xs
xsm
sm
md
lg

"ศุภวุฒิ"แนะลดน้ำหนัก ชี้Q1หุ้นไทยส่อหลุด900

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บล.ภัทร เชื่อหุ้นไทยยังมีโอกาสหลุด 900 จุดในไตรมาสหนึ่ง ชี้ปัญหาเงินเฟ้อ ราคาน้ำมันแพง รวมทั้งการเมือง เป็นตัวฉุดเม็ดเงินไหลกลับไปยุโรป สหรัฐฯ คาดกลางปีทุกอย่างมีความชัดเจนมากขึ้น ส่วนตลาดหุ้นน่าจะขานรับก่อนตั้งแต่ไตรมาส 2 แนะนักลงทุนช่วงนี้ลดน้ำหนักในหุ้นไทย และจัดสรรพอร์ตให้ดี ล่าสุด วานนี้ดัชนีดีดตัว 17 จุด สอดคล้องตลาดหุ้นภูมิภาค ต่างชาติซื้อเกือบ 2 พันล้าน โบรกฯคาดหากไร้ปัจจัยลบมากดดัน ดัชนีมีโอกาสไปต่อ

นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยว่า ช่วง1-2 สองเดือนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างประเทศเชื่อว่าประเทศในภูมิภาคเอเชีย เช่น จีน อินเดีย อินดดนีเซีย รวมถึงไทย จะเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อ จนธนาคารกลางในแต่ละประเทศต้องประการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อไล่ตามเงินเฟ้อ ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยงเรื่องสถานการณ์การเมืองในประเทศด้วย

“ปีก่อนเศรษฐกิจประเทศพัฒนามีปัญหาเงินจึงไหลมาลงทุนในเอเชียที่เติบโตชัดเจน แต่ในปีนี้กลับกัน เงินโยกย้ายกลับไปประเทศพัฒนา เพราะเริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น ส่วนในเอเชียก็กังวลเรื่องเงินเฟ้อ ธนาคารกลางอาจขึ้นดอกเบี้ยเกินกว่าคาดการณ์กันไว้ จุดสำคัญคือช่วงกลางปีนี้ เราจะได้รู้ชัดเจนว่าเรื่องทุกอย่างจะออกมาในทิศทางไหนรัฐบาลจะคุมเงินเฟ้ออยู่หรือไม่ ประชาธิปัตย์จะชนะเลือกตั้งหรือไม่ ยุโรป และสหรัฐฯจะฟื้นตัวขึ้นจริงหรือไม่ โดยตลาดหุ้นน่าจะเริ่มมีการขยับเพื่อรับทิศทางล่วงหน้าตั้งแต่ไตรมาส2นี้ ขณะเดียวกันในช่วงไตรมาสแรก ดัชนีหุ้นไทนยังมีโอกาสหลุดระดับ 900 จุดได้เช่นกัน”

ทั้งนี้ บล.ภัทร แนะนำนักลงทุนไทยให้ลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยให้ต่ำกว่าเกณฑ์ และควรมีการกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปสู่สินทรัพย์อื่นๆ เช่น ทองคำ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หรือ การลงทุนในหุ้นในตลาดเกิดใหม่ และการลงทุนหุ้นในสหรัฐ ในพอร์ตการลงทุนด้วย

ส่วนสถานการณ์เงินเฟ้อในประเทศ มองว่า ไม่ได้มีผลต่อราคาสินค้าอาหารมากนัก เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่ผลิตและส่งออกสินค้าทางการเกษตรที่สูงมาก ดังนั้นการปรับตัวของเงินเฟ้อจะมาจากราคาน้ำมันมากกว่า โดยเฉพาะกรณีที่ภาครัฐเข้ามาแทรกแซงกลไกราคาน้ำมันดีเซล ไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร ด้วยเงินกองทุนชดเชย 5,000 ล้านบาทต่อเดือน จุดนี้หากนานไปภาครัฐไม่สามารถอุ้มได้ก็อาจมีผลต่อภาษีสรรพสามิตน้ำมัน และมีผลต่อแผนการทำงบประมาณสมดุลของประเทศภายใน 5ปีด้วย ซึ่งเข้าข่ายเหมือนกับรัฐบาลกำลังเดิมพันในเรื่องราคานิมันอยู่ ว่าจะปรับตัวลดลง อันจะมีผลต่อการเลือกตั้งในอนาคต

ขณะเดียวกัน สถานการณ์การเมืองในประเทศขณะนี้ มองว่า ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมของกลุ่มคนสีไหนก็ตาม รวมถึงสถานการณ์ใน3จังหวัดภาคใต้ สถานการณ์บริเวณชายแดน ล้วนเป็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นรุนแรงได้ทั้งสิ้น จึงประเมินว่าการเลือกตั้งครั้งใหม่น่าจะเกิดขึ้นช่วงกลางปี จะดีมากกว่าหากเกิดขึ้นในช่วงปลายปี
เพราะจะมีผลต่อการกลับมารัฐบาลในครั้งนี้ของพรรคแกนนำในปัจุบัน

ส่วนการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ในประเทศ จะได้รับผลกระทบจาก แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งคาดว่าปีนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จะปรับ ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.50% ในครึ่งแรกปีนี้

**หุ้นไทยปิดบวก 17 จุดตามภูมิภาค
ด้านความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย วานนี้ (14 ก.พ.) ดัชนีปรับตัวอยู่ในแดนบวก โดยปิดตลาดเพิ่มขึ้น17.50 จุด หรือ 1.84% ปิดที่ 967.07 จุด มูลค่าการซื้อขาย 23,924.87 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 969.23 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 957.80 จุด โดยเป็นการปรับตัวในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ 1,998.09 ล้านบาท ตามมาด้วยสถาบันซื้อสุทธิ 839.93 ล้านบาท

นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวขึ้นเหนือความคาดหมาย เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างอยู่ในแดนบวกกันถ้วนหน้า ภายหลังจากที่ปัจจัยลบหลายๆ อย่างทยอยคลี่คลายลง ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้ (15 ก.พ.) หากไม่มีปัจจัยใหม่มารบกวน ดัชนีหุ้นไทยยังมีโมเมนตัมในแดนบวก แต่คงไม่ขึ้นแรงเหมือนนัก เนื่องจากยังมีปัจจัยการเมืองกดดันอยู่ และเชื่อว่าช่วงสั้นตลาดฯคงจะสร้างฐานไปก่อน โดยมีแนวรับ 960 จุด แนวต้าน 970, 975 จุด
กำลังโหลดความคิดเห็น