ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ผลพวงของการปะทะที่เกิดขึ้นระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา ทำให้เกิดคำถามตามมามากมายถึงการทำหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปกป้องอธิปไตยของชาติว่า ได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แบบหรือไม่
แน่นอน ไม่มีใครสงสัยในหัวจิตหัวใจและความรักชาติของบรรดาทหารหาญชั้นผู้น้อยที่ปฏิบัติหน้าที่บริเวณชายแดน
แต่สิ่งที่สังคมสงสัยก็คือ หัวใจรักชาติของบรรดา “บิ๊กทหาร” ที่บัญชาการรบอยู่ในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
เนื่องเพราะผลของการปะทะติดต่อกัน 4 วัน ทหารไม่สามารถปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนคนไทยได้ จนทำให้ชาวบ้านต้องอพยพทิ้งถิ่นฐานบ้านช่องไปอยู่ในศูนย์อพยพ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่เป็นเสนาธิการรบย่อมต้องทราบพิกัดว่า ฐานปืนใหญ่ของกัมพูชาอยู่ที่ใด เช่นเดียวกับกัมพูชาที่ย่อมรู้ว่าฐานปืนใหญ่ของไทยอยู่ที่ใด แต่ทหารไทยกลับไม่สามารถทำลายฐานปืนใหญ่ของกัมพูชาได้ แถมยังปล่อยให้ทหารกัมพูชายิงปืนใหญ่ตกมาในพื้นที่อยู่อาศัยของพลเรือนอีกต่างหาก
ข้ออ้างที่บรรดาบิ๊กทหารบอกว่า ตอบโต้ตามความเหมาะสมนั้น เป็นสิ่งที่ฟังไม่ขึ้น เพราะการตอบโต้ของทหารไทยไม่สามารถปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนคนไทยได้ ด้วยเหตุดังกล่าวจึงทำให้ทหารชั้นผู้น้อยต้องเสียชีวิตไปถึง 2 นาย และประชาชนตาดำๆ อีก 1 ราย
แน่นอน พล.อ.ประวิตรในฐานะผู้นำสูงสุดแห่งกองทัพไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบต่อความตายของผู้ใต้บังคับบัญชาและประชาชนได้
ทั้งๆ ที่ถ้าจะเปรียบเทียบกับแล้ว แสนยานุภาพทางทหารของไทยสูงกว่ากัมพูชาหลายเท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทัพอากาศและกองทัพเรือ ซึ่งสามารถแสดงแสนยานุภาพเพื่อใช้เป็นข้อต่อรองในการทำศึกกับกัมพูชาได้
นั่นแสดงให้เห็นถึงเป้าประสงค์ที่แตกต่างกันระหว่างไทยกับกัมพูชา เพราะขณะที่กัมพูชาตั้งเป้ายิงเข้าใส่ไม่เลือกหน้า ทั้งเป้าหมายทางทหารและพื้นที่พลเรือน แต่กองทัพไทยกลับไม่สามารถสกัดกั้นได้
ดังนั้น สิ่งที่สังคมสงสัยก็คือ นักการเมืองฝ่ายความมั่นคงของไทย ตลอดรวมถึงบรรดาบิ๊กทหารทั้งหลายมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสวมตอผลประโยชน์ทางด้านทรัพยากรธรรมชาติในทะเล ตลอดรวมถึงผลประโยชน์จากสารพัดการค้าที่ผิดกฎหมายตลอดแนวชายแดนที่มีข้อครหาเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
เพราะจากการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังพบว่า มีหลายครั้งหลายคราที่พบพิรุธที่ชวนให้น่าสงสัย โดยเฉพาะการให้สัมภาษณ์ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ผู้ที่มีความแนบแน่นและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ พล.อ.ประวิตร ที่กล่าวเมื่อวันที่ 4 ก.พ.ว่า “ก่อนหน้านี้ไทยและมาเลเซียก็เคยบริหารพื้นที่ทางทะเลร่วมกันในลักษณะนี้ แต่ต้องดูด้วยว่าฝ่ายกัมพูชาจะเห็นด้วยหรือไม่ ถ้าเห็นด้วยก็อาจจะมอบหมายให้บุคคลพิเศษไปเจรจา”
คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ ด้วยเหตุนี้ใช่หรือไม่ที่ศึกไทย-กัมพูชาครั้งนี้ ฝ่ายไทยปฏิบัติการอย่างฉันท์มิตรเป็นพิเศษต่อกัมพูชา
ด้วยเหตุนี้ใช่หรือไม่จึงทำให้คำสั่งของนายอภิสิทธิ์ไม่ต่างอะไรจาก “ขี้มูก” หรือ “น้ำลายที่ถ่มขึ้นไปบนฟ้าแล้วย้อนกลับมาใส่หน้าตัวเอง” เพราะในขณะที่นายอภิสิทธิ์สั่งให้นำธงกัมพูชาที่ติดเอาไว้เหนือป้ายทางเข้าวัดแก้วสิขาคีรีสวาระลง แต่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 กลับบอกว่า ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
ด้วยเหตุนี้ใช่หรือไม่จึงทำให้ พล.ท.ธวัชชัยกล่าวอย่างเต็มปากเต็มคำว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการเข้าใจผิดของผู้ปฏิบัติในระดับล่าง ส่วนผู้บังคับบัญชาในระดับสูงของทั้ง 2 ประเทศยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
คำพูดของบิ๊กเยิ้มจะทำให้สังคมเข้าใจใช่หรือไม่ว่า ผู้ที่ทำให้เกิดการปะทะกันคือผู้ปฏิบัติในระดับล่าง
นอกจากนั้น ในหลายครั้งหลายครา พล.อ.ประวิตรยังพูดจาประหนึ่งมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับ พล.อ.เตีย บัญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาชนิดที่สามารถยกหูโทรศัพท์เคลียร์ปัญหาได้ตลอดเวลา แต่เอาเข้าจริง สถานการณ์กลับมิได้สมดังคำคุยของ พล.อ.ประวิตร
เฉกเช่นเดียวกับเมื่อมีการยิงคำถามเข้าใส่ พล.อ.ประวิตรว่า ถ้าสถานการณ์เป็นเช่นแบบนี้ แสดงให้เห็นว่า ทหารไทยเป็นฝ่ายตั้งรับฝ่ายเดียว ซึ่งบิ๊กป้อมตอบกลับมาว่า “อธิปไตยเราอยู่ตรงไหน จะให้ไปรุกรานใคร ขอยืนยันจะดูแลผืนแผ่นดินไทยทุกตารางนิ้วไม่ให้เสียดินแดนไป”
พล.อ.ประวิตรไม่รู้เลยหรือว่า อธิปไตยของไทยอยู่ตรงไหนบ้าง
พล.อ.ประวิตรไม่รู้เลยหรือว่า พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรคือแผ่นดินไทย
พล.อ.ประวิตรไม่รู้เลยหรือว่า วัดแก้วสิขาคีรีสวาระที่ทหารกัมพูชาขนอาวุธไปตั้งฐานปฏิบัติการและภูมะเขือที่ทหารกัมพูชาใช้กระเช้าไฟฟ้าขึ้นไปเพื่อสร้างศูนย์โทรคมนาคมและใช้เป็นฐานโจมตีราษฎรไทยคือแผ่นดินไทย
แถมขณะที่ประชาชนคนไทยต้องอพยพหนีตายกันจ้าละหวั่น บิ๊กทหารกลับบัญชาการศึกเสมือนหนึ่งทำการรบแบบ “ปาหี่” คือยังคงเปิดให้มีการส่งยุทธปัจจัยเข้าไปให้กับทหารกัมพูชาเหมือนอยู่ในสภาวะปกติ
ทั้งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้อดนำไปเปรียบเทียบกับผู้หมวดใจเด็ดอย่าง “ร.ต.ธนพล สุขประเสริฐ” ผบ.หมวดปืนเล็กที่ 1 ร้อย ร.2312 พัน ร.11 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ ที่โดนสะเก็ดปืน ค.บริเวณลำคอ ใบหน้า นิ้วกลางขวาเป็นแผลเหวอะหวะไม่ได้ เพราะ ร.ต.ธนพลประกาศว่า “ผมถูกสะเก็ดปืน ค.ได้รับบาดเจ็บไม่มาก นอนพักอยู่โรงพยาบาล 2 วัน รู้สึกเป็นห่วงลูกน้อง จึงขออาสากลับไปสู้กับทหารกัมพูชาอีกครั้ง”
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงทำให้หลายคนสงสัยว่า การที่บิ๊กทหารคนสำคัญยกโขยงลูกน้องร่วมก๊วนเดินทางไปให้กำลังใจทหารชั้นผู้น้อยด้วยร่างอันอวบอ้วนและสร้อยทองคำเส้นโตนั้น มีจิตเจตนาอื่นใดแอบแฝงหรือไม่
และหลายคนเชื่อว่า อาจเป็นเพราะต้องการไปรับฟังสรุปสถานการณ์ชายแดนว่า มีผลกระทบต่อยุ้งข้าวของตัวเองเสียมากกว่า เพราะเป็นที่รับรู้กันว่า บิ๊กทหารคนสำคัญผู้นี้ทำมาหากินอยู่ในกัมพูชามานานพอสมควร ทั้งธุรกิจขุดดินจากกัมพูชาไปขายที่สิงคโปร์ ธุรกิจถ่านหินและก๊าซธรรมชาติในกัมพูชา
และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่พวกเขารักและหวงแหนใน MOU43 ราวกับเป็นสายเลือดของตัวเอง เพราะถ้าหากไปแตะหรือล้มเลิก MOU43 จะทำให้พื้นที่ทำกินที่เคยอึมครึมหมดไปในฉับพลันทันที
สงสารก็แต่ทหารชั้นผู้น้อยและประชาชนตาดำๆ ที่มิรู้เรื่องรู้ราวกับกลเกมแห่งผลประโยชน์ในครั้งนี้
**************
สรุปความเสียหายจากสถานการณ์การต่อสู้ระหว่างไทย-กัมพูชา
ผู้เสียชีวิต
1.นายเจริญ ผาหอม ชาวบ้านภูมิซรอลถูกระเบิดจากทหารกัมพูชาศีรษะขาด
2.ส.อ.วุธชรินทร์ ชาติคำดี ทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 16 พัน.2 จ.ยโสธร
3.ส.อ.ธนากร พูลเพิ่ม สังกัด ฉก.ทบ.23 ชาว จ.สุรินทร์
ผู้ได้รับบาดเจ็บ
พลเรือน-1.นายวิเชียร อัตพงษ์ 2.นายชัด ตั้งมั่น 3.นางนวล อัตโท 4.นายสมพร แสนประดับ 5.นายวันดี แก้วสง่า 6.นางหงษ์ สารบูรณ์ 7.นายวิเศษ จุมพงษ์ 8.นายวิโรจน์ สังบัวแก้ว
ทหาร- 1.จ.ส.ต.มงคล พลเยี่ยม 2.ทหารพรานดำรง พรหมโอตร 3.จ.ส.ต.วิรัตน์ งามสูงเนิน 4.ทหารพรานสุวรรณ บ่อแก้ว 5.พลทหารวิทยา สีนันตะ 6.จ.ส.อ.สุมน จันประโคน 7.อาสาสมัครเสถียร ศรีมุกดา 8.ส.อ.ธีรวัฒน์ ศรีวรินทร์
ความเสียหาย
บ้านเรือนเสียหายรวม 35 หลัง อาคารเรียนโรงเรียนบ้านภูมิซรอล เสียหายบางส่วน 2 หลัง หลังคาอาคารสำนักงาน อบต. เสาธงชัย ได้รับความเสียหายบางส่วน สวนยางพาราเสียหาย 50 ไร่ การอพยพราษฎรในจังหวัดต่างๆ มียอดรวม 31,025 คน
ส่วนวัดที่ประสบภัยจาก มีจำนวน 6 แห่ง ได้แก่ วัดภูมิซรอล วัดบ้านภูมิซรอล วัดบ้านชำเม็ง วัดเสาธงชัย วัดป่าภูแหลม ต.เสาธงชัย และวัดบ้านตาแท่น ต.บึงมะลู อ.กันทรลักษ์ โดยมีพระสงฆ์ประจำวัด รวม 32 รูป พร้อมกันนี้พบที่พักสงฆ์ 1 แห่ง คือ ธุดงค์สถานวิหารเพชร ถูกไฟไหม้จากเหตุระเบิด มูลค่าความเสียหายประมาณ 2 แสนบาท