xs
xsm
sm
md
lg

5 ข้อเสนอปฏิรูปที่ดิน ข้อดี-ข้อเสีย มีอะไร ?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่า “คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ” ตั้งมาเพื่อซื้อเวลาทางการเมืองของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลังผ่านพ้นเหตุการณ์แดงเผาเมือง
โดยรัฐบาลจัดสรรงบให้กับคณะกรรมการชุดนี้เกือบ 200 ล้านบาท โดยไม่มีการกำหนดเงื่อนเวลาการทำงานที่ชัดเจน ว่าจะให้ทำงานถึงเมื่อใด และต้องทำอะไรบ้าง จึงถูกมองว่าเป็นกรรมการที่คงทำงานกันเป็นนามธรรม หาข้อสรุปอะไรให้กับประเทศไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่กรรมการหลายคนในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศล้วนต้นทุนทางสังคมสูงยิ่ง โดยเฉพาะสองผู้ใหญ่ในบ้านเมืองคือ อานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีและนพ.ประเวศ วะสี ราษฏรอาวุโส รวมถึงอีกหลายต่อหลายคนที่มีทั้งข้าราชการระดับสูง นักวิชาการ เอ็นจีโอ ตัวแทนภาคประชาชน
จึงทำให้หลายคนคาดหวังไม่น้อยกับการทำงานของกรรมการชุดนี้ว่าจะสร้างพิมพ์เขียวให้กับประเทศในด้านต่างๆ เช่น การเมือง การศึกษา การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม ตามที่ได้เคยแถลงไว้นับแต่ทำงานกันนัดแรก
**ดังนั้น หลังใช้เวลา 8 เดือนเศษ คณะกรรมการปฏิรูปฯได้แถลงพิมพ์เขียวเรื่องข้อเสนอการปฏิรูปการจัดการที่ดินเพื่อการเกษตร 5 ข้อ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา อันประกอบด้วย
1.ให้มีการจำกัดเพดานการถือครองที่ดินเพื่อการเกษตรไว้ไม่เกิน 50 ไร่ต่อครัวเรือน
2.ให้เปิดเผยข้อมูลการถือครองที่ดินและจัดระบบข้อมูลการถือครองที่ดินเพื่อการเกษตรทั้งประเทศเป็นข้อมูลสาธารณะ
3.ให้จัดตั้งกองทุนธนาคารที่ดินเพื่อการเกษตรขึ้น เพื่อทำหน้าที่จัดซื้อที่ดินซึ่งไม่ได้ใช้ประโยชน์ นำมาจัดสรรให้เกษตรกรที่ขาดแคลนที่ดินทำกิน
4.ให้มีการจัดเก็บภาษีที่ดินเกษตรกรรมในอัตราก้าวหน้า ที่ดินขนาดต่ำกว่า 10 ไร่ให้เสียภาษี 0.03 %, ที่ดิน 10-50 ไร่ เสียภาษี 0.1 % สำหรับที่ดินปล่อยทิ้งร้างหรือเกินจาก 50 ไร่ ให้เสียภาษีอัตราก้าวหน้าสูง 5 %
5.ให้มีการกำหนดเขตการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรขึ้นมาอย่างชัดเจน รวมถึงให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ ระงับการจับกุมและดำเนินคดีกับประชาชนผู้ยากไร้ที่ทำกินอยู่ในเขตป่า
ข้อเสนอที่เกิดขึ้น เกิดในช่วงที่ข่าวการสู้รบไทย-กัมพูชา ที่เป็นประเด็นใหญ่ระดับนานาประเทศ จึงทำให้ข่าวข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูป ถูกกลบไป
**ทั้งที่พิมพ์เขียวดังกล่าว หลายเรื่องควรต้องมีการถกกันเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อดูว่าทำได้หรือไม่ได้ และมีข้อดีข้อเสียอย่างไร
เช่นเรื่องการเสนอให้เปิดเผยข้อมูลการถือครองที่ดิน หรือแลนด์ลอร์ด ซึ่งเรื่องนี้ต้องยอมรับว่าคนส่วนใหญ่ก็ต้องการรู้ว่า ใครคือแลนด์ลอร์ดเมืองไทย ตระกูลไหน บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายไหน หรือนักการเมืองคนไหน ที่ถือครองที่ดินมากที่สุดในเมืองไทย
แต่คำถามคือว่า การเปิดเผยดังกล่าวจะกระทบกับสิทธิส่วนบุคคลหรือไม่ ในส่วนของนักการเมืองนั้นไม่ต้องห่วง เพราะตามกฎหมายทั้งรัฐมนตรี ส.ส. และสมาชิกวุฒิสภา ต่างต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินหนี้สินต่อป.ป.ช. ซึ่งป.ป.ช.ก็จะนำบัญชีดังกล่าวไปเปิดเผยต่อสาธารณชนอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ก็รู้กันดีว่าถึงแม้จะมีการเปิดเผย แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นข้อมูลจริงทั้งหมด เพราะก็มีการหลบเลี่ยง ใช้ “นอมินี”ให้ถือครองแทน เช่นวิธีที่นิยมมากก็คือ ให้บุตรที่บรรลุนิติภาวะถือครองที่ดินแทน
กรณีดังกล่าว ก็คงเช่นเดียวกับนักธุรกิจ หรือคนใหญ่คนโตทั้งหลาย ที่ตอนนี้อาจถือครองที่ดินเองทั้งหมดในชื่อของตนเอง แต่การถือครองที่ดินดังกล่าวต้องมีการเปิดเผยข้อมูล มีหรือที่คนเหล่านี้จะไม่โยกย้ายถ่ายโอน เพื่อไม่ให้ถูกมองว่ามีที่ดินในมือมากเกินไป อันจะทำให้เกิดความรู้สึกเชิงเหลื่อมล้ำขึ้นในสังคม
ที่สำคัญข้อมูลทำนองนี้ ก็มีการเปิดเผยจาก อนุวัฒน์ เมธีวิบูลย์วุฒิ อธิบดีกรมที่ดินแล้วว่า กรมที่ดินไม่เคยจัดเก็บข้อมูลการถือครองที่ดินแบบรายบุคคล ประเภทกดชื่อ นามสกุล แล้วคอมพิวเตอร์จะแสดงการถือครองที่ดินทั้งหมดมาให้ดูได้ทันที
**กระบวนการดังกล่าว หากจะทำจริง ก็ต้องใช้เวลาและงบประมาณในการดำเนินการไม่น้อย แต่คงไม่เป็นประเด็นมากเกินกว่าความรู้สึกที่ว่า มันกระทบกับสิทธิส่วนบุคคลหรือไม่ ?
ส่วนข้อเสนอเรื่องการกำหนดเขตการใช้ที่ดิน และแผนการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรขึ้นใหม่ โดยให้แบ่งพื้นที่หลักออกเป็นพื้นที่การเกษตร พื้นที่เมือง พื้นที่อุตสาหกรรม หรือ “การแบ่งโซนที่ดิน”นั้น ข้อเสนอดังกล่าว เป็นเรื่องที่สมควรทำ และควรทำมานานแล้ว
เพราะเห็นได้ชัดว่ามีประโยชน์อย่างมาก หลายประเทศทั่วโลกเขาทำกันมานานแล้ว
ประโยชน์ที่ได้รับหากมีการทำเรื่องนี้มีมากมาย เช่น การที่เกษตรกรจะสามารถควบคุมผลิตผลการเกษตรได้ โดยรัฐจะเป็นผู้วางแผนให้ว่าพื้นที่ไหนปลูกพืชผลการเกษตรอะไร จะมีผลผลิตต่อปีเท่าไหร่ อันจะทำให้ราคาสินค้าเกษตรไม่ตกต่ำ เพราะต่างฝ่ายต่างผลิตออกมาจนล้นตลาด ขายพืชผลได้ราคาเกษตรกรก็จะลืมตาอ้าปากได้เหมือนคนในธุรกิจอื่นๆ
เมื่อมีการแบ่งโซนที่ดินเป็นโซนอุตสาหกรรมก็จะทำให้ระบบการวางแผนด้านเศรษฐกิจมีความชัดเจนว่าพื้นที่ตรงไหนควรต้องพัฒนาระบบขนส่งจากภาคเกษตรส่งไปยังพื้นที่อุตสาหกรรมเพื่อให้เกิดการผลิตครบวงจร ขณะเดียวกันก็จะได้รู้ว่า พื้นที่อุตสาหกรรมจำเป็นต้องเพิ่มความสำคัญในด้านงบประมาณเพื่อป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อมตามไปด้วย
ขณะที่การจำกัดขนาดการถือครองที่ดินไว้ไม่เกินครัวเรือนละ ไม่เกิน 50 ไร่ ซึ่งกรรมการปฏิรูปที่ดินให้เหตุผลว่า เพื่อให้ที่ดินกระจายไปยังเกษตรกรรายย่อย ผู้ทำการเกษตรด้วยตนเองได้อย่างทั่วถึง และเสนอว่าผู้ที่มีสิทธิ์ถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อการเกษตร จะต้องเป็นผู้ที่ทำการเกษตรด้วยตัวเองเท่านั้น ห้ามมิให้ผู้อื่นเช่า หรือปล่อยทิ้งร้าง นั้น
ข้อเสนอดังกล่าวมีทั้งข้อดีข้อเสีย แต่ข้อเสียที่เห็นชัดคือ ทำให้ระบบเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากอสังหาริมทรัพย์ และที่ดิน ซึ่งถือเป็นธุรกิจใหญ่ของประเทศ จะได้รับผลกระทบทันที คือ ทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ติดเงื่อนไขในเรื่องสิทธิในการถือครองที่ดิน จนเกิดปัญหาขาดความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ และ ฯลฯ
**ทั้งหมดคือเสียงสะท้อนที่เกิดขึ้นจากพิมพ์เขียวข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปฯ ที่รัฐบาล และทุกฝ่ายจำเป็นต้องนำไปศึกษา เพื่อถกเถียงและผลักดันให้เกิดขึ้นในทางปฏิบัติต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น