ASTVผู้จัดการรายวัน-“ลุงจำลอง”ปฏิเสธเปิดถนนจนกว่าจะชนะ "ปานเทพ"สับ"มาร์ค"เถียงไม่ออก เสียท่าแขมร์ปล่อยไทยเสียดินแดน ซ้ำยังถูกฉีกหน้าคาเวทีโลก ถูกเขมรสอนเชิงการทูตดึงประเทศที่ 3 เอี่ยวปัญหาไทย-กัมพูชา แถมยังงมโข่งคิดว่าตัวเองชนะเวทีโลก เอาข้อแนะนำ UNSC เป็นผลงาน ทั้งๆ ที่เพลี้ยงพล้ำ ด้าน"ไชยวัฒน์"ยื่นฟ้องศาลปกครอง เพิกถอนมติครม.ประกาศพ.ร.บ.มั่นคงฯ แล้ว ขณะที่ "สุเทพ"ส่งซิกตำรวจจัดการพันธมิตร
เมื่อเวลา 17.00 น. บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ และนายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน ร่วมกันแถลงข่าวประจำวันต่อสื่อมวลชน
พล.ต.จำลอง กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 (ผบก.น.1) เดินทางมายังเวทีพันธมิตรฯ เพื่อเจรจาขอให้เปิดช่องทางจราจรในช่วงบ่ายวานนี้ (15 ก.พ.) ว่า ทางตำรวจได้มาพบกับเรา โดยได้พูดคุยเรื่องการขอพื้นที่การชุมนุมคืน เพื่อเปิดช่องทางการจราจร ซึ่งทางพันธมิตรฯ ได้ปฏิเสธไป ทั้งยังมีการพูดถึงการตรวจค้นอาวุธในพื้นที่ชุมนุม ซึ่ง พล.ต.ต.วิชัยก็เป็นผู้ระบุเองว่ายังไม่พบข้อมูลว่ามีการซุกซ่อนอาวุธในพื้นที่นี้
อย่างไรก็ตาม พันธมิตรฯ ยืนยันว่า ตลอด 22 วันที่ผ่านมา มีกฎห้ามนำอาวุธและของมึนเมาเข้าพื้นที่โดยเด็ดขาด แต่หากตำรวจจะมาช่วยตรวจค้นดูแลก็ถือเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งตนจะมีการเน้นย้ำกับผู้ชุมนุมถึงกฎระเบียบอีกครั้ง และหากพบว่ามีพฤติกรรมพกพาอาวุธแล้วถูกจับกุม ทางพันธมิตรฯ จะไม่ให้ความช่วยเหลือเด็ดขาด
ส่วนการออกหมายเรียกของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังไม่ได้รับหมายเรียก แต่ทราบรายชื่อคร่าวๆ มาบ้าง ซึ่งมีนายปานเทพ นายประพันธ์ และตนรวมอยู่ด้วย โดยยืนยันว่าจะให้ความร่วมมือกับกระบวนการยุติธรรมแน่นอน
***อัดรัฐบาลอ่อนแอปล่อยไทยเสียดินแดน
พล.ต.จำลอง กล่าวว่า บัดนี้เป็นที่ประจักษ์ขัดว่าประเทศไทยได้เสียดินแดนไปแล้ว เพราะรัฐบาลไม่ยอมทำตาม 3 ข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ ซึ่งหากทำตามก็จะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นมากมายเช่นนี้ และนำดินแดนที่เสียไปแล้วกลับมาได้ ทั้งยังเป็นการป้องกันการเสียดินแดนในอนาคตอย่างยั่งยืนอีกด้วย
ส่วนกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ภายหลังทราบผลการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) โดยระบุว่า มีความแปลกใจในท่าทีของพันธมิตรฯ ที่โต้แย้งในประเด็นต่างๆ โดยเฉพาะประเด็นแผนที่มาตรส่วน 1 ต่อ 2 แสน ระวางดงรักนั้น นายปานเทพกล่าวว่า จากถ้อยแถลงของนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ เป็นเครื่องพิสูจน์ชัดในการไม่โต้แย้งทางกัมพูชาที่ได้กล่าวอ้างแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสนทุกระวาง รวมถึงระวางดงรัก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเสียเปรียบในแง่การทูตที่ไม่มีการโต้แย้งตั้งแต่แถลงการณ์กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาเมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา และมาถูกซ้ำอีกครั้งในเวที UNSC แต่ฝ่ายไทยก็ยังไม่สามารถโต้แย้งได้ เช่นเดียวกับพฤติกรรมที่ฝ่ายไทยปล่อยให้กัมพูชารุกรานดินแดนโดยอ้างแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ผลลัพธ์ออกมาว่าไทยได้สูญเสียดินแดนไปแล้ว โดยเฉพาะพื้นที่ในระวางดงรัก
***แฉ"ฮุนเซน"ขอจำกัดพื้นที่ห่วงกระทบบ่อน
นายปานเทพ ยังได้กล่าวถึงคำให้สัมภาษณ์ของนายฮุนเซน นายกฯ กัมพูชา ระบุว่าอยากให้จำกัดวงการปะทะเฉพาะเขตเขาพระวิหาร ไม่ให้กระทบไปถึงชายแดนบริเวณปอยเปตว่า การจำกัดพื้นที่เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้ลุกลามไปถึงชายแดนที่เป็นบ่อนคาสิโน โดยอ้างว่าเป็นนโยบายของรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่าย จึงยิ่งทำให้เราเคลือบแคลงสงสัยมากไปอีกว่ามีการตกลงผลประโยชน์ต่อกัน ทำให้ไม่มีการผลักดันกองกำลังติดอาวุธของกัมพูชาออกจากดินแดนไทย ที่สำคัญวันนี้ยังเกิดเหตุปะทะกันอีก โดยกัมพูชาไม่หยุดยิง ทั้งที่ UNSC เรียกร้องให้มีการหยุดยิงแล้ว ยิ่งสะท้อนว่าสิ่งที่พันธมิตรฯ ได้เตือนว่าการปล่อยให้มีฐานทัพกัมพูชาอยู่ในประเทศไทยจะเป็นอันตรายต่อราษฎรและทหารไทย และแสดงให้เห็นว่าข้อตกลงการหยุดยิงถาวรไม่สามารถเกิดขึ้นในทางปฏิบัติ
“ความไม่เข้าใจระหว่างภาคประชาชนที่นำเสนอปัญหาถึงรัฐบาล แล้วรัฐบาลไม่มีความเข้าใจและไม่ตอบสนอง เห็นผลลัพธ์แล้วว่ามีปัญหาอยู่จริง โดยยังยุติไม่ได้ด้วยมาตรการของรัฐบาลในขณะนี้” นายปานเทพกล่าว
***เข้าทางเขมรดึงประเทศที่3เอี่ยวข้อพิพาท
นายปานเทพยังได้หยิบยกข้อคิดเห็นของนายดอน ปรมัตถ์วินัย อดีตเอกอัครราชทูตและผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ ที่เตือนรัฐบาลไทยว่าอย่าดีใจกับผลการประชุมของ UNSC มาสนับสนุนด้วยว่า อดีตทูตดอนระบุว่าข้อแนะนำของ UNSC ที่ให้อาเซียนมาเป็นพี่เลี้ยง จึงไม่ใช่การเจรจาทวิภาคีที่แท้จริง เนื่องจากที่ประเทศที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นแนวทางที่กัมพูชาวางแผนไว้ตั้งแต่ปี 51 หรือเป็นแผน 2 หาก UN ไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวได้ ก็จะดึงอาเซียนเข้ามาเป็นประเทศที่ 3
ทั้งนี้ นายปานเทพยังระบุอีกว่า อดีตทูตดอนได้ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ในการประชุมวันที่ 22 ก.พ.นี้ จะเป็นลักษณะที่ผู้แทนอาเซียนเข้ามากำกับอีกชั้นหนึ่ง ต่างจากแนวทางเดิมในปี 51 ที่ไทยยืนยันว่าต้องเป็นการเจรจาระดับทวิภาคีเท่านั้น ทำให้การประชุมเป็นการรับลูกต่อจาก UNSC โดยอาเซียนจะให้ตัวแทน 3-4 ประเทศ หรือประธานอาซียนมาเป็นพี่เลี้ยง ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่การเจรจา 2 ประเทศอีกต่อไป ต่างจากความเห็นของนายกฯ อภิสิทธิ์ที่ว่า MOU 2543 มีประโยชน์นั้นก็ไม่เป็นความจริงอีกต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการเจรจากรอบของอาเซียนจะมีการจ้างบริษัทเอกชนเพื่อทำการถ่ายภาพทางอากาศหาหลักเขตที่หายไปจะเป็นการแก้ปัญหาหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า กรณีหลักเขตแดนไม่สามารถดูภาพถ่ายดาวเทียมหรือทางอากาศอย่างเดียวได้ เพราะบางพื้นที่เป็นที่ราบ ไม่มีสันปันน้ำหรือร่องน้ำลึกใช้อ้างอิง จึงไม่ได้เป็นคำตอบเสมอไป สิ่งที่เป็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากกว่า คือบันทึกการเจรจาเมื่อปี 1909 และ 1919 ที่มีการทำหลักเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศส รวมถึงบันทึกการประชุมปี 1907 ที่สรุปแล้วว่าเขตแดน จ.ศรีสะเกษถึงจ.อุบลราชธานี ให้ใช้ขอบหน้าผาเป็นหลักเขตแดน ดังนั้น หากเริ่มต้นใหม่ในการใช้ดาวเทียมเหมือนเป็นการเริ่มใหม่โดยละทิ้งผลงานเมื่อ 103 ปีก่อน ซึ่งอาจทำให้ไทยต้องเสียดินแดนเพิ่มเติม ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ กับการปกป้องดินแดน
***อัด"มาร์ค"งมโข่งคิดว่าตัวเองชนะเวทีโลก
ทางด้านนายประพันธ์กล่าวว่า รัฐบาลไม่น่าใช้เวลาหาเรื่องตอแยในการหาเรื่องผู้ชุมนุม ทั้งที่เป็นการชุมนุมโดยสันติ ซึ่งรัฐบาลก็ประกาศอยู่เสมอว่าเคารพและส่งเสริมสิทธิทางประชาธิปไตยของประชาชน พรรคประชาธิปัตย์เองก็เคยสนับสนุนการชุมนุมที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ด้วยซ้ำ แสดงให้เห็นว่านายกฯ อภิสิทธิ์หลงเกมตัวเอง และเพลี่ยงพล้ำในเกมระหว่างประเทศ พยายามมาบิดเบือนมอมเมาให้คนไทยหลงว่าได้รับชัยชนะในเวทีโลก นายกฯ อภิสิทธิ์ต้องรับฟังความเห็นประชาชน โดยใช้ข้อแนะนำของ UNSC มาลำพองว่าเป็นผลงานของรัฐบาล ทั้งที่เพลี่ยงพล้ำให้กับกัมพูชา
***สมณะโพธิรักษ์ติด10รายชื่อผู้โชคดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการแถลงข่าว นายเติมศักดิ์ จารุปราณ ที่ทำหน้าที่โฆษกบนเวทีได้ประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับการออกหมายเรียกจากตำรวจ ฐานเป็นแกนนำทำผิดต่อพ.ร.บ.ความมั่นคง ซึ่งประกอบด้วย นายสนธิ ลิ้มทองกุล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นายประพันธ์ คูณมี นายพิภพ ธงไชย นายเทิดภูมิ ใจดี นายสุริยะใส กตะศิลา สมณโพธิรักษ์ นายอมร อมรรัตนานนท์ และนายทศพล แก้วธิมา ตลอดการประกาศรายชื่อกลุ่มผู้ชุมนุมได้โห่แสดงความไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะเมื่อประกาศชื่อสมณะโพธิรักษ์
***ฟ้องศาลปกครองเพิกถอนพ.ร.บ.มั่นคง
ในวันเดียวกันนี้ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เลขาธิการสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย และสมาชิกเครือข่ายประชาชนหัวใจรักชาติ และพล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ประธานสมัชชาประชาชนฯ ได้ยื่นฟ้องคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อศาลปกครองสูงสุด เรื่องกระทำการโดยมิชอบที่มีการประกาศ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ใช้ใน 7 พื้นที่กรุงเทพฯ ประกอบด้วย เขตพระนคร เขตราชเทวี เขตป้อมปราบ เขตปทุมวัน เขตวังทองหลาง เขตวัฒนา และเขตดุสิต โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9-23 ก.พ.2554 เพื่อดูแลสถานการณ์และการชุมนุมของกลุ่มต่างๆ ที่คาดว่าอาจจะขยายหรือเคลื่อนย้ายการชุมนุม โดยขอให้ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนมติครม.ดังกล่าว และประกาศที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ศาลปกครองสูงสุด ได้รับคดีไว้พิจารณาเป็นหมายเลขดำ ฟ.11/2554 โดยจะมีคำสั่งว่าจะประทับรับฟ้องหรือไม่ต่อไป และจะไต่สวนฉุกเฉินเพื่อพิจารณาคำสั่งทุเลาการบังคับมติ ครม. หรือไม่ต่อไป
***ตำรวจใช้รถดับเพลิงเป็นเวทีร้องเพลง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา17.30น.ที่ทำเนียบรัฐบาล หลังจากการฝึกรักษาความปลอดภัยจากการชุมนุมฯ กลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกหน่วยงาน ที่ดูแลความเรียบร้อยทำเนียบรัฐบาลระหว่างการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ และเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ได้จัดกิจกรรมเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดให้กับเจ้าหน้าที่ โดยได้มีการดัดแปลงรถดับเพลิงเป็นเวที พร้อมเครื่องเสียง พร้อมกันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจแต่ละหน่วยได้ส่งตัวแทนขึ้นมาร้องเพลง สร้างความครึกครื้น สนุกสนานให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจบางคนถึงกับลุกขึ้นเต้น นอกจากนี้ ยังได้จัดคณะตลกมาแสดงโชว์ด้วย
ขณะเดียวกัน ในช่วงหัวค่ำ ได้มีการจัดฉายภาพยนตร์ ที่ด้านหลังลานจอดรถบริเวณตึกสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ของทุกๆ วัน
***"เทือก"ส่งซิกให้ตำรวจลุยพันธมิตรฯ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงปัญหาการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่กดดันรัฐบาลอยู่ในขณะนี้ว่า เมื่อวันที่ 14 ก.พ. ที่ผ่านมา พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ได้รายงานว่า จะมีการดำเนินการที่จะนำไปสู่การบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งตนได้พูดกับผบ.ตร.แล้วว่า ตนไม่ได้กำหนดว่าต้องเป็นวันนั้น เวลานี้ แต่โดยหลักการตนเห็นด้วยอย่างยิ่งที่ตำรวจต้องทำหน้าที่ในการรักษาความสงบ เรียบร้อยของบ้านเมือง ตำรวจต้องบังคับใช้กฎหมาย และเลือกเวลาให้เหมาะก็แล้วกัน
"ตำรวจไม่จำเป็นต้องมาขออนุมัติจากรัฐบาลก่อน แต่ตำรวจต้องขอหมายศาล ไปตามขั้นตอน เพียงแต่เขาไม่ต้องการให้เกิดความร้าวฉาน หรือมีคนไปวิพากษ์วิจารณ์ว่าลุแก่อำนาจ ทำเกินกว่าเหตุ จึงต้องทำด้วยความระมัดระวัง"
ส่วนการที่พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ฟ้องต่อศาลเรียกค่าเสียหาย 220 ล้านบาทกับ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร. อดีตหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีก่อการร้าย และบุกรุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ก็เป็นวีธีการต่อสู้อย่างหนึ่ง เมื่อประสงค์จะใช้สิทธิทางกฎหมาย ก็ให้ไปพิสูจน์กัน
เมื่อเวลา 17.00 น. บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ และนายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน ร่วมกันแถลงข่าวประจำวันต่อสื่อมวลชน
พล.ต.จำลอง กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 (ผบก.น.1) เดินทางมายังเวทีพันธมิตรฯ เพื่อเจรจาขอให้เปิดช่องทางจราจรในช่วงบ่ายวานนี้ (15 ก.พ.) ว่า ทางตำรวจได้มาพบกับเรา โดยได้พูดคุยเรื่องการขอพื้นที่การชุมนุมคืน เพื่อเปิดช่องทางการจราจร ซึ่งทางพันธมิตรฯ ได้ปฏิเสธไป ทั้งยังมีการพูดถึงการตรวจค้นอาวุธในพื้นที่ชุมนุม ซึ่ง พล.ต.ต.วิชัยก็เป็นผู้ระบุเองว่ายังไม่พบข้อมูลว่ามีการซุกซ่อนอาวุธในพื้นที่นี้
อย่างไรก็ตาม พันธมิตรฯ ยืนยันว่า ตลอด 22 วันที่ผ่านมา มีกฎห้ามนำอาวุธและของมึนเมาเข้าพื้นที่โดยเด็ดขาด แต่หากตำรวจจะมาช่วยตรวจค้นดูแลก็ถือเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งตนจะมีการเน้นย้ำกับผู้ชุมนุมถึงกฎระเบียบอีกครั้ง และหากพบว่ามีพฤติกรรมพกพาอาวุธแล้วถูกจับกุม ทางพันธมิตรฯ จะไม่ให้ความช่วยเหลือเด็ดขาด
ส่วนการออกหมายเรียกของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังไม่ได้รับหมายเรียก แต่ทราบรายชื่อคร่าวๆ มาบ้าง ซึ่งมีนายปานเทพ นายประพันธ์ และตนรวมอยู่ด้วย โดยยืนยันว่าจะให้ความร่วมมือกับกระบวนการยุติธรรมแน่นอน
***อัดรัฐบาลอ่อนแอปล่อยไทยเสียดินแดน
พล.ต.จำลอง กล่าวว่า บัดนี้เป็นที่ประจักษ์ขัดว่าประเทศไทยได้เสียดินแดนไปแล้ว เพราะรัฐบาลไม่ยอมทำตาม 3 ข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ ซึ่งหากทำตามก็จะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นมากมายเช่นนี้ และนำดินแดนที่เสียไปแล้วกลับมาได้ ทั้งยังเป็นการป้องกันการเสียดินแดนในอนาคตอย่างยั่งยืนอีกด้วย
ส่วนกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ภายหลังทราบผลการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) โดยระบุว่า มีความแปลกใจในท่าทีของพันธมิตรฯ ที่โต้แย้งในประเด็นต่างๆ โดยเฉพาะประเด็นแผนที่มาตรส่วน 1 ต่อ 2 แสน ระวางดงรักนั้น นายปานเทพกล่าวว่า จากถ้อยแถลงของนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ เป็นเครื่องพิสูจน์ชัดในการไม่โต้แย้งทางกัมพูชาที่ได้กล่าวอ้างแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสนทุกระวาง รวมถึงระวางดงรัก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเสียเปรียบในแง่การทูตที่ไม่มีการโต้แย้งตั้งแต่แถลงการณ์กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาเมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา และมาถูกซ้ำอีกครั้งในเวที UNSC แต่ฝ่ายไทยก็ยังไม่สามารถโต้แย้งได้ เช่นเดียวกับพฤติกรรมที่ฝ่ายไทยปล่อยให้กัมพูชารุกรานดินแดนโดยอ้างแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ผลลัพธ์ออกมาว่าไทยได้สูญเสียดินแดนไปแล้ว โดยเฉพาะพื้นที่ในระวางดงรัก
***แฉ"ฮุนเซน"ขอจำกัดพื้นที่ห่วงกระทบบ่อน
นายปานเทพ ยังได้กล่าวถึงคำให้สัมภาษณ์ของนายฮุนเซน นายกฯ กัมพูชา ระบุว่าอยากให้จำกัดวงการปะทะเฉพาะเขตเขาพระวิหาร ไม่ให้กระทบไปถึงชายแดนบริเวณปอยเปตว่า การจำกัดพื้นที่เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้ลุกลามไปถึงชายแดนที่เป็นบ่อนคาสิโน โดยอ้างว่าเป็นนโยบายของรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่าย จึงยิ่งทำให้เราเคลือบแคลงสงสัยมากไปอีกว่ามีการตกลงผลประโยชน์ต่อกัน ทำให้ไม่มีการผลักดันกองกำลังติดอาวุธของกัมพูชาออกจากดินแดนไทย ที่สำคัญวันนี้ยังเกิดเหตุปะทะกันอีก โดยกัมพูชาไม่หยุดยิง ทั้งที่ UNSC เรียกร้องให้มีการหยุดยิงแล้ว ยิ่งสะท้อนว่าสิ่งที่พันธมิตรฯ ได้เตือนว่าการปล่อยให้มีฐานทัพกัมพูชาอยู่ในประเทศไทยจะเป็นอันตรายต่อราษฎรและทหารไทย และแสดงให้เห็นว่าข้อตกลงการหยุดยิงถาวรไม่สามารถเกิดขึ้นในทางปฏิบัติ
“ความไม่เข้าใจระหว่างภาคประชาชนที่นำเสนอปัญหาถึงรัฐบาล แล้วรัฐบาลไม่มีความเข้าใจและไม่ตอบสนอง เห็นผลลัพธ์แล้วว่ามีปัญหาอยู่จริง โดยยังยุติไม่ได้ด้วยมาตรการของรัฐบาลในขณะนี้” นายปานเทพกล่าว
***เข้าทางเขมรดึงประเทศที่3เอี่ยวข้อพิพาท
นายปานเทพยังได้หยิบยกข้อคิดเห็นของนายดอน ปรมัตถ์วินัย อดีตเอกอัครราชทูตและผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ ที่เตือนรัฐบาลไทยว่าอย่าดีใจกับผลการประชุมของ UNSC มาสนับสนุนด้วยว่า อดีตทูตดอนระบุว่าข้อแนะนำของ UNSC ที่ให้อาเซียนมาเป็นพี่เลี้ยง จึงไม่ใช่การเจรจาทวิภาคีที่แท้จริง เนื่องจากที่ประเทศที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นแนวทางที่กัมพูชาวางแผนไว้ตั้งแต่ปี 51 หรือเป็นแผน 2 หาก UN ไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวได้ ก็จะดึงอาเซียนเข้ามาเป็นประเทศที่ 3
ทั้งนี้ นายปานเทพยังระบุอีกว่า อดีตทูตดอนได้ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ในการประชุมวันที่ 22 ก.พ.นี้ จะเป็นลักษณะที่ผู้แทนอาเซียนเข้ามากำกับอีกชั้นหนึ่ง ต่างจากแนวทางเดิมในปี 51 ที่ไทยยืนยันว่าต้องเป็นการเจรจาระดับทวิภาคีเท่านั้น ทำให้การประชุมเป็นการรับลูกต่อจาก UNSC โดยอาเซียนจะให้ตัวแทน 3-4 ประเทศ หรือประธานอาซียนมาเป็นพี่เลี้ยง ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่การเจรจา 2 ประเทศอีกต่อไป ต่างจากความเห็นของนายกฯ อภิสิทธิ์ที่ว่า MOU 2543 มีประโยชน์นั้นก็ไม่เป็นความจริงอีกต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการเจรจากรอบของอาเซียนจะมีการจ้างบริษัทเอกชนเพื่อทำการถ่ายภาพทางอากาศหาหลักเขตที่หายไปจะเป็นการแก้ปัญหาหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า กรณีหลักเขตแดนไม่สามารถดูภาพถ่ายดาวเทียมหรือทางอากาศอย่างเดียวได้ เพราะบางพื้นที่เป็นที่ราบ ไม่มีสันปันน้ำหรือร่องน้ำลึกใช้อ้างอิง จึงไม่ได้เป็นคำตอบเสมอไป สิ่งที่เป็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากกว่า คือบันทึกการเจรจาเมื่อปี 1909 และ 1919 ที่มีการทำหลักเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศส รวมถึงบันทึกการประชุมปี 1907 ที่สรุปแล้วว่าเขตแดน จ.ศรีสะเกษถึงจ.อุบลราชธานี ให้ใช้ขอบหน้าผาเป็นหลักเขตแดน ดังนั้น หากเริ่มต้นใหม่ในการใช้ดาวเทียมเหมือนเป็นการเริ่มใหม่โดยละทิ้งผลงานเมื่อ 103 ปีก่อน ซึ่งอาจทำให้ไทยต้องเสียดินแดนเพิ่มเติม ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ กับการปกป้องดินแดน
***อัด"มาร์ค"งมโข่งคิดว่าตัวเองชนะเวทีโลก
ทางด้านนายประพันธ์กล่าวว่า รัฐบาลไม่น่าใช้เวลาหาเรื่องตอแยในการหาเรื่องผู้ชุมนุม ทั้งที่เป็นการชุมนุมโดยสันติ ซึ่งรัฐบาลก็ประกาศอยู่เสมอว่าเคารพและส่งเสริมสิทธิทางประชาธิปไตยของประชาชน พรรคประชาธิปัตย์เองก็เคยสนับสนุนการชุมนุมที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ด้วยซ้ำ แสดงให้เห็นว่านายกฯ อภิสิทธิ์หลงเกมตัวเอง และเพลี่ยงพล้ำในเกมระหว่างประเทศ พยายามมาบิดเบือนมอมเมาให้คนไทยหลงว่าได้รับชัยชนะในเวทีโลก นายกฯ อภิสิทธิ์ต้องรับฟังความเห็นประชาชน โดยใช้ข้อแนะนำของ UNSC มาลำพองว่าเป็นผลงานของรัฐบาล ทั้งที่เพลี่ยงพล้ำให้กับกัมพูชา
***สมณะโพธิรักษ์ติด10รายชื่อผู้โชคดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการแถลงข่าว นายเติมศักดิ์ จารุปราณ ที่ทำหน้าที่โฆษกบนเวทีได้ประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับการออกหมายเรียกจากตำรวจ ฐานเป็นแกนนำทำผิดต่อพ.ร.บ.ความมั่นคง ซึ่งประกอบด้วย นายสนธิ ลิ้มทองกุล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นายประพันธ์ คูณมี นายพิภพ ธงไชย นายเทิดภูมิ ใจดี นายสุริยะใส กตะศิลา สมณโพธิรักษ์ นายอมร อมรรัตนานนท์ และนายทศพล แก้วธิมา ตลอดการประกาศรายชื่อกลุ่มผู้ชุมนุมได้โห่แสดงความไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะเมื่อประกาศชื่อสมณะโพธิรักษ์
***ฟ้องศาลปกครองเพิกถอนพ.ร.บ.มั่นคง
ในวันเดียวกันนี้ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เลขาธิการสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย และสมาชิกเครือข่ายประชาชนหัวใจรักชาติ และพล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ประธานสมัชชาประชาชนฯ ได้ยื่นฟ้องคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อศาลปกครองสูงสุด เรื่องกระทำการโดยมิชอบที่มีการประกาศ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ใช้ใน 7 พื้นที่กรุงเทพฯ ประกอบด้วย เขตพระนคร เขตราชเทวี เขตป้อมปราบ เขตปทุมวัน เขตวังทองหลาง เขตวัฒนา และเขตดุสิต โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9-23 ก.พ.2554 เพื่อดูแลสถานการณ์และการชุมนุมของกลุ่มต่างๆ ที่คาดว่าอาจจะขยายหรือเคลื่อนย้ายการชุมนุม โดยขอให้ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนมติครม.ดังกล่าว และประกาศที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ศาลปกครองสูงสุด ได้รับคดีไว้พิจารณาเป็นหมายเลขดำ ฟ.11/2554 โดยจะมีคำสั่งว่าจะประทับรับฟ้องหรือไม่ต่อไป และจะไต่สวนฉุกเฉินเพื่อพิจารณาคำสั่งทุเลาการบังคับมติ ครม. หรือไม่ต่อไป
***ตำรวจใช้รถดับเพลิงเป็นเวทีร้องเพลง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา17.30น.ที่ทำเนียบรัฐบาล หลังจากการฝึกรักษาความปลอดภัยจากการชุมนุมฯ กลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกหน่วยงาน ที่ดูแลความเรียบร้อยทำเนียบรัฐบาลระหว่างการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ และเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ได้จัดกิจกรรมเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดให้กับเจ้าหน้าที่ โดยได้มีการดัดแปลงรถดับเพลิงเป็นเวที พร้อมเครื่องเสียง พร้อมกันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจแต่ละหน่วยได้ส่งตัวแทนขึ้นมาร้องเพลง สร้างความครึกครื้น สนุกสนานให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจบางคนถึงกับลุกขึ้นเต้น นอกจากนี้ ยังได้จัดคณะตลกมาแสดงโชว์ด้วย
ขณะเดียวกัน ในช่วงหัวค่ำ ได้มีการจัดฉายภาพยนตร์ ที่ด้านหลังลานจอดรถบริเวณตึกสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ของทุกๆ วัน
***"เทือก"ส่งซิกให้ตำรวจลุยพันธมิตรฯ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงปัญหาการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่กดดันรัฐบาลอยู่ในขณะนี้ว่า เมื่อวันที่ 14 ก.พ. ที่ผ่านมา พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ได้รายงานว่า จะมีการดำเนินการที่จะนำไปสู่การบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งตนได้พูดกับผบ.ตร.แล้วว่า ตนไม่ได้กำหนดว่าต้องเป็นวันนั้น เวลานี้ แต่โดยหลักการตนเห็นด้วยอย่างยิ่งที่ตำรวจต้องทำหน้าที่ในการรักษาความสงบ เรียบร้อยของบ้านเมือง ตำรวจต้องบังคับใช้กฎหมาย และเลือกเวลาให้เหมาะก็แล้วกัน
"ตำรวจไม่จำเป็นต้องมาขออนุมัติจากรัฐบาลก่อน แต่ตำรวจต้องขอหมายศาล ไปตามขั้นตอน เพียงแต่เขาไม่ต้องการให้เกิดความร้าวฉาน หรือมีคนไปวิพากษ์วิจารณ์ว่าลุแก่อำนาจ ทำเกินกว่าเหตุ จึงต้องทำด้วยความระมัดระวัง"
ส่วนการที่พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ฟ้องต่อศาลเรียกค่าเสียหาย 220 ล้านบาทกับ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร. อดีตหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีก่อการร้าย และบุกรุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ก็เป็นวีธีการต่อสู้อย่างหนึ่ง เมื่อประสงค์จะใช้สิทธิทางกฎหมาย ก็ให้ไปพิสูจน์กัน