ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ถือว่าเป็นตำแหน่งสำคัญสูงสุดของผู้บริหารประเทศ ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ถือได้ว่าเป็นประมุขของฝ่ายบริหารที่มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลการบริหารราชการแผ่นดิน บังคับบัญชาข้าราชการทั้งฝ่ายพลเรือนและทหาร และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นๆ ที่ไม่ใช่ส่วนราชการ แต่ต้องอยู่ภายใต้การกำกับของฝ่ายบริหาร
การบริหารประเทศให้เป็นไปตามแนวนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงและขอความเห็นชอบต่อสภาผู้แทนราษฎร จึงเป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้าที่ความรับผิดชอบต่อสภาฯ และการที่ต้องถูกควบคุมตรวจสอบจากผู้แทนของประชาชนก็ดี หรืออาจถูกถอดถอนจากการดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 270-276 ในหมวดการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็ดี หรือการกำหนดให้มีองค์กรอิสระ เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบแห่งชาติ เพื่อควบคุมและตรวจสอบการใช้อำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหารเพื่อมิให้กระทำการใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริตหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบก็ดี ล้วนแต่เป็นบทบัญญัติทางกฎหมายตามรัฐธรรมนูญที่บัญญัติและวางกลไกขึ้นเพื่อควบคุมและตรวจสอบให้
ใครก็ตามที่ได้รับคัดเลือกและอาสาตนมาทำหน้าที่ทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีพึงตระหนักถึงการทำหน้าที่ของตน ซึ่งจะต้องบริหารราชการและกำกับดูแลการปฏิบัติราชการของเหล่าบรรดาพนักงานและข้าราชการในกำกับดูแลของตนให้เป็นไปโดยสุจริต โปร่งใส มีหลักธรรมาภิบาลที่ดี โดยยึดถือเอาผลประโยชน์ชาติและประชาชนเป็นสำคัญเหนือประโยชน์ตนและพวกพ้อง หากผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกระทำความผิดทางกฎหมายหรือทุจริตย่อมต้องถูกดำเนินการเอาผิดตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ในประเทศที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย จะมีสิ่งหนึ่งที่นายกฯ อภิสิทธิ์ชอบพูดและกล่าวอ้างอยู่เสมอๆ ก็คือสำนึกความรับผิดชอบทางการเมืองของนักการเมืองหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งจะต้องมีความสำคัญเหนือกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย ซึ่งก็มีตัวอย่างหลายกรณีทั้งในและต่างประเทศที่เมื่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกระทำผิดในทางการเมือง เช่น มีพฤติกรรมส่วนตัวที่ไม่เหมาะสมอาจเสียหายต่อการทำหน้าที่ก็ดี หรือปฏิบัติหน้าที่โดยผิดหรือขัดต่อนโยบายที่แถลงต่อประชาชน ปฏิบัติหน้าที่โดยบกพร่องเสียหาย หรือส่อว่าทุจริต เป็นต้น นักการเมืองเหล่านั้นก็จะแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่ง โดยมิต้องรอให้กฎหมายมาจัดการ
และอีกปํญหาหนึ่งที่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้นำประเทศไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือประธานาธิบดีก็ตาม การเลือกที่ปรึกษาหรือทีมงานก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเลขาส่วนตัวหรือที่ที่เป็นทางการโดยตำแหน่ง ซึ่งย่อมได้รับความไว้วางใจอย่างสูงและอาจใช้อำนาจในหน้าที่หรือโดยความสนิทสนมไว้วางใจที่ได้รับจากผู้นำประเทศไปใช้ในทางที่ชอบหรือมิชอบได้โดยง่าย ซึ่งอาจก่อผลเสียหายต่อตัวผู้นำประเทศคนนั้นหรือต่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติได้
เป็นที่ทราบกันดีโดยทั่วไปว่านายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ความสนิทสนมเป็นพิเศษและให้ความไว้วางใจต่อนายศิริโชค โสภา ส.ส.จังหวัดสงขลา ผู้นี้เป็นอย่างสูงยิ่ง ทั้งได้มอบหมายให้ทำหน้าที่สำคัญๆ มากมายจะโดยในทางลับหรือโดยเปิดเผย เป็นเรื่องครึกโครมฉาวโฉ่เป็นข่าวปรากฏต่อสื่อมวลชนอยู่เนืองๆ ไม่ว่ากรณีแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจที่มีข่าวเรื่องการจ่ายเงินวิ่งเต้นตำแหน่ง การเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือโครงการของรัฐที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องหรือทำตัวเป็นกุนซือให้นายกฯ ออกมาตอบโต้ภาคประชาชนในกรณีข้อพิพาทไทย-กัมพูชา หรือกรณี 7 คนไทยถูกกัมพูชาจับในดินแดนไทยนำตัวขึ้นฟ้องยังศาลกัมพูชา และกรณีมีข่าวเข้าไปเกี่ยวข้องกับการออกใบอนุญาตนำเข้าอาวุธปืนของกระทรวงมหาดไทยจำนวน 265 ใบๆ ละ 5 ล้านบาท เป็นต้น กรณีนี้จึงเป็นเรื่องที่คนเป็นนายกฯ พึงจะต้องตระหนักว่าการมีคนใก้ลชิดนายกรัฐมนตรีแบบนี้เป็นการสมควรหรือไม่
และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือนายศิริโชค โสภา ก่อนที่จะมาเป็น ส.ส.เขาและครอบครัวมีธุรกิจการค้ามากมายกว่า 10 บริษัทมีมูลค่านับร้อยล้านบาทคือ ปี 2508 ก่อตั้ง หจก.บัวไล ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ขายส่งสินค้า เช่น ข้าว แร่ ยาง ไม้ ข้าวโพด จำหน่ายไปยังต่างประเทศ ปี 2516 ก่อตั้งบริษัท โอเวอร์ซี เมอร์แคนไทล์ จำกัด ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท (ปิดกิจการแล้ว) ปี 2524 ก่อตั้งบริษัท สหะโสภา จำกัด ทุนจดทะเบียน 8 ล้านบาท ขายอาหารทะเล สำนักงานที่เดียวกันกับบริษัท โอเวอร์ซี เมอร์แคนไทล์ จำกัด
ปี 2530 ก่อตั้งบริษัท โอเวอร์ซีส์ มารีนและห้องเย็น จำกัด ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ส่งออกอาหารทะเล อยู่ในซอยทรงวาด ถนนวิภาวดีรังสิต ปี 2535 ก่อตั้งบริษัท โสภา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท ปี 2536 ก่อตั้งบริษัท ระยองพรอน จำกัด ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท และบริษัทปราณบุรี จำกัด ทุน 1 ล้านบาท ส่งออกอาหารทะเล (ปิดกิจการปี 2547 ) ปี 2538 ก่อตั้งบริษัทอินโด-ไทย ฟู้ด เทรด จำกัด ทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท ขายสินค้าอุปโภคบริโภคอยู่ในซอยเอกมัย
นอกจากนี้ยังมีบริษัท โอแมค ปิโตรเลียม จำกัด ทุน 1 ล้านบาท (ปิดกิจการปี 2546) และบริษัท ไอพีดี แลนด์ จำกัด ทุนจดทะเบียน 46 ล้านบาท ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง แต่ล้มละลายเมื่อ 29 พ.ค. 2551 กิจการเกือบทั้งหมดนายศิริโชคถือหุ้นร่วมกับแม่คือ นางสาวเสาวรส โสภา น.ส.นุชนาฎ โสภา พี่สาว และนายศิริพจน์ โสภา พี่ชาย โดยนายศิริโชคเริ่มผ่องถ่ายหุ้นให้แม่และพี่ชายตั้งแต่ปี 2541
ปัญหาต่อมาก็คือ เมื่อนายศิริโชคเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2551 เขายื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.ว่ามีทรัพย์สินเพียงสองรายการคือ เงินฝากธนาคาร 1.1 ล้านบาทเศษ ที่ดินในตำบลปากพลี จ.นครนายก 1 แปลง เนื้อที่ 1 ไร่เศษมูลค่า 3 แสนบาท รวม 1.4 ล้านบาทเศษไม่มีทรัพย์สินอื่นเลย แต่กลับระบุว่ามีหนี้สิน 119.2 ล้านบาท เป็นหนี้ธนาคารไทยธนาคาร 27.5 ล้านบาท บรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน 31.8 ล้านบาท
กองทุนรวมไทยรีสตรัคเจอริ่ง 4 รายการ 59.8 ล้านบาท หักกลบลบหนี้แล้วเขามี “หนี้สิน” มากกว่า “ทรัพย์สิน” 117.8 ล้านบาท เป็น 1 ใน 6 ส.ส.ประชาธิปัตย์ที่มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน และหนี้สินทั้งหมดเป็นหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งศาลตัดสินแล้วตั้งแต่ปี 2543-2546 ซึ่งนายศิริโชคเป็นจำเลยร่วมกับบริษัท โอเวอร์ซีส์ มารีนและห้องเย็น บริษัท สหะโสภา นางสาวเสาวรส โสภา นายศิริพจน์ โสภาพี่ชาย และเครือญาติรวม 6 ราย
และที่สำคัญที่สุด ณ ขณะนี้คือ มารดาของนายศิริโชค โสภาคือนางสาวเสาวรส โสภา ได้ถูกศาลล้มละลายกลางพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายแล้วเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2553 ไม่นานมานี้ ตามคดีหมายเลขดำที่ ล.6317/2550 คดีหมายเลขแดงที่ ล.15993/2550 โดยโจทก์ผู้ฟ้องคดีนี้คือ ธนาคารเพื่อการส่งออกและการนำเข้าแห่งประเทศไทย โดยก่อนถูกศาลพิพากษาให้เป็นคนล้มละลาย นางสาวเสาวรส โสภา ได้ถูกศาลพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อ 26 ธันวาคม 2550 ประกาศในราชกิจจาเล่มที่ 125 ตอนที่ 55ง หน้า 21 ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2551
จากข้อเท็จจริงดังกล่าว ผู้เขียนยังไม่อาจทราบได้ว่าศิริโชค โสภา และมารดา จะหาเงินมาจากทางใดเพื่อมาชำระหนี้ทั้งของตนเองและมารดาเพื่อให้พ้นจากสภาพบุคคลล้มละลาย แต่ที่สำคัญคือสมควรหรือไม่ที่นายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะมีนายศิริโชค โสภา เป็นคนใก้ลชิดแบบพิเศษสุดและมีบทบาททางการเมืองประดุจเป็นนายกฯ เงาที่มีอำนาจพิเศษเข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดิน ผมเชื่อแน่ว่าประชาชนทั้งหลายคงไม่ไว้วางใจและคงต้องถามหาความสำนึกรับผิดชอบทางการเมืองของท่านที่ควรจะมีสูงกว่าความรับผิดทางกฎหมาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ช่วยตอบประชาชนในเรื่องนี้ด้วย ถ้ายังมีความเป็นคนเหลืออยู่
การบริหารประเทศให้เป็นไปตามแนวนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงและขอความเห็นชอบต่อสภาผู้แทนราษฎร จึงเป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้าที่ความรับผิดชอบต่อสภาฯ และการที่ต้องถูกควบคุมตรวจสอบจากผู้แทนของประชาชนก็ดี หรืออาจถูกถอดถอนจากการดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 270-276 ในหมวดการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็ดี หรือการกำหนดให้มีองค์กรอิสระ เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบแห่งชาติ เพื่อควบคุมและตรวจสอบการใช้อำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหารเพื่อมิให้กระทำการใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริตหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบก็ดี ล้วนแต่เป็นบทบัญญัติทางกฎหมายตามรัฐธรรมนูญที่บัญญัติและวางกลไกขึ้นเพื่อควบคุมและตรวจสอบให้
ใครก็ตามที่ได้รับคัดเลือกและอาสาตนมาทำหน้าที่ทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีพึงตระหนักถึงการทำหน้าที่ของตน ซึ่งจะต้องบริหารราชการและกำกับดูแลการปฏิบัติราชการของเหล่าบรรดาพนักงานและข้าราชการในกำกับดูแลของตนให้เป็นไปโดยสุจริต โปร่งใส มีหลักธรรมาภิบาลที่ดี โดยยึดถือเอาผลประโยชน์ชาติและประชาชนเป็นสำคัญเหนือประโยชน์ตนและพวกพ้อง หากผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกระทำความผิดทางกฎหมายหรือทุจริตย่อมต้องถูกดำเนินการเอาผิดตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ในประเทศที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย จะมีสิ่งหนึ่งที่นายกฯ อภิสิทธิ์ชอบพูดและกล่าวอ้างอยู่เสมอๆ ก็คือสำนึกความรับผิดชอบทางการเมืองของนักการเมืองหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งจะต้องมีความสำคัญเหนือกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย ซึ่งก็มีตัวอย่างหลายกรณีทั้งในและต่างประเทศที่เมื่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกระทำผิดในทางการเมือง เช่น มีพฤติกรรมส่วนตัวที่ไม่เหมาะสมอาจเสียหายต่อการทำหน้าที่ก็ดี หรือปฏิบัติหน้าที่โดยผิดหรือขัดต่อนโยบายที่แถลงต่อประชาชน ปฏิบัติหน้าที่โดยบกพร่องเสียหาย หรือส่อว่าทุจริต เป็นต้น นักการเมืองเหล่านั้นก็จะแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่ง โดยมิต้องรอให้กฎหมายมาจัดการ
และอีกปํญหาหนึ่งที่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้นำประเทศไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือประธานาธิบดีก็ตาม การเลือกที่ปรึกษาหรือทีมงานก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเลขาส่วนตัวหรือที่ที่เป็นทางการโดยตำแหน่ง ซึ่งย่อมได้รับความไว้วางใจอย่างสูงและอาจใช้อำนาจในหน้าที่หรือโดยความสนิทสนมไว้วางใจที่ได้รับจากผู้นำประเทศไปใช้ในทางที่ชอบหรือมิชอบได้โดยง่าย ซึ่งอาจก่อผลเสียหายต่อตัวผู้นำประเทศคนนั้นหรือต่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติได้
เป็นที่ทราบกันดีโดยทั่วไปว่านายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ความสนิทสนมเป็นพิเศษและให้ความไว้วางใจต่อนายศิริโชค โสภา ส.ส.จังหวัดสงขลา ผู้นี้เป็นอย่างสูงยิ่ง ทั้งได้มอบหมายให้ทำหน้าที่สำคัญๆ มากมายจะโดยในทางลับหรือโดยเปิดเผย เป็นเรื่องครึกโครมฉาวโฉ่เป็นข่าวปรากฏต่อสื่อมวลชนอยู่เนืองๆ ไม่ว่ากรณีแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจที่มีข่าวเรื่องการจ่ายเงินวิ่งเต้นตำแหน่ง การเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือโครงการของรัฐที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องหรือทำตัวเป็นกุนซือให้นายกฯ ออกมาตอบโต้ภาคประชาชนในกรณีข้อพิพาทไทย-กัมพูชา หรือกรณี 7 คนไทยถูกกัมพูชาจับในดินแดนไทยนำตัวขึ้นฟ้องยังศาลกัมพูชา และกรณีมีข่าวเข้าไปเกี่ยวข้องกับการออกใบอนุญาตนำเข้าอาวุธปืนของกระทรวงมหาดไทยจำนวน 265 ใบๆ ละ 5 ล้านบาท เป็นต้น กรณีนี้จึงเป็นเรื่องที่คนเป็นนายกฯ พึงจะต้องตระหนักว่าการมีคนใก้ลชิดนายกรัฐมนตรีแบบนี้เป็นการสมควรหรือไม่
และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือนายศิริโชค โสภา ก่อนที่จะมาเป็น ส.ส.เขาและครอบครัวมีธุรกิจการค้ามากมายกว่า 10 บริษัทมีมูลค่านับร้อยล้านบาทคือ ปี 2508 ก่อตั้ง หจก.บัวไล ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ขายส่งสินค้า เช่น ข้าว แร่ ยาง ไม้ ข้าวโพด จำหน่ายไปยังต่างประเทศ ปี 2516 ก่อตั้งบริษัท โอเวอร์ซี เมอร์แคนไทล์ จำกัด ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท (ปิดกิจการแล้ว) ปี 2524 ก่อตั้งบริษัท สหะโสภา จำกัด ทุนจดทะเบียน 8 ล้านบาท ขายอาหารทะเล สำนักงานที่เดียวกันกับบริษัท โอเวอร์ซี เมอร์แคนไทล์ จำกัด
ปี 2530 ก่อตั้งบริษัท โอเวอร์ซีส์ มารีนและห้องเย็น จำกัด ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ส่งออกอาหารทะเล อยู่ในซอยทรงวาด ถนนวิภาวดีรังสิต ปี 2535 ก่อตั้งบริษัท โสภา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท ปี 2536 ก่อตั้งบริษัท ระยองพรอน จำกัด ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท และบริษัทปราณบุรี จำกัด ทุน 1 ล้านบาท ส่งออกอาหารทะเล (ปิดกิจการปี 2547 ) ปี 2538 ก่อตั้งบริษัทอินโด-ไทย ฟู้ด เทรด จำกัด ทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท ขายสินค้าอุปโภคบริโภคอยู่ในซอยเอกมัย
นอกจากนี้ยังมีบริษัท โอแมค ปิโตรเลียม จำกัด ทุน 1 ล้านบาท (ปิดกิจการปี 2546) และบริษัท ไอพีดี แลนด์ จำกัด ทุนจดทะเบียน 46 ล้านบาท ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง แต่ล้มละลายเมื่อ 29 พ.ค. 2551 กิจการเกือบทั้งหมดนายศิริโชคถือหุ้นร่วมกับแม่คือ นางสาวเสาวรส โสภา น.ส.นุชนาฎ โสภา พี่สาว และนายศิริพจน์ โสภา พี่ชาย โดยนายศิริโชคเริ่มผ่องถ่ายหุ้นให้แม่และพี่ชายตั้งแต่ปี 2541
ปัญหาต่อมาก็คือ เมื่อนายศิริโชคเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2551 เขายื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.ว่ามีทรัพย์สินเพียงสองรายการคือ เงินฝากธนาคาร 1.1 ล้านบาทเศษ ที่ดินในตำบลปากพลี จ.นครนายก 1 แปลง เนื้อที่ 1 ไร่เศษมูลค่า 3 แสนบาท รวม 1.4 ล้านบาทเศษไม่มีทรัพย์สินอื่นเลย แต่กลับระบุว่ามีหนี้สิน 119.2 ล้านบาท เป็นหนี้ธนาคารไทยธนาคาร 27.5 ล้านบาท บรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน 31.8 ล้านบาท
กองทุนรวมไทยรีสตรัคเจอริ่ง 4 รายการ 59.8 ล้านบาท หักกลบลบหนี้แล้วเขามี “หนี้สิน” มากกว่า “ทรัพย์สิน” 117.8 ล้านบาท เป็น 1 ใน 6 ส.ส.ประชาธิปัตย์ที่มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน และหนี้สินทั้งหมดเป็นหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งศาลตัดสินแล้วตั้งแต่ปี 2543-2546 ซึ่งนายศิริโชคเป็นจำเลยร่วมกับบริษัท โอเวอร์ซีส์ มารีนและห้องเย็น บริษัท สหะโสภา นางสาวเสาวรส โสภา นายศิริพจน์ โสภาพี่ชาย และเครือญาติรวม 6 ราย
และที่สำคัญที่สุด ณ ขณะนี้คือ มารดาของนายศิริโชค โสภาคือนางสาวเสาวรส โสภา ได้ถูกศาลล้มละลายกลางพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายแล้วเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2553 ไม่นานมานี้ ตามคดีหมายเลขดำที่ ล.6317/2550 คดีหมายเลขแดงที่ ล.15993/2550 โดยโจทก์ผู้ฟ้องคดีนี้คือ ธนาคารเพื่อการส่งออกและการนำเข้าแห่งประเทศไทย โดยก่อนถูกศาลพิพากษาให้เป็นคนล้มละลาย นางสาวเสาวรส โสภา ได้ถูกศาลพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อ 26 ธันวาคม 2550 ประกาศในราชกิจจาเล่มที่ 125 ตอนที่ 55ง หน้า 21 ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2551
จากข้อเท็จจริงดังกล่าว ผู้เขียนยังไม่อาจทราบได้ว่าศิริโชค โสภา และมารดา จะหาเงินมาจากทางใดเพื่อมาชำระหนี้ทั้งของตนเองและมารดาเพื่อให้พ้นจากสภาพบุคคลล้มละลาย แต่ที่สำคัญคือสมควรหรือไม่ที่นายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะมีนายศิริโชค โสภา เป็นคนใก้ลชิดแบบพิเศษสุดและมีบทบาททางการเมืองประดุจเป็นนายกฯ เงาที่มีอำนาจพิเศษเข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดิน ผมเชื่อแน่ว่าประชาชนทั้งหลายคงไม่ไว้วางใจและคงต้องถามหาความสำนึกรับผิดชอบทางการเมืองของท่านที่ควรจะมีสูงกว่าความรับผิดทางกฎหมาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ช่วยตอบประชาชนในเรื่องนี้ด้วย ถ้ายังมีความเป็นคนเหลืออยู่