ASTVผู้จัดการรายวัน-“ จำลอง”ฟ้องแพ่งเรียก 220 ล้าน “สมยศ”ละเมิดตั้งข้อหาก่อการร้ายแรงเกินพฤติการณ์ ให้สัมภาษณ์ขู่ออกหมายจับหากเบี้ยวหมายเรียก ศาลนัดชี้ 25 เม.ย.นี้ ด้าน"สมยศ"ถอดใจ ขอลาออกจากหัวหน้าพนักงานสืบสวน อ้างถูกกดดัน กระทบครอบครัวและคนใกล้ชิด "สุริยะใส"ย้ำชัดใช้เงินส่วนตัวทำคดีรับใช้การเมืองกลั่นแกล้งพันธมิตรฯงานเสร็จลาออก
วานนี้(14 ก.พ.)เวลา 11.00 น. ที่ ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ( พธม.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร.ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ดำเนินคดีที่กลุ่มพันธมิตร ฯ เป็นจำเลยเรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหาย 220 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
โดยโจทก์บรรยายฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 8 ต.ค.53 จำเลยออกหมายเรียกโจทก์ และบุคคลอื่นอีกหลายคน และตั้งข้อกล่าวหาว่าโจทก์เป็นผู้ก่อการร้าย กรณีที่นายกมล น้อยทองเล็ก รับมอบอำนาจจาก ผอ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานี ตำรวจราชาเทวะ ว่ามีกลุ่มพันธมิตรฯ 3,000 คนเดินทางเข้ามาที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมยังเข้าไปในอาคารผู้โดยสารชั้น 4 เป็นการฝ่าฝืนประกาศของท่าอากาศยานฯ และเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ ของท่าอากาศยานฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา และเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2521 นอกจากนี้จำเลยได้แถลงข่าวยืนยันว่าจะดำเนินคดีกับโจทก์ในข้อหาผู้ก่อการร้าย และให้สัมภาษณ์ข่มขู่โจทก์ว่าหากไม่มาตามหมายเรียกจะออกหมายจับโจทก์ในข้อหา ก่อการร้าย ซึ่งการตั้งข้อหาร้ายแรงกว่าพฤติการณ์แห่งคดีเพราะโจทก์ไม่ได้ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอันใดให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกาย หรือเสรีภาพของบุคคลใดๆ
การที่โจทก์ชุมนุมประท้วงและเคลื่อนไหวเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมอันเป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้มุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทยหรือรัฐบาลต่างประเทศให้กระทำหรือไม่กระทำการใดที่จะก่อให้เกิดผลเสียหายอย่างร้ายแรงและ การที่ขึ้นต้นหมายเรียกทุกฉบับด้วยข้อหาเป็นผู้ก่อการร้าย รวมทั้งแถลงข่าวให้สัมภาษณ์ข่มขู่โจทก์ว่าหากไม่มาตามหมายเรียกจะออกหมายจับ ในข้อหาก่อการร้ายทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าได้ทันทีว่าโจทก์เป็นคนไม่ดี เป็นหัวหน้าผู้ก่อการร้าย เป็นบุคคลอันตรายต่อประเทศชาติ การกระทำของจำเลยไม่ถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายจาก สตช. เพราะสตช.เพียงแต่งตั้งให้จำเลยเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนตามที่มีผู้มาร้อง ทุกข์ ซึ่งไม่มีผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษว่าโจทก์มีความผิดฐานก่อการร้าย ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 135/1 - 4 อีกทั้ง สตช.และตำรวจภายใต้การบังคับบัญชาของจำเลย เคยยื่นคำร้องขอออกหมายจับ พล.อ.ปฐมพงศ์ เกสรศุกร์ และบุคคลอื่นในข้อหาผู้ก่อการร้ายต่อศาลอาญา โดยอาศัยข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานชุดเดียวกันกับการออกหมายเรียกโจทก์ในคดี นี้ แต่ศาลอาญาไม่เคยออกหมายจับบุคคลใดในข้อหาผู้ก่อการร้าย แสดงว่าการกระทำของจำเลยเป็นการนอกเหนืออำนาจหน้าที่ จงใจฝ่าฝืนทำให้โจทก์เสียหายหลายครั้ง จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 220 ล้านบาท และให้ลงโฆษณาในหนังสือทุกฉบับเป็นเวลา 30 วัน
ศาลรับคำฟ้องไว้พิจารณาเป็นคดีหมายเลขดำที่ 496/2554 โดยศาลชี้สองสถานเพื่อกำหนดประเด็นนำสืบและวันสืบพยานในวันที่ 25 เม.ย.นี้ เวลา 09.00 น.
ภายหลัง พล.ต.จำลอง กล่าวว่า มีความตั้งใจยื่นฟ้องนานแล้วตั้งแต่ที่ถูกออกหมายเรียก แต่ทนายความมีภารกิจมากจึงเพิ่งจะนำคดีมาฟ้อง พร้อมยืนยันการยื่นฟ้องศาลแพ่งไม่ใช่การแก้แค้นที่ถูก พล.ต.ท.สมยศ ออกหมายเรียกหลายคดี แต่กรณีวันที่ 8 ก.ค.53 พนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกคดีก่อการร้าย และระบุว่าชื่อตนกับพวก ทำให้ตนได้รับความเสื่อมเสียเป็นอันมาก เพราะทำให้สาธารณชนเข้าใจตนเป็นหัวหน้าก่อการร้าย และหัวหน้าซ่องโจร ซึ่งการเรียกค่าเสีย 220 ล้านจึงไม่มากเกินไปเพราะได้พิจารณาจากส่วนที่เสื่อมเสียชื่อเสียงเกียรติยศ และประวัติการทำงานของตนที่ผ่านมา รวมทั้งความศรัทธาของประชาชนจำนวนมากที่มีต่อตน
“ส่วนที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ได้ออกหมายเรียกให้เข้าพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 15 ก.พ.นี้ กรณีละเมิดคำสั่งห้ามเข้าพื้นที่หวงห้าม หากมีการออกหมายเรียกจริงก็พร้อมให้ความร่วมมือ แต่แกนนำพันธมิตรยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าวและไม่ทราบว่าจะเป็นคดีด้านความมั่นคงหรือไม่ อย่างไรก็ดีแกนนำพันธมิตร ฯ และคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน พร้อมจะให้ความร่วมมือทุกขั้นตอน โดยจะไม่มีมวลชนเข้าไปกดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่” พล.ต.จำลอง กล่าว
**"สมยศ"ถอดใจชิงลาออก**
ต่อมาเวลา 14.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.)พล.ต.ท.สมยศ ได้นำสำเนาเอกสารบันทึกข้อความที่ 0001(กม 1) ลงวันที่ 11 ก.พ.2554 เรื่องขอลาออกจากการเป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีกลุ่มพันธมิตรฯ บุกรุกท่าอากาศยานดอนเมือง และบริเวณท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่ส่งถึงพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. มาแจกจ่ายให้กับสื่อมวลชน
โดยรายละเอียดในบันทึกข้อความดังกล่าวระบุว่า หลังจากที่ได้รับคำสั่งแล้ว กระผมได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าวมาโดยตลอด กระผมได้ทุ่มเททั้งกำลังกาย กำลังใจและได้ใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัวไปเป็นจำนวนมาก โดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่อย่างใด จนกระทั่งการสอบสวนเสร็จสิ้นและมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาตามข้อกล่าวหาเสนอสำนวนการสอบสวนให้ ผบ.ตร.พิจารณา ระหว่างที่กระผมรับผิดชอบเป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนในคดีนี้ กระผมถูกวิพากษ์วิจารณ์และถูกกล่าวหาจากหลายฝ่ายว่า ไม่มีความเหมาะสม อีกทั้งยังได้รับความกดดันจากหลายๆด้าน และยังส่งผลกระทบถึงครอบครัวและคนใกล้ชิดมาโดยตลอดจนกระทั่งปัจจุบัน เพื่อเป็นการแก้ปัญหาในทุกๆด้านที่เกิดขึ้น กระผมจึงขอให้ท่านเปลี่ยนตัวหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีนี้แทนกระผม
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า สำหรับการสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าว ก่อนหน้านี้ทางพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผบ.ตร. ได้มีคำสั่งตร.ที่ 444/2552 ลงวันที่ 9 ก.ย.2552 เรื่องเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน แต่งตั้งพนักงานสืบสวนสอบสวน(เพิ่มเติม) และต่อมาพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผบ.ตร. ก็ได้มีคำสั่ง ตร.ที่ 373/2553 ลงวันที่ 10 ส.ค.2553 เรื่องยกเลิกและแต่งตั้งพนักงานสืบสวนสอบสวน ซึ่งคำสั่งตร.ทั้ง 2 ฉบับ ได้แต่งตั้งและมอบหมายให้พล.ต.ท.สมยศ เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน
**"สุริยะใส"เชื่อสมยศลาออกเพราะงานเสร็จแล้ว
นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ เปิดเผยถึงการลาออกของ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง จากหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีพันธมิตรชุมนุมสนามบินฯ ด้วยข้ออ้างว่าถูกกดดัน ทั้งส่วนตัวและครอบครัว คงไม่จริงและฟังไม่ขึ้น เพราะท่านรู้ดีตั้งแต่ต้นว่านี่เป็นคดีการเมือง หวังกลั่นแกล้งแกนนำพันธมิตรฯ เท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านั้น พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ได้ลาออกจากหัวหน้าทีมชุดสอบสวนเพราะรู้เบื้องหน้าเบื้องหลังคดีนี้เป็นอย่างดี
จากนั้นฝ่ายการเมืองที่ต้องการทำลายพันธมิตรฯ ก็ให้ พล.ต.ท.สมยศ มารับงานนี้แทน และก็ทำงานจนสำเร็จแล้ว อย่างน้อยก็ทำให้แกนนำพันธมิตรฯเสื่อมเสียชื่อเสียง เพราะถูกออกทั้งหมายเรียกและหมายจับ ซึ่งเข้าข่ายเป็นการกลั่นแกล้งอย่างชัดเจน
ส่วนที่ พล.ต.ท.สมยศ บอกว่าทำคดีพันธมิตรปิดสนามบิน ด้วยเงินส่วน สตช.ไม่เคยสนับสนับสนุนเลย ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า ความพยายามตั้งข้อหาก่อการร้ายแกนนำพันธมิตรฯ นั้นเป็นความต้องการส่วนตัวของฝ่ายการเมือง จึงเลือกใช้งาน พล.ต.ท.สมยศ ให้จัดการเรื่องนี้ เพื่อกลั่นแกล้งเล่นงานพันธมิตรฯ ด้วยการยัดข้อหาที่เป็นเท็จ โดยเฉพาะข้อกล่าวก่อการร้าย ซึ่ง พล.ต.ท.สมยศ ก็ทำสำนวนและเสนอสั่งฟ้องแกนนำพันธมิตรฯ ไปแล้วและเรื่องอยู่ระหว่างให้ ผบ.ตร.ตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะส่งฟ้องหรือไม่
แม้ พล.ต.ท.สมยศ จะถอนตัวไปแล้วแต่ก็คงไม่หลุดจากข้อกล่าวหาที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมืองไปฟ้องคดีแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหาย 220 ล้านบาท ซึ่งคงไม่ใช่แต่ พล.ต.ท.สมยศ เท่านั้นที่ต้องโดนฟ้องกลับบ้างยังมีนายตำรวจอีกหลายคนที่มีพฤติกรรมกลั่นแกล้งพันธมิตรฯ ด้วยการยัดข้อหาที่เกินจริง ต้องถูกดำเนินคดีกลับเช่นกัน การถอนตัวจากหัวหน้าพนักงานสอบสวน จึงไม่สามารถหนีข้อกล่าวหากลั่นแกล้งประชาชนที่ชุมนุมโดยสุจริตได้
วานนี้(14 ก.พ.)เวลา 11.00 น. ที่ ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ( พธม.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร.ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ดำเนินคดีที่กลุ่มพันธมิตร ฯ เป็นจำเลยเรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหาย 220 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
โดยโจทก์บรรยายฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 8 ต.ค.53 จำเลยออกหมายเรียกโจทก์ และบุคคลอื่นอีกหลายคน และตั้งข้อกล่าวหาว่าโจทก์เป็นผู้ก่อการร้าย กรณีที่นายกมล น้อยทองเล็ก รับมอบอำนาจจาก ผอ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานี ตำรวจราชาเทวะ ว่ามีกลุ่มพันธมิตรฯ 3,000 คนเดินทางเข้ามาที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมยังเข้าไปในอาคารผู้โดยสารชั้น 4 เป็นการฝ่าฝืนประกาศของท่าอากาศยานฯ และเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ ของท่าอากาศยานฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา และเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2521 นอกจากนี้จำเลยได้แถลงข่าวยืนยันว่าจะดำเนินคดีกับโจทก์ในข้อหาผู้ก่อการร้าย และให้สัมภาษณ์ข่มขู่โจทก์ว่าหากไม่มาตามหมายเรียกจะออกหมายจับโจทก์ในข้อหา ก่อการร้าย ซึ่งการตั้งข้อหาร้ายแรงกว่าพฤติการณ์แห่งคดีเพราะโจทก์ไม่ได้ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอันใดให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกาย หรือเสรีภาพของบุคคลใดๆ
การที่โจทก์ชุมนุมประท้วงและเคลื่อนไหวเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมอันเป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้มุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทยหรือรัฐบาลต่างประเทศให้กระทำหรือไม่กระทำการใดที่จะก่อให้เกิดผลเสียหายอย่างร้ายแรงและ การที่ขึ้นต้นหมายเรียกทุกฉบับด้วยข้อหาเป็นผู้ก่อการร้าย รวมทั้งแถลงข่าวให้สัมภาษณ์ข่มขู่โจทก์ว่าหากไม่มาตามหมายเรียกจะออกหมายจับ ในข้อหาก่อการร้ายทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าได้ทันทีว่าโจทก์เป็นคนไม่ดี เป็นหัวหน้าผู้ก่อการร้าย เป็นบุคคลอันตรายต่อประเทศชาติ การกระทำของจำเลยไม่ถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายจาก สตช. เพราะสตช.เพียงแต่งตั้งให้จำเลยเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนตามที่มีผู้มาร้อง ทุกข์ ซึ่งไม่มีผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษว่าโจทก์มีความผิดฐานก่อการร้าย ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 135/1 - 4 อีกทั้ง สตช.และตำรวจภายใต้การบังคับบัญชาของจำเลย เคยยื่นคำร้องขอออกหมายจับ พล.อ.ปฐมพงศ์ เกสรศุกร์ และบุคคลอื่นในข้อหาผู้ก่อการร้ายต่อศาลอาญา โดยอาศัยข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานชุดเดียวกันกับการออกหมายเรียกโจทก์ในคดี นี้ แต่ศาลอาญาไม่เคยออกหมายจับบุคคลใดในข้อหาผู้ก่อการร้าย แสดงว่าการกระทำของจำเลยเป็นการนอกเหนืออำนาจหน้าที่ จงใจฝ่าฝืนทำให้โจทก์เสียหายหลายครั้ง จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 220 ล้านบาท และให้ลงโฆษณาในหนังสือทุกฉบับเป็นเวลา 30 วัน
ศาลรับคำฟ้องไว้พิจารณาเป็นคดีหมายเลขดำที่ 496/2554 โดยศาลชี้สองสถานเพื่อกำหนดประเด็นนำสืบและวันสืบพยานในวันที่ 25 เม.ย.นี้ เวลา 09.00 น.
ภายหลัง พล.ต.จำลอง กล่าวว่า มีความตั้งใจยื่นฟ้องนานแล้วตั้งแต่ที่ถูกออกหมายเรียก แต่ทนายความมีภารกิจมากจึงเพิ่งจะนำคดีมาฟ้อง พร้อมยืนยันการยื่นฟ้องศาลแพ่งไม่ใช่การแก้แค้นที่ถูก พล.ต.ท.สมยศ ออกหมายเรียกหลายคดี แต่กรณีวันที่ 8 ก.ค.53 พนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกคดีก่อการร้าย และระบุว่าชื่อตนกับพวก ทำให้ตนได้รับความเสื่อมเสียเป็นอันมาก เพราะทำให้สาธารณชนเข้าใจตนเป็นหัวหน้าก่อการร้าย และหัวหน้าซ่องโจร ซึ่งการเรียกค่าเสีย 220 ล้านจึงไม่มากเกินไปเพราะได้พิจารณาจากส่วนที่เสื่อมเสียชื่อเสียงเกียรติยศ และประวัติการทำงานของตนที่ผ่านมา รวมทั้งความศรัทธาของประชาชนจำนวนมากที่มีต่อตน
“ส่วนที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ได้ออกหมายเรียกให้เข้าพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 15 ก.พ.นี้ กรณีละเมิดคำสั่งห้ามเข้าพื้นที่หวงห้าม หากมีการออกหมายเรียกจริงก็พร้อมให้ความร่วมมือ แต่แกนนำพันธมิตรยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าวและไม่ทราบว่าจะเป็นคดีด้านความมั่นคงหรือไม่ อย่างไรก็ดีแกนนำพันธมิตร ฯ และคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน พร้อมจะให้ความร่วมมือทุกขั้นตอน โดยจะไม่มีมวลชนเข้าไปกดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่” พล.ต.จำลอง กล่าว
**"สมยศ"ถอดใจชิงลาออก**
ต่อมาเวลา 14.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.)พล.ต.ท.สมยศ ได้นำสำเนาเอกสารบันทึกข้อความที่ 0001(กม 1) ลงวันที่ 11 ก.พ.2554 เรื่องขอลาออกจากการเป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีกลุ่มพันธมิตรฯ บุกรุกท่าอากาศยานดอนเมือง และบริเวณท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่ส่งถึงพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. มาแจกจ่ายให้กับสื่อมวลชน
โดยรายละเอียดในบันทึกข้อความดังกล่าวระบุว่า หลังจากที่ได้รับคำสั่งแล้ว กระผมได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าวมาโดยตลอด กระผมได้ทุ่มเททั้งกำลังกาย กำลังใจและได้ใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัวไปเป็นจำนวนมาก โดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่อย่างใด จนกระทั่งการสอบสวนเสร็จสิ้นและมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาตามข้อกล่าวหาเสนอสำนวนการสอบสวนให้ ผบ.ตร.พิจารณา ระหว่างที่กระผมรับผิดชอบเป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนในคดีนี้ กระผมถูกวิพากษ์วิจารณ์และถูกกล่าวหาจากหลายฝ่ายว่า ไม่มีความเหมาะสม อีกทั้งยังได้รับความกดดันจากหลายๆด้าน และยังส่งผลกระทบถึงครอบครัวและคนใกล้ชิดมาโดยตลอดจนกระทั่งปัจจุบัน เพื่อเป็นการแก้ปัญหาในทุกๆด้านที่เกิดขึ้น กระผมจึงขอให้ท่านเปลี่ยนตัวหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีนี้แทนกระผม
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า สำหรับการสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าว ก่อนหน้านี้ทางพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผบ.ตร. ได้มีคำสั่งตร.ที่ 444/2552 ลงวันที่ 9 ก.ย.2552 เรื่องเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน แต่งตั้งพนักงานสืบสวนสอบสวน(เพิ่มเติม) และต่อมาพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผบ.ตร. ก็ได้มีคำสั่ง ตร.ที่ 373/2553 ลงวันที่ 10 ส.ค.2553 เรื่องยกเลิกและแต่งตั้งพนักงานสืบสวนสอบสวน ซึ่งคำสั่งตร.ทั้ง 2 ฉบับ ได้แต่งตั้งและมอบหมายให้พล.ต.ท.สมยศ เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน
**"สุริยะใส"เชื่อสมยศลาออกเพราะงานเสร็จแล้ว
นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ เปิดเผยถึงการลาออกของ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง จากหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีพันธมิตรชุมนุมสนามบินฯ ด้วยข้ออ้างว่าถูกกดดัน ทั้งส่วนตัวและครอบครัว คงไม่จริงและฟังไม่ขึ้น เพราะท่านรู้ดีตั้งแต่ต้นว่านี่เป็นคดีการเมือง หวังกลั่นแกล้งแกนนำพันธมิตรฯ เท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านั้น พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ได้ลาออกจากหัวหน้าทีมชุดสอบสวนเพราะรู้เบื้องหน้าเบื้องหลังคดีนี้เป็นอย่างดี
จากนั้นฝ่ายการเมืองที่ต้องการทำลายพันธมิตรฯ ก็ให้ พล.ต.ท.สมยศ มารับงานนี้แทน และก็ทำงานจนสำเร็จแล้ว อย่างน้อยก็ทำให้แกนนำพันธมิตรฯเสื่อมเสียชื่อเสียง เพราะถูกออกทั้งหมายเรียกและหมายจับ ซึ่งเข้าข่ายเป็นการกลั่นแกล้งอย่างชัดเจน
ส่วนที่ พล.ต.ท.สมยศ บอกว่าทำคดีพันธมิตรปิดสนามบิน ด้วยเงินส่วน สตช.ไม่เคยสนับสนับสนุนเลย ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า ความพยายามตั้งข้อหาก่อการร้ายแกนนำพันธมิตรฯ นั้นเป็นความต้องการส่วนตัวของฝ่ายการเมือง จึงเลือกใช้งาน พล.ต.ท.สมยศ ให้จัดการเรื่องนี้ เพื่อกลั่นแกล้งเล่นงานพันธมิตรฯ ด้วยการยัดข้อหาที่เป็นเท็จ โดยเฉพาะข้อกล่าวก่อการร้าย ซึ่ง พล.ต.ท.สมยศ ก็ทำสำนวนและเสนอสั่งฟ้องแกนนำพันธมิตรฯ ไปแล้วและเรื่องอยู่ระหว่างให้ ผบ.ตร.ตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะส่งฟ้องหรือไม่
แม้ พล.ต.ท.สมยศ จะถอนตัวไปแล้วแต่ก็คงไม่หลุดจากข้อกล่าวหาที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมืองไปฟ้องคดีแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหาย 220 ล้านบาท ซึ่งคงไม่ใช่แต่ พล.ต.ท.สมยศ เท่านั้นที่ต้องโดนฟ้องกลับบ้างยังมีนายตำรวจอีกหลายคนที่มีพฤติกรรมกลั่นแกล้งพันธมิตรฯ ด้วยการยัดข้อหาที่เกินจริง ต้องถูกดำเนินคดีกลับเช่นกัน การถอนตัวจากหัวหน้าพนักงานสอบสวน จึงไม่สามารถหนีข้อกล่าวหากลั่นแกล้งประชาชนที่ชุมนุมโดยสุจริตได้