรือจากนักบวชที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะในศาสนาใดๆ ไม่ว่าจะเป็นโคไมนีของอิหร่าน หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำของไทย แนวโน้มที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นคำทำนายจะมีสูงมาก ยิ่งในกรณีที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดในคำทำนายนั้นที่ใกล้เคียงหรือเกิดเป็นความจริงขึ้น
ผู้เขียนขอยกตัวอย่างดังนี้ 1.“ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน” ชาวไทยและชาวโลกคงได้เห็นแล้วว่ากษัตริย์ทั่วโลกและตัวแทนได้เดินทางมาเข้าเฝ้าฯ และถวายพระพรพระเจ้าอยู่หัวในงานเฉลิมพระเกียรติที่ยิ่งใหญ่มโหฬาร งานอย่างนี้ยังไม่มีที่ไหนในโลก 2. “พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ เกิดวิกฤตธรรมชาติอุบาทว์ครัน พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย” มีอะไรที่ไม่จริงบ้าง
3. “จะมีการต่อตีกันกลางเมือง ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า คอร์รัปชันจะกัดกร่อนทั้งพารา ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร” เขาว่าคอร์รัปชันรัฐบาลนี้เหมือนและยิ่งร้ายกว่ารัฐบาลทักษิณ จริงหรือไม่
4. “ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว ถ้วนทุกทั่วจะมุดขุดรูหนี ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน” มีความสับสนอย่างยิ่ง พระเจ้าอยู่หัวทรงปรารภว่า ไม่รู้จะไปทางไหน ใครทำอะไร ตลอดจนความสับสนสงสัยเรื่องเขมรจับไทย และกรณี MOU 2543 หนองจานและเขาพระวิหาร ฯลฯ หรือไม่
5. “แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน” เกิดขึ้นแล้วหลายครั้ง และกำลังกลัวว่าจะเกิดขึ้นอีกใช่หรือไม่ โดยสรุป ผู้เขียนเห็นว่า คำทำนายล่วงหน้าตั้ง 200 ปี นำมาเขียนใหม่ในปี 2518 ช่างใกล้เคียงความจริงอย่างน่าอัศจรรย์เพราะฉะนั้น โปรดคอยอ่านคำทำนาย 3 บทสุดท้าย