ASTVผู้จัดการรายวัน - ตำรวจตั้งด่านความมั่นคงรอบเวทีพันธมิตรฯชุมนุม จับกุมพ่อค้าหนุ่มใหญ่พกปืนไรเฟิลติดกล้อง พร้อมกระสุน 160 นัด นั่งแท็กซี่ป้วนเปี๋ยนแถวคุรุสภา เจ้าตัวอ้าง ซ้อมยิงปืนมา กำลังกลับบ้าน แต่ไม่รู้เหตุใด แท็กซี่ขับวนไปวนมา จนถูกตำรวจจับ ทั้งไม่เคยร่วมชุมนุมทางการเมืองกับใคร เบื้องต้นตำรวจไม่ปักใจเชื่อคำให้การ ส่งดำเนินคดีข้อหาหนัก และเตรียมสอบขยายผลต่อไป
วานนี้ (11 ก.พ.) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 ( บก.น.1) พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 พ.ต.อ.วีรวิทย์ จันทร์จำเริญ รองผบก.น.1 พ.ต.อ.สุรพงษ์ ชัยจันทร์ รองผบก.น.1 แถลงการจับกุมนายอภิชาติ ตรงวินิจฉัย อายุ 43 ปี อาชีพ ค้าขายและเป็นที่ปรึกษากฎหมายบริษัทเอกชน อยู่บ้านเลขที่ 439 ซ.จันทร์ 18/7 หรือซอยเซ็นหลุยส์ 3 แขวงและเขตสาทร กทม. พร้อมของกลางอาวุธปืนยาวติดลำกล้องขนาด 1 กระบอก (ไรเฟิล) และกระสุนปืนขนาด .22 160 นัด (แบบหัวระเบิด) โดยจับกุมได้ที่ บริเวณด้านหน้าคุรุสภา เมื่อเวลา 23.00 น.ในพื้นที่ สน.ดุสิต
พล.ต.ต.วิชัย กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่านความมั่นคง จุดตรวจ ว.43 บริเวณสี่แยกวังแดง จนกระทั่งมีรถแท็กซี่ที่ผู้ต้องหานั่งมา เจ้าหน้าที่จึงขอตรวจค้นเนื่องจากพื้นที่จับกุมเป็นพื้นที่ประกาศ พ.ร.บ.มั่นคงและห้ามรถผ่าน ตำรวจขอเข้าตรวจค้นรถคันดังกล่าวพบของกลางเป็นปืนยาวติดลำกล้องพร้อมกระสุน ตำรวจจึงควบคุมตัวมาสอบสวน โดยผู้ต้องหาอ้างว่าไปซ้อมยิงปืนที่สนามยิงปืนสวนเจ้าเชษฐ์ ของกรมรักษาดินแดน สนามหลวง จากนั้นโดยสารรถแท็กซี่เพื่อกลับบ้าน แต่รถแท็กซี่ขับวนไปมาหลายรอบ
“เจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อก่อนนำตัวมาดำเนินคดี สำหรับปืนที่จับกุมได้นั้นระยะหวังผล 200 เมตร คิดดูว่าหากตำรวจไม่สามารถจับกุมได้แล้วผู้ต้องหานำปืนไปก่อเหตุ ตำรวจก็ต้องผิดและพี่น้องที่ไม่เกี่ยวข้องอาจได้รับผลกระทบได้ ซึ่งขอฝากพี่น้องประชาชนว่าห้ามพกพาอาวุธปืนออกมาในพื้นที่ตามประกาศ พ.ร.บ.มั่นคงและพื้นที่สาธารณะ ไม่อย่างนั้นเจ้าหน้าที่จะดำเนินคดีตามกฎหมาย” ผบก.น.1 กล่าว
ด้านนายอภิชาติ อ้างว่า ก่อนเกิดเหตุในช่วงเย็นของวันที่ 10 ก.พ. ที่ผ่านมา ได้นำอาวุธปืนกระบอกดังกล่าวไปซ้อมยิงปืนที่สนามยิงปืนรร.เสนารักษ์ กรมการรักษาดินแดน ย่านปากคลองตลาด เมื่อซ้อมยิงปืนเสร็จ ได้หิ้วปืนกระบอกดังกล่าวไปแวะซื้อของที่ตลาดบ้านหม้อ จนดึก ได้เรียกรถแท็กซี่เพื่อเดินทางกลับบ้านย่านสาทร แต่ในขณะที่เดินทางกลับ รถแท็กซี่ได้วิ่งผ่านพื้นที่การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่เรียกตรวจค้นและถูกจับกุมดังกล่าว
นายอภิชาติกล่าวอีกว่า สาเหตุที่ให้แท็กซี่ขับรถวนไปวนมาบริเวณการชุมนุม เพราะส่วนตัวมีความสนใจในการชุมนุมว่า ขณะนี้ผู้ชุมนุมได้ปิดถนนไปถึงไหนแล้ว และส่วนตัวไม่ได้เป็นฝักใฝ่ทั้งเหลืองและแดง ไม่เคยโกรธแค้นผู้ชุมนุม รวมทั้งยืนยันว่าการที่พกพาอาวุธปืนมาไม่คิดไปทำร้ายใคร และไม่ได้รำคาญการชุมนุมของกลุ่มพธม. ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นความประมาทเลินเล่อของตนเองที่พกพาอาวุธปืนไปในพื้นที่ดังกล่าว
ทั้งนี้ ที่ผ่านก็ติดตามข่าวความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาเช่นกัน และคิดว่าประเทศกัมพูชาไม่ควรทำเช่นนี้ และไม่คิดนำปืนกระบอกดังกล่าวไปสู้รบกับเขมร ถือว่าเป็นหน้าที่ของทหาร
“ผมซ้อมยิงปืนที่สนามดังกล่าวเดือนละประมาณ 2ครั้ง ปกติเดินทางไปคนเดียว ไม่มีการลงทะเบียนก่อนเข้าใช้สนามยิงปืนแต่อย่างใด ทำให้เจ้าหน้าที่ประจำสนามจำตนเองไม่ได้ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไปสอบถามรายละเอียดของผม จึงไม่มีใครทราบว่าผมไปที่สนามจริงหรือไม่ ส่วนปืนกระบอกดังกล่าวได้รับมรดกตกทอดจากพ่อ ไม่นานมานี้"นายอภิชาติ กล่าว
หลังสอบปากคำเสร็จสิ้น พ.ต.ท.สมบัติ เหมันต์ พนักงานสอบสวน (สบ 2) สน.ดุสิต ควบคุมตัวนายอภิชาติไปดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป โดย เบื้องเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้ง 2 ข้อหา พกพาอาวุธปืนไปในพื้นที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต และข้อหาฝ่าฝืนประกาศ พ.ร.บ.มั่นคง มีโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 20,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ.
วานนี้ (11 ก.พ.) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 ( บก.น.1) พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 พ.ต.อ.วีรวิทย์ จันทร์จำเริญ รองผบก.น.1 พ.ต.อ.สุรพงษ์ ชัยจันทร์ รองผบก.น.1 แถลงการจับกุมนายอภิชาติ ตรงวินิจฉัย อายุ 43 ปี อาชีพ ค้าขายและเป็นที่ปรึกษากฎหมายบริษัทเอกชน อยู่บ้านเลขที่ 439 ซ.จันทร์ 18/7 หรือซอยเซ็นหลุยส์ 3 แขวงและเขตสาทร กทม. พร้อมของกลางอาวุธปืนยาวติดลำกล้องขนาด 1 กระบอก (ไรเฟิล) และกระสุนปืนขนาด .22 160 นัด (แบบหัวระเบิด) โดยจับกุมได้ที่ บริเวณด้านหน้าคุรุสภา เมื่อเวลา 23.00 น.ในพื้นที่ สน.ดุสิต
พล.ต.ต.วิชัย กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่านความมั่นคง จุดตรวจ ว.43 บริเวณสี่แยกวังแดง จนกระทั่งมีรถแท็กซี่ที่ผู้ต้องหานั่งมา เจ้าหน้าที่จึงขอตรวจค้นเนื่องจากพื้นที่จับกุมเป็นพื้นที่ประกาศ พ.ร.บ.มั่นคงและห้ามรถผ่าน ตำรวจขอเข้าตรวจค้นรถคันดังกล่าวพบของกลางเป็นปืนยาวติดลำกล้องพร้อมกระสุน ตำรวจจึงควบคุมตัวมาสอบสวน โดยผู้ต้องหาอ้างว่าไปซ้อมยิงปืนที่สนามยิงปืนสวนเจ้าเชษฐ์ ของกรมรักษาดินแดน สนามหลวง จากนั้นโดยสารรถแท็กซี่เพื่อกลับบ้าน แต่รถแท็กซี่ขับวนไปมาหลายรอบ
“เจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อก่อนนำตัวมาดำเนินคดี สำหรับปืนที่จับกุมได้นั้นระยะหวังผล 200 เมตร คิดดูว่าหากตำรวจไม่สามารถจับกุมได้แล้วผู้ต้องหานำปืนไปก่อเหตุ ตำรวจก็ต้องผิดและพี่น้องที่ไม่เกี่ยวข้องอาจได้รับผลกระทบได้ ซึ่งขอฝากพี่น้องประชาชนว่าห้ามพกพาอาวุธปืนออกมาในพื้นที่ตามประกาศ พ.ร.บ.มั่นคงและพื้นที่สาธารณะ ไม่อย่างนั้นเจ้าหน้าที่จะดำเนินคดีตามกฎหมาย” ผบก.น.1 กล่าว
ด้านนายอภิชาติ อ้างว่า ก่อนเกิดเหตุในช่วงเย็นของวันที่ 10 ก.พ. ที่ผ่านมา ได้นำอาวุธปืนกระบอกดังกล่าวไปซ้อมยิงปืนที่สนามยิงปืนรร.เสนารักษ์ กรมการรักษาดินแดน ย่านปากคลองตลาด เมื่อซ้อมยิงปืนเสร็จ ได้หิ้วปืนกระบอกดังกล่าวไปแวะซื้อของที่ตลาดบ้านหม้อ จนดึก ได้เรียกรถแท็กซี่เพื่อเดินทางกลับบ้านย่านสาทร แต่ในขณะที่เดินทางกลับ รถแท็กซี่ได้วิ่งผ่านพื้นที่การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่เรียกตรวจค้นและถูกจับกุมดังกล่าว
นายอภิชาติกล่าวอีกว่า สาเหตุที่ให้แท็กซี่ขับรถวนไปวนมาบริเวณการชุมนุม เพราะส่วนตัวมีความสนใจในการชุมนุมว่า ขณะนี้ผู้ชุมนุมได้ปิดถนนไปถึงไหนแล้ว และส่วนตัวไม่ได้เป็นฝักใฝ่ทั้งเหลืองและแดง ไม่เคยโกรธแค้นผู้ชุมนุม รวมทั้งยืนยันว่าการที่พกพาอาวุธปืนมาไม่คิดไปทำร้ายใคร และไม่ได้รำคาญการชุมนุมของกลุ่มพธม. ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นความประมาทเลินเล่อของตนเองที่พกพาอาวุธปืนไปในพื้นที่ดังกล่าว
ทั้งนี้ ที่ผ่านก็ติดตามข่าวความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาเช่นกัน และคิดว่าประเทศกัมพูชาไม่ควรทำเช่นนี้ และไม่คิดนำปืนกระบอกดังกล่าวไปสู้รบกับเขมร ถือว่าเป็นหน้าที่ของทหาร
“ผมซ้อมยิงปืนที่สนามดังกล่าวเดือนละประมาณ 2ครั้ง ปกติเดินทางไปคนเดียว ไม่มีการลงทะเบียนก่อนเข้าใช้สนามยิงปืนแต่อย่างใด ทำให้เจ้าหน้าที่ประจำสนามจำตนเองไม่ได้ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไปสอบถามรายละเอียดของผม จึงไม่มีใครทราบว่าผมไปที่สนามจริงหรือไม่ ส่วนปืนกระบอกดังกล่าวได้รับมรดกตกทอดจากพ่อ ไม่นานมานี้"นายอภิชาติ กล่าว
หลังสอบปากคำเสร็จสิ้น พ.ต.ท.สมบัติ เหมันต์ พนักงานสอบสวน (สบ 2) สน.ดุสิต ควบคุมตัวนายอภิชาติไปดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป โดย เบื้องเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้ง 2 ข้อหา พกพาอาวุธปืนไปในพื้นที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต และข้อหาฝ่าฝืนประกาศ พ.ร.บ.มั่นคง มีโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 20,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ.