นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) กล่าวว่า ธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อรวมในปีนี้ขยายตัวที่ 6-8% จากก่อนนี้ที่ได้ตั้งเป้าไว้ประมาณ 5-7% โดยคาดว่าสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและย่อมจะเติบโตได้ 8% ทั้งนี้การเติบโตดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากทิศทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะมีการขยายตัวได้ดี ส่งผลดีต่อภาคธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่งธนาคารเองก็จะมีโครงการพิเศษต่างๆ ให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าอย่างเต็มที่
"ในปัจจุบันแม้ว่าจะเป้นแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่เชื่อว่าจะไม่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการ โดยทิศทางดอกเบี้ยน่าจะมีการปรับขึ้นบ้าง แต่คงไม่
มากนัก ส่วนปัจจัยทางการเมืองหรือการเลือกตั้งที่มองกันว่าจะเกิดขึ้นในกลางปีนี้นั้น จะเป็นปัจจัยบวกในระยะสั้นในการกระตุ้นการบริโภคให้เกิดขึ้น และจะส่งผลดีภาคธุรกิจต่างๆที่เกี่ยวเนื่องกันด้วย"
นายชาติศิริด้านแนวโน้มการระดมเงินฝากในปีนี้ จะมีการแข่งขันในเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นระยะ แต่เชื่อว่าสภาพคล่องในระบบปัจจุบันยังมีเพียงพอ จึงไม่น่าเป็นปัญหา
**เงินฝากแข่งดุถึงสิ้นปี**
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า จากที่หลายๆฝ่ายคาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะยังสามารถเติบโตได้ดี คือจีดีพีจะขยายตัวประมาณ 4-5% ทำให้สถาบันการเงินทุกแห่งต้องการเติบโต มีการตั้งเป้าหมายการขยายตัวของสินเชื่อ ซึ่งเป็นที่มาของการระดมเงินฝาก เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการปล่อยสินเชื่อ ดังนั้น ในขณะนี้ถือว่าระบบสถาบันการเงินไทยได้เปลี่ยนยุคจากการระดมสินเชื่อเข้าสู่ยุคการะดมเงินฝากแล้วอย่างชัดเจน
"ตอนนี้เห็นได้ชัดเจนว่า แบงก์เข้าสู่ยุคการแข่งขันเงินฝากที่จะเข้มข้นขึ้นเหมือนที่เคยเห็นการแข่งขันเรื่องเงินกู้ในปีกลาย แต่ตอนนี้เปลี่ยนทิศแล้ว แม้จะมีเงินเหลืออยู่ในเศรษฐกิจระดับหนึ่ง แต่ทุกคนก็ตั้งเป้าหมายให้สินเชื่อเติบโต ดังนั้น แรงส่งของเศรษฐกิจจะทำให้การแข่งขันเงินฝากต่อเนื่องไปถึงสิ้นปีได้ ซึ่งในส่วนของธนาคารกรุงเทพปัจจุบันมีฐานเงินฝากอยู่ที่ 1.3 ล้านล้านบาท มีอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากที่ 80% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูง และจะต้องติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาพบว่าการเติบโตของสินเชื่อและเงินฝากยังขยายตัวได้ในเกณฑ์ที่ดี"
**คาดจีดีพีไตรมาสแรกโต2%**
ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า แม้เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 1 ปี 2554 อาจขยายตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าตามการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจต่างๆ หลังผ่านพ้นช่วงอุทกภัย แต่ด้วยผลของฐานเปรียบเทียบที่สูงในปีก่อน คงทำให้อัตราการขยายตัวของจีดีพีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนยังคงชะลอตัวลงมาอยู่ไม่เกินร้อยละ 2.0 (YoY) ทั้งนี้ โดยรวมแล้ว คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2554 อาจจะขยายตัวประมาณร้อยละ 4.0-5.0 ซึ่งแม้ชะลอลงมากจากปีก่อนหน้า แต่ก็นับเป็นระดับที่น่าพอใจ สำหรับปัจจัยเสี่ยงหลักในปีนี้มี 2 ด้าน คือ เงินเฟ้อและความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยแรงกดดันเงินเฟ้ออาจเป็นตัวแปรที่ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค ขณะที่ปัจจัยทางการเมืองอาจมีผลต่อความต่อเนื่องของนโยบายและทำให้เกิดความล่าช้าของโครงการลงทุนต่างๆ ของภาครัฐได้
"ในปัจจุบันแม้ว่าจะเป้นแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่เชื่อว่าจะไม่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการ โดยทิศทางดอกเบี้ยน่าจะมีการปรับขึ้นบ้าง แต่คงไม่
มากนัก ส่วนปัจจัยทางการเมืองหรือการเลือกตั้งที่มองกันว่าจะเกิดขึ้นในกลางปีนี้นั้น จะเป็นปัจจัยบวกในระยะสั้นในการกระตุ้นการบริโภคให้เกิดขึ้น และจะส่งผลดีภาคธุรกิจต่างๆที่เกี่ยวเนื่องกันด้วย"
นายชาติศิริด้านแนวโน้มการระดมเงินฝากในปีนี้ จะมีการแข่งขันในเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นระยะ แต่เชื่อว่าสภาพคล่องในระบบปัจจุบันยังมีเพียงพอ จึงไม่น่าเป็นปัญหา
**เงินฝากแข่งดุถึงสิ้นปี**
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า จากที่หลายๆฝ่ายคาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะยังสามารถเติบโตได้ดี คือจีดีพีจะขยายตัวประมาณ 4-5% ทำให้สถาบันการเงินทุกแห่งต้องการเติบโต มีการตั้งเป้าหมายการขยายตัวของสินเชื่อ ซึ่งเป็นที่มาของการระดมเงินฝาก เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการปล่อยสินเชื่อ ดังนั้น ในขณะนี้ถือว่าระบบสถาบันการเงินไทยได้เปลี่ยนยุคจากการระดมสินเชื่อเข้าสู่ยุคการะดมเงินฝากแล้วอย่างชัดเจน
"ตอนนี้เห็นได้ชัดเจนว่า แบงก์เข้าสู่ยุคการแข่งขันเงินฝากที่จะเข้มข้นขึ้นเหมือนที่เคยเห็นการแข่งขันเรื่องเงินกู้ในปีกลาย แต่ตอนนี้เปลี่ยนทิศแล้ว แม้จะมีเงินเหลืออยู่ในเศรษฐกิจระดับหนึ่ง แต่ทุกคนก็ตั้งเป้าหมายให้สินเชื่อเติบโต ดังนั้น แรงส่งของเศรษฐกิจจะทำให้การแข่งขันเงินฝากต่อเนื่องไปถึงสิ้นปีได้ ซึ่งในส่วนของธนาคารกรุงเทพปัจจุบันมีฐานเงินฝากอยู่ที่ 1.3 ล้านล้านบาท มีอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากที่ 80% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูง และจะต้องติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาพบว่าการเติบโตของสินเชื่อและเงินฝากยังขยายตัวได้ในเกณฑ์ที่ดี"
**คาดจีดีพีไตรมาสแรกโต2%**
ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า แม้เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 1 ปี 2554 อาจขยายตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าตามการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจต่างๆ หลังผ่านพ้นช่วงอุทกภัย แต่ด้วยผลของฐานเปรียบเทียบที่สูงในปีก่อน คงทำให้อัตราการขยายตัวของจีดีพีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนยังคงชะลอตัวลงมาอยู่ไม่เกินร้อยละ 2.0 (YoY) ทั้งนี้ โดยรวมแล้ว คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2554 อาจจะขยายตัวประมาณร้อยละ 4.0-5.0 ซึ่งแม้ชะลอลงมากจากปีก่อนหน้า แต่ก็นับเป็นระดับที่น่าพอใจ สำหรับปัจจัยเสี่ยงหลักในปีนี้มี 2 ด้าน คือ เงินเฟ้อและความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยแรงกดดันเงินเฟ้ออาจเป็นตัวแปรที่ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค ขณะที่ปัจจัยทางการเมืองอาจมีผลต่อความต่อเนื่องของนโยบายและทำให้เกิดความล่าช้าของโครงการลงทุนต่างๆ ของภาครัฐได้