xs
xsm
sm
md
lg

“จำลอง” ปัดคืนพื้นผิวจราจร ย้ำให้ปฏิบัติตาม 3 ข้อเรียกร้อง เพื่อนำอธิปไตยกลับคืน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


พล.ต.จำลอง ย้ำอีกรอบ ปฏิเสธคืนผิวการจราจร สะพานมัฆวาน จนกว่า รบ.จะทำตาม 3 ข้อเรียกร้อง พธม.ชี้ ไทยเสียอธิปไตยไปแล้ว พร้อมเข้าพบ ตร.ตามหมายเรียก ยันไม่มีข้อมูลซุกซ่อนอาวุธในที่ชุมนุม ด้านโฆษกพันธมิตรฯ สับ “มาร์ค” เถียงไม่ออก เสียท่าแขมร์อ้าง 1 ต่อ 2 แสน ไม่เห็นด้วยใช้แผนที่อากาศตัดสินเขตแดน หนุน “ทูตดอน” บอกไทยหลงกลเขมร นั่งโต๊ะคุยอาเซียน ขณะที่มวลชนโห่เกรียว “นวยนิ่ม” ออกหมายเรียกมั่ว หลังเวทีประกาศ 10 ผู้โชคดี ไม่เว้นพระโพธิรักษ์


วันนี้ (15 ก.พ.) ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ และ นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน ร่วมกันแถลงข่าวประจำวันต่อสื่อมวลชน โดย พล.ต.จำลอง กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 (ผบก.น.1) เดินทางยังเวทีพันธมิตรฯเพื่อเจรจาขอให้เปิดช่องทางจราจรในช่วงบ่ายวันนี้ (15 ก.พ.) ว่า ทางตำรวจได้มาพบกับเรา โดยได้พูดคุยเรื่องการขอพื้นที่การชุมนุมคืนเพื่อเปิดช่องทางการจราจร ซึ่งทางพันธมิตรฯได้ปฏิเสธไป ทั้งยังมีการพูดถึงการตรวจค้นอาวุธในพื้นที่ชุมนุม ซึ่ง พล.ต.ต.วิชัย ก็เป็นผู้ระบุเอง ว่า ยังไม่พบข้อมูลว่ามีการซุกซ่อนอาวุธในพื้นที่นี้ อย่างไรก็ตาม พันธมิตรฯยืนยันว่า ตลอด 22 วันที่ผ่านมา มีกฎห้ามนำอาวุธและของมึนเมาเข้าพื้นที่โดยเด็ดขาด แต่หากตำรวจจะมาช่วยตรวจค้นดูแลก็ถือเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งตนจะมีการเน้นย้ำกับผู้ชุมนุมถึงกฎระเบียบอีกครั้ง และหากพบว่ามีพฤติกรรมพกพาอาวุธแล้วถูกจับกุม ทางพันธมิตรฯจะไม่ให้ความช่วยเหลือเด็ดขาด

พล.ต.จำลอง กล่าวถึงการออกหมายเรียกของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ตนยังไม่ได้รับหมายเรียก แต่ทราบรายชื่อคร่าวๆ มาบ้าง ซึ่งมีนายปานเทพ นายประพันธ์ และตนรวมอยู่ด้วย ทั้งนี้ ยืนยันว่าจะให้ความร่วมมือกับกระบวนการยุติธรรมแน่นอน

พล.ต.จำลอง กล่าวอีกว่า บัดนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าประเทศไทยได้เสียดินแดนไปแล้ว เพราะรัฐบาลไม่ยอมทำตาม 3 ข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ ซึ่งหากทำตามก็จะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นมากมายเช่นนี้ และนำดินแดนที่เสียไปแล้วกลับมาได้ ทั้งยังเป็นการป้องกันการเสียดินแดนในอนาคตอย่างยั่งยืนอีกด้วย

ในส่วนกรณีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ภายหลังทราบผลการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) โดยระบุว่า มีความแปลกใจในท่าทีของพันธมิตรฯที่โต้แย้งในประเด็นต่างๆ โดยเฉพาะประเด็นแผนที่มาตรส่วน 1 ต่อ 2 แสน ระวางดงรักนั้น นายปานเทพ กล่าวว่า จากถ้อยแถลงของ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ เป็นเครื่องพิสูจน์ชัดในการไม่โต้แย้งทางกัมพูชาที่ได้กล่าวอ้างแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสนทุกระวาง รวมถึงระวางดงรักด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเสียเปรียบในแง่การทูตที่ไม่มีการโต้แย้งตั้งแถลงการณ์กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาเมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา และมาถูกซ้ำอีกครั้งในเวที UNSC แต่ฝ่ายไทยก็ยังไม่สามารถโต้แย้งได้ เช่นเดียวกับพฤติกรรมที่ฝ่ายไทยปล่อยให้กัมพูชารุกรานดินแดนโดยอ้างแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ผลลัพธ์ออกมาว่าไทยได้สูญเสียดินแดนไปแล้ว โดยเฉพาะพื้นที่ในระวางดงรัก

นายปานเทพ ยังได้กล่าวถึงคำให้สัมภาษณ์ของ นายฮุนเซน นายกฯกัมพูชา ระบุว่า อยากให้จำกัดวงการปะทะเฉพาะเขตเขาพระวิหาร ไม่ให้กระทบไปถึงชายแดนบริเวณปอยเปต ว่า การจำกัดพื้นที่เช่นนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้ลุกลามไปถึงชายแดนที่เป็นบ่อนคาสิโน ดดยอ้างว่าเป็นนโยบายของรัฐบาสลทั้ง 2 ฝ่าย จึงยิ่งทำให้เราเคลือบแคลงสงสัยมากไปอีกว่ามีการตกลงผลประโยชน์ต่อกัน ทำให้ไม่มีการผลักดันกองกำลังติดอาวุธของกัมพูชาออกจากดินแดนไทย ที่สำคัญวันนี้ยังเกิดเหตุปะทะกันอีก โดยกัมพูชาไม่หยุดยิง ทั้งที่ UNSC เรียกร้องให้มีการหยุดยิงแล้ว ยิ่งสะท้อนว่าสิ่งที่พันธมิตรฯได้เตือนว่าการปล่อยให้มีฐานทัพกัมพูชาอยู่ในประเทศไทยจะเป็นอันตรายต่อราษฎรและทหารไทย และแสดงให้เห็นว่าข้อตกลงการหยุดยิงถาวรไม่สามารถเกิดขึ้นในทางปฏิบัติ

“ความไม่เข้าใจระหว่างภาคประชาชนที่นำเสนอปัญหาถึงรัฐบาล แล้วรัฐบาลไม่มีความเข้าใจและไม่ตอบสนอง เห็นผลลัพธ์แล้วว่ามีปัญหาอยู่จริง โดยยังยุติไม่ได้ด้วยมาตรการของรัฐบาลในขณะนี้” นายปานเทพ กล่าว

นายปานเทพ ยังได้หยิบยกข้อคิดเห็นของนายดอน ปรมัตถ์วินัย อดีตเอกอัครราชทูตและผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ ที่เตือนรัฐบาลไทยว่าอย่าดีใจกับผลการประชุมของ UNSC มาสนับสนุนด้วยว่า อดีตทูตดอนระบุว่าข้อแนะนำของ UNSC ที่ให้อาเซียนมาเป็นพี่เลี้ยง จึงไม่ใช่การเจรจาทวิภาคีที่แท้จริง เนื่องจากที่ประเทศที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นแนวทางที่กัมพูชาวางแผนไว้ตั้งแต่ปี 51 หรือเป็นแผน 2 หาก UN ไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวได้ก็จะดึงอาเซียนเข้ามาเป็นประเทศที่ 3 ทั้งนี้อดีตทูตดอนยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ในการประชุมวันที่ 22 ก.พ.นี้จะเป็นลักษณะที่ผู้แทนอาเซียนเข้ามากำกับอีกชั้นหนึ่ง ต่างจากแนวทางเดิมในปี 51 ที่ไทยยืนยันว่าต้องเป็นการเจรจาระดับทวิภาคีเท่านั้น ทำให้การประชุมเป็นการรับลูกต่อจาก UNSC โดยอาเซียนจะให้ตัวแทน 3-4 ประเทศ หรือประธานอาซียนมาเป็นพี่เลี้ยง ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่การเจรจา 2 ประเทศอีกต่อไป ต่างจากความเห็นของนายกฯอภิสิทธิ์ที่ว่า MOU 2543 มีประโยชน์นั้นก็ไม่เป็นความจริงอีกต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการเจรจากรอบของอาเซียนจะมีการจ้างบริษัทเอกชนเพื่อทำการถ่ายภาพทางอากาศหาหลักเขตที่หายไปจะเป็นการแก้ปัญหาหรือไม่ นายปาน กล่าวว่า กรณีหลักเขตแดนไม่สามารถดูภาพถ่ายดาวเทียมหรือทางอากาศอย่างเดียวได้ เพราะบางพื้นที่เป็นที่ราบ ไม่มีสันปันน้ำหรือร่องน้ำลึกใช้อ้างอิง จึงไม่ได้เป็นคำตอบเสมอไป สิ่งที่เป็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากกว่าคือบันทึกการเจรจาเมื่อปี 1909 และ 1919 ที่มีการทำหลักเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศส รวมถึงบันทึกการประชุมปี 1907 ที่สรุปแล้วว่าเขตแดนตั้ง จ.ศรีสะเกษถึง จ.อุบลราชธานี ให้ใช้ขอบหน้าผาเป็นหลักเขตแดน ดังนั้น หากเริ่มต้นใหม่ในการใช้ดาวเทียมเหมือนเป็นการเริ่มใหม่โดยละทิ้งผลงานเมื่อ 103 ปีก่อน ซึ่งอาจทำให้ไทยต้องเสียดินแดนเพิ่มเติม ไม่เกิดประโยชน์ใดๆกัยการปกป้องดินแดน

ในส่วนการออกหมายเรียกและความพยามในการขอคืนพื้นที่จราจรของตำรวจนั้น โฆษกพันธมิตรฯกล่าวว่า เป็นเรื่องบรรทัดฐานที่จะถูกอ้างอิงในอนาคตว่าประชาชนไทยสามารถสิทธิตามรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยได้จริงหรือไม่ หากนักการเมืองใช้จินตนาการในการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงเพื่อให้สลายการชุมนุมเข้าข่ายการทำลายเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญมาตรา 63 ชัดเจน ซึ่งหากประชาชนไม่ต่อสู้ ก็แสดงว่าในอนาคตผู้ชุมนุมต้องหนีทุกครั้ง หากรัฐบาลในจินตนาการส่วนตัวประกาศบังคับใช้กฎหมาย อย่างไรก็ตามถือเป็นการเดิมพันระหว่างภาคประชาชนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่หากออกหมายเรียกโดยที่ประชชนไม่มีความผิดจริง เจ้าหน้าที่ก็ต้องถูกฟ้องกลับแน่นอน

ขณะที่ นายประพันธ์ กล่าวว่า รัฐบาลไม่น่าใช้เวลาหาเรื่องตอแยในการหาเรื่องผู้ชุมนุม ทั้งที่เป็นการชุมนุมโดยสันติ ซึ่งรัฐบาลก็แระกาศอยู่เสมอว่าเคารพและส่งเสริมสิทธิทางประชาธิปไตยของประชาชน พรรคประชาธิปัตย์เองก็เคยสนับสนุนการชุมนุมที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ด้วยซ้ำ แสดงให้เห็นว่านากยฯอภิสิทธิ์หลงเกมตัวเอง และเพลี่ยงพล้ำในเกมระหว่างประเทศ พยายามมาบิดเบือนมอมเมาให้คนไทยหลงว่าได้รับชัยชนะในเวทีโลก นายกฯอภิสิทธิ์ต้องรับฟังความเห็นประชาชน โดยใช้ข้อแนะนำของ UNSC มาลำพอง ว่า เป็นผลงานของรัฐบาล ทั้งที่เพลี่ยงพล้ำให้กับกัมพูชา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการแถลงข่าว นายเติมศักดิ์ จารุปราณ ที่ทำหน้าที่โฆษกบนเวทีได้ประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับการออกหมายเรียกจากตำรวจ ฐานเป็นแกนนำทำผิดต่อ พ.ร.บ.ความมั่นคง ซึ่งประกอบด้วย นายสนธิ ลิ้มทองกุล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นายประพันธ์ คูณมี นายพิภพ ธงไชย นายเทิดภูมิ ใจดี นายสุริยะใส กตะศิลา สมณโพธิรักษ์ นายอมร อมรรัตนานนท์ และ นายทศพล แก้วธิมา ตลอดการประกาศรายชื่อกลุ่มผู้ชุมนุมได้โห่แสดงความไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะเมื่อประกาศชื่อสมณโพธิรักษ์
กำลังโหลดความคิดเห็น