“สำราญ” ร่ายกลอนบ่งบอกตัวตนพันธมิตรฯ บอก “มาร์ค” บ้านเมืองเรื่องใหญ่อย่างเห็นแต่พรรคการเมือง จวกรัฐบาลอ่อนด้อยด้านความมั่นคงมีอำนาจมากมาย แต่จัดการเรื่องเขาวิหาร-เขตแดนไม่ได้ พร้อมฝากเตือนทหารผู้ใหญ่เลิกคิดหาผลประโยชน์ชายแดนเพื่อนบ้าน
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ปราศรัยโดย “นายสำราญ รอดเพชร”
วันที่ 28 ม.ค.2554 บนเวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายสำราญ รอดเพชร โฆษกพรรคการเมืองใหม่ (ก.ม.ม.) กล่าวว่า การชุมนุมของพันธมิตรฯ นั้นอย่าถามว่ากี่วัน หากถามว่าจะชนะหรือไม่ จากประสบการณ์การข่าวมายาวนานประเมินดูแล้วประชาชนชนะแน่นอน มีคนอยากให้ตนมาพูดว่าแท้จริงแล้วพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นเช่นไร เรื่องนี้ตนพูดจากใจตั้งแต่ไปหาดใหญ่ จ.สงขลาแล้ว วันนี้ตนอาจมีอาจสวมหมวกรับหน้าที่อีกใบร่วมอยู่ด้วยไม่ต้องไปพูดถึงมัน ถ้าพูดถึงเลือดเนื้อความเป็นพันธมิตรฯ เราไม่ต่างกัน เรายึดหลักความถูกต้อง ชอบธรรม ปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เราข้ามพ้นเรื่องพรรคการเมือง ยึดความถูกต้องและผลประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นหลัก
นายสำราญ มองพันธมิตรฯ ด้วยภาษากวี และถ่ายทอดเป็นบทกลอนไร้ฉันทลักษณ์แบบสุกๆ ดิบๆ ตามประสาคิดอย่างไรก็เขียนอย่างนั้น ว่า
“พันธมิตรฯ ที่รัก เธอก่อเกิดขึ้นในยามที่พระเจ้าหลับไหล
...เธอเผาไหม้ตัวเองในนามเทียนแห่งธรรม...
เพื่อส่องแสดงในคืนเดือนมืดแผ่นดินสิ้นแสง
...เธอเป็นสารส้มก้อนเล็กๆ ที่ละลายตัวเองเพื่อให้น้ำที่ขุ้นข้นใส...
ชีวิตจิตใจเธอเพื่อรักษาความถูกต้อง
โดยไม่ได้หวังรางวัลอำนาจ และเงินตรา
...เธอไม่ใช่ทหารเสือพระราชา ทหารเสือพระราชินี
หรือทหารรักษาพระองค์...
แต่เธอปกป้องสถาบันสูงสุดของชาติ ด้วยเลือดเนื้อ น้ำตา และชีวิต...
อย่างน้อยก็เพื่อความเป็นธรรมแด่พระองค์ท่าน ศูนย์รวมจิตใจแห่งเรา
...พันธมิตรฯ ที่รัก
ฉันรู้เธอเหนื่อยยากและเหนื่อยหนัก...
กระนั้นความเสียสละจากเธอยังหลั่งรินแรงเป็นสายธาร...
เพื่อพันธกิจที่ยังไม่สิ้นสุด และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะสุดสิ้น
...พันธมิตรฯ ที่รัก
ขอเราจงก้าวข้ามวันคืนอันฝันร้าย
และข้ามพ้นกับดักการเป็นพรรคฝ่าย...
ก้าวข้ามตัวตนแห่งเราเป็นตัวเราที่เหนือพรรคเหนือพวก
แต่อยู่ใต้ประโยชน์ประเทศชาติ...
เพื่อปักธงพิทักษ์ความเป็นธรรมความถูกต้อง
ประโยชน์ชาติ ประชาชน...
สนับสนุนคนดีคนกล้าให้ทำหน้าที่ที่เหมาะสม...
หยดเหงื่อน้ำตาเรา ยังต้องรินไหลขอเปลวไฟการต่อสู้อย่าดับแสง
...พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
...พันธมิตรฯ ที่รัก... พันธมิตรฯ ที่รัก..ฉันรักเธอ”
นายสำราญกล่าวถึงภาวะผู้นำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าถึงแม้ด้านหนึ่งจะเป็นคนดีอยู่พอสมควร แต่เรื่องของบ้านเมืองเป็นคนดีคนเดียวไม่ได้ เหมือนที่ พล.อ.เปรม กล่าวถึงภาวะผู้นำนายกฯในข้อหนึ่งว่า เป็นผู้นำต้องซื่อสัตย์และทำให้ผู้ร่วมงานซื่อสัตย์ด้วย ตรงนี้ประชาชนก็ประเมินเอาว่านายกฯสอบผ่านหรือไม่ อย่างเรื่องน้ำมันปาล์ม มีนาย ส. ปาล์มที่มาทำไบโอดีเซลก็มี นาย ส. คนพวกนี้เป็นนักการเมืองทั้งนั้นที่เข้าไปเกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ที่พันธมิตรฯ ออกมาเรียกร้องปกป้องอธิปไตย 3 ข้อ เพราะรัฐบาลอ่อนด้อยด้านความมั่นคง มีอำนาจมากมายแต่ไม่สามารถทำอะไรได้ อย่างเรื่องเอ็มโอยู 43 นายกฯโต้เถียงกับพันธมิตรฯซึ่งบางวันดูเหมือนชนะก็ดีใจออกหน้าเหมือนนิสัยเด็ก เรื่องนี้มันเรื่องคอขาดบาดตาย รัฐบาลต้องคิดให้ลึกซึ้งอย่าเอาการเมืองมานำ ควรเอาคนที่มีความคิดต่างมาตั้งโต๊ะพูดคุยกัน มีเอ็มโอยู43 ทำให้เขมรยึดแผนที่ 1 ต่อ 200,000 แล้วลากเส้นกินพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร แล้วกองทัพไทยรัฐบาลไทยก็ไปหลงกลว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน จริงๆแล้วมันคือพื้นที่ของประเทศไทย คำว่าพื้นที่ทับซ้อนแท้จริงแล้วต้องเป็นพื้นที่เฉพาะตัวปราสาทที่เราบอกว่าจะทวงคืน
“ขอเตือนทหารชั้นผู้ใหญ่หลายท่านที่เกษียณไปแล้ว และที่กำลังเกษียณ หลายคนมีสัมพันธภาพที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ท้ายที่สุดน่าเสียดาย น่าเสียใจ ผบ.เหล่านั้นได้แปลความสัมพันธ์อันดีระหว่างท่านกับประเทศเพื่อนบ้านไปรับใช้ผลประโยชน์ส่วนตัวทั้งนั้น บางคนค้าเพชร ค้าพลอย ยุ่งเรื่องบ่อน บางคนก็ค้าไม้” นายสำราญกล่าว
นายสำราญกล่าวว่า ภาคใต้ไม่มีสูตรสำเร็จในการแก้ไข อย่างน้อยต้องใชเวลา4-5 ปีหรือเป็น10 ปี แต่ต้องเริ่มต้นให้ถูกอย่างน้อยยุทธศาสตร์พระราชทาน ที่ว่า เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ทำได้แล้วหรือยัง ตรงนี้ขอฝากถึง พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยเพราะนีถือเป็นหน้าที่ของท่านเมือนกัน จะปล่อยให้นักการเมืองทำอย่างเดียวไม่พอเพราะหลังๆ บ้านเมืองมันเพี้ยนหมด คำว่าการเมืองนำการทหาร หมายถึงแก้ไขด้วยวิธีทางด้านการเมืองก่อน เช่น ให้ความเป็นธรรม ทำให้เขาอยู่ดีกินดี ไม่ใช่ให้นักการเมืองนำการทหาร