นักการเมืองไทยมัก “มีความฝัน” เฉพาะตอนหาเสียงไม่มีตำแหน่ง พร้อมที่จะ “รักชาติ-คลั่งชาติอย่างสุดโต่ง” แต่เพียงลำพังเมื่อได้ตำแหน่ง แต่ “ขลาดเขลา” ที่จะแสดงความกล้าหาญทางจริยธรรมที่จะต่อสู้กับความไม่ถูกต้องเพียงเพื่อชะลอมิให้ถูกถีบลงจากตำแหน่ง
พลันที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเปล่งเสียง “ออ. . .กไป” กับชื่อภิสิทธิ์ก็เป็นเครื่องชี้ที่แสดงให้เห็นว่า ความจริงกำลังไล่ล่าอภิสิทธิ์อย่างเข้มข้นและบ้าคลั่งอย่างกระชั้นชิดขึ้นทุกที
ความจริงในบางครั้งก็เหมือน “กรรม” ที่ทำหน้าที่ไล่ล่าดุจดังสุนัขล่าเนื้อ ความดีหรือ “บุญ” ที่มีอยู่เท่านั้นที่ทำให้ตนเองหนีห่างจาก “กรรม” ไปได้ แต่เมื่อ “บุญ” หมด “กรรม” ก็ตามทัน
อภิสิทธิ์จะเข้าใจข้อความข้างต้นบ้างหรือไม่ยังเป็นที่สงสัย
ปัญหาเรื่องการสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่ฝ่ายเดียวในรัฐบาลหุ่นเชิดของทักษิณ แม้จะเป็นการอาศัยบันทึกความเข้าใจฯพ.ศ. 2543 ที่ทำในสมัยพรรคประชาธิปัตย์
แต่หากอภิสิทธิ์และรัฐบาลของเขาไม่มีผลประโยชน์ตามที่อ้าง ไม่ได้มีความคิดในการจะ “สวมตอ” ในเงื่อนไขที่ทักษิณทำเอาไว้แต่ไม่ทันได้ใช้ ทำไมจึงไม่ยกเลิกบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว ความผิดและจำเลยในเรื่องนี้จะกลายเป็นทักษิณและรัฐบาลหุ่นเชิดของเขาแต่เพียงลำพัง
การพลิกหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อได้เป็นรัฐบาล กลับหลังหันมาปกป้องบันทึกความเข้าใจฯ พ.ศ. 2543 ที่อภิสิทธิ์เคยใช้มาเป็นประเด็นในการอภิปรายรัฐบาลสมัครอย่างดุเดือดจึงเป็นการเริ่มต้นของการตระบัดสัตย์ของอภิสิทธิ์ที่ได้เคยถวายสัตย์ปฏิญาณเอาไว้ต่อหน้าองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
การยึดเอาบันทึกความเข้าใจฯ พ.ศ. 2543 เอาไว้โดยไม่สนใจคำทักท้วงว่าสุ่มเสี่ยงจะเสียดินแดนจึงเป็นเรื่องที่บั่นทอน “บุญ” ของอภิสิทธิ์ไปเรื่อยๆ จนในปัจจุบันอภิสิทธิ์กำลังจะเข้าตาจนเพราะไม่สามารถหาเหตุผลมาเอาชนะความจริงที่ถูกพันธมิตรฯเปิดเผยออกมาเรื่อยๆ
การจับคนไทย 7 คนเมื่อเร็วๆ นี้เป็นเพียง “ตัวเร่ง” ความจริงที่ถูกเปิดเผยทำให้เห็นว่าข้อเสียเปรียบของไทยในการคงไว้ซึ่งบันทึกความเข้าใจฯ พ.ศ. 2543 นั้นมีมากมายขนาดไหน เป็นความจริงที่มาก่อนเวลา เป็นข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ว่าอภิสิทธิ์และรัฐบาลของเขาได้ตระบัดสัตย์ที่ปฏิญาณตนเอาไว้เมื่อตอนเข้ารับตำแหน่ง ไม่ปกป้องรัฐธรรมนูญ ไม่ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ เพราะเป็นเรื่องอภิสิทธิ์ไม่เคยมีจุดยืนที่ชัดเจนว่าดินแดนไทยอยู่ที่ใด พูดกลับกรอกไปมาอยู่ตลอดเวลา
การออกมาเคลื่อนไหวปกป้องผลประโยชน์ของประเทศไทยของพันธมิตรฯ จึงเป็นดั่งหนามยอกอกของอภิสิทธิ์และรัฐบาลของเขา เพราะเป็นเรื่องที่ฝ่ายค้านไม่เคยสนใจตรวจสอบรัฐบาลแต่อย่างใดเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ กลับปล่อยให้เป็นภาระของประชาชนเช่นพันธมิตรฯ ดำเนินการแต่ลำพัง
พลเมืองเข้มแข็งทั้งหลาย ท่านคิดหรือไม่ว่ากัมพูชาที่ไม่มีกำลังอำนาจไม่ว่าด้านใดที่จะนำมาเปรียบได้กับไทย ทำไมจึงเหิมเกริมเข้ามาต่อตีกับไทย อย่าลืมว่าเมื่อใดก็ตามที่กระสุนปืนนัดแรกถูกยิงออกมาไม่ว่าจะมาจากฝ่ายใด กระสุนนัดสุดท้ายมักจะเป็นของฝ่ายที่มีกำลังมากกว่าอยู่เสมอ การที่กัมพูชากล้าทำก็แสดงว่ารู้แน่ว่าฝ่ายไทยจะไม่ตอบโต้จนถึงที่สุดเพื่อเอาชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดตามศักยภาพที่ไทยมีอยู่ ไม่มีใครรู้ว่าอภิสิทธิ์หรือฮุนเซนคิดอย่างไร แต่ผลที่เกิดขึ้นต่างหากที่เป็นตัวชี้ให้เห็นว่าต่างฝ่ายต่างสมประโยชน์จากการปะทะดังกล่าว
ฮุนเซนน่าจะคำนวณได้แล้วว่า ด้วยการเปิดความจริงของพันธมิตรฯ อภิสิทธิ์และรัฐบาลของเขาก็จะมีอายุยืนยาวได้ไม่นาน การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารแต่ฝ่ายเดียวในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์จึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก การยกระดับทำให้เป็นเรื่องระหว่างประเทศและให้ประเทศที่ 3 เข้ามาไกล่เกลี่ยน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า แม้ไม่สำเร็จก็ยังมีไพ่ให้เล่นอีกหลายใบไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวีระและราตรี เป็นต้น
การริเริ่มปะทะด้วยกำลังทหารจึงเป็นหนทางในการบรรลุเป้าหมาย แม้จะมีผลทำให้การขึ้นทะเบียนมรดกโลกปราสาทพระวิหารทำไม่ได้ แต่มิได้หมายความว่าปีนี้ไม่ได้ปีหน้าจะขึ้นไม่ได้ แต่ที่ได้เปิดเผยจากการกระทำก็คือ ฮุนเซนมิได้หวังแค่มรดกโลกหากแต่มุ่งหวังพื้นที่ใหม่ตามแนวชายแดนโดยการอาศัยเงื่อนไขเส้นเขตแดนตามแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ที่ระบุไว้ในบันทึกความเข้าใจฯ พ.ศ. 2543 ที่ฮุนเซนยึดถือและอ้างว่าถูกต้อง
นอกจากนี้ยังสามารถทำให้อภิสิทธิ์และรัฐบาลของเขาสามารถยึดลมหายใจต่อไปอีกได้จนถึงการเลือกตั้งครั้งใหม่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่กำลังไล่ล่าอย่างบ้าคลั่ง เพราะเมื่อการขึ้นทะเบียนมรดกโลกถูกเลื่อนออกไปผลของการสูญเสียดินแดนก็ยังไม่ปรากฏชัดเจนเป็นรูปธรรม ยัง “แถ” ต่อได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปัตย์หรือเพื่อไทยชนะเลือกตั้งกลับมาเป็นรัฐบาลก็คุยภาษาเดียวกับฮุนเซนได้อยู่แล้ว แต่ที่สำคัญยังสามารถให้อภิสิทธิ์ได้ใช้เป็นเงื่อนไขในการปราบเสี้ยนหนามที่ยอกอกฮุนเซน นั่นคือการชุมนุมเปิดเผยความจริงของพันธมิตรฯ
การที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ใช้ พ.ร.บ. ความมั่นคงโดยอาศัยข้ออ้างของการขอพื้นที่คืนจึงเป็นการปิดฟ้าความจริงด้วยฝ่ามือ เป็นการต่อสู้แบบคนขลาดที่หมดทางสู้ของอภิสิทธิ์และรัฐบาลของเขาอย่างแท้จริง เพราะการเปิดเผยความจริงว่าผู้อภิบาลรัฐไม่ทำหน้าที่จะกระทบต่อความมั่นคงของของรัฐได้อย่างไร หากไม่เปิดเผยความจริงซิจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติอย่างแท้จริง เพราะทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างไม่ทำหน้าที่
เหตุของความไม่มั่นคงอยู่ที่ชายแดนกัมพูชามิใช่หรือ หาใช่ที่มัฆวานฯ แต่อย่างใดไม่ อภิสิทธิ์จึงไม่ต่างอะไรกับเผด็จการอีกหลายคนก่อนหน้านี้ที่ทึกทักเอาว่า ความมั่นคงของรัฐบาลคือความมั่นคงของชาติ “รัฐคือตัวข้า และตัวข้าคือรัฐ” ฟังดูแล้วคุ้นๆไหม
ในช่วง 8-10 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลไทยมีท่าทีที่คลุมเครือต่อปัญหาความขัดแย้งไม่ว่าจะเป็นเรื่องมรดกโลกหรือปัญหาด้านเขตแดน นอกจากนี้ยังสร้างความสับสนให้กับคนในชาติด้วย ยกตัวอย่างเช่น กรณีล่าสุดที่ทางกัมพูชาจับ 7 คนไทย หรือในกรณีล่าสุดที่รมต.กลาโหมได้ให้ทหารยึดถือเอาบันทึกความเข้าใจฯ พ.ศ. 2543 เป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติงานทั้งๆ ที่สถานะทางกฎหมายของบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าวไม่มี และหากจะทึกทักว่ามีก็ไม่อยู่เหนือรัฐธรรมนูญแต่ประการใด เพราะทหารมีหน้าที่ที่จะต้องรักษาไว้ซึ่งเอกราช อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบัน ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 หากทหารไม่ปฏิบัติหน้าที่ที่มีตามกฎหมายแต่กลับให้ไปปฏิบัติในสิ่งที่ขัดกับกฎหมายที่นักการเมืองสั่งแล้วไม่มีใครคัดค้านต่อต้านประเทศนี้จะอยู่รอดไปได้อย่างไร เพราะประโยชน์ของนักการเมืองอาจไม่ใช่ประโยชน์ของชาติ
เหตุการณ์ความไม่สงบมีการเผาบ้านเผาเมืองของคนเสื้อแดงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมีที่มาจากตำรวจไม่ทำหน้าที่ที่ตนเองมีตามกฎหมาย ขณะที่นักการเมืองก็ไม่กล้าที่จะตัดสินใจมิใช่หรือ ประชาชนคนไทยจึงต้องรับผลกรรมของการไม่ปฏิบัติหน้าที่
ความรักชาติในปัจจุบันจึงกลายเป็นเพียงค่านิยมให้คนไทยยึดไว้ในใจ แต่ไม่ต้องการให้คนไทยปฏิบัติเพราะหากออกมาแสดงความรักชาติก็จะถูกกล่าวหาว่า“สุดโต่ง-คลั่งชาติ” ไป นักการเมืองเท่านั้นที่สามารถแสดงความรักชาติได้เพราะมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ แต่จะปฏิบัติหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง
สิ่งที่พันธมิตรฯ เรียกร้องจึงถูกหาว่า “สุดโต่ง-คลั่งชาติ” จะไปบอกว่าไม่ถูกต้องก็ไม่ได้ มันอยู่ที่ว่ารัฐบาลยังไม่สามารถชี้แจงให้มันชัดเจนว่าสิ่งที่เขาเรียกร้องหรือเขาอ้างว่ารัฐบาลทำผิดหรือไม่ถูกต้องเป็นอย่างไร หักล้างได้อย่างไร แต่ทุกวันนี้คำชี้แจงของรัฐบาลในการปฏิเสธข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ ทั้ง 3 ข้อก็ยังคลุมเครือขาดเหตุผลเป็นอย่างมาก
100 สุนทรพจน์ที่ดีที่สุดในรอบ 100 ปีอันดับหนึ่งก็คือ “I have a dream” หรือ “ฉันมีความฝัน” ของ Martin Luther King Jr. ที่ได้กล่าวไว้ที่อนุสรณ์สถานลินคอล์นเมื่อ 28 ส.ค. 1963 เนื้อหาโดยสรุปสั้นๆ ก็คือเป็นการมาทวงถามสัญญาที่รัฐธรรมนูญสหรัฐฯให้ไว้กับพลเมืองสหรัฐฯ ในเรื่องความเท่าเทียมกันของคนในชาติโดยไม่จำกัดที่สีผิว ซึ่งเป็นหน้าที่แต่รัฐบาลสหรัฐฯ บิดพลิ้วไม่ทำตามหน้าที่ที่ระบุไว้ จึงคล้ายกับการไม่จ่ายเงินตามเช็คซึ่งเป็นชื่อเดิมที่ตั้งใจไว้ของสุนทรพจน์นี้ แต่เนื่องจากประโยคที่ว่า “ฉันมีความฝัน” ได้ถูกเอ่ยอ้างถึงในตอนท้ายหลายครั้งมากจนคนทั่วไปรู้จักในชื่อนี้แทน
สิ่งที่ MLK เรียกร้องจึงเป็นเรื่อง “สุดโต่ง-คลั่งชาติ” หรือไม่ในขณะนั้นที่คนขาวจะยอมให้คนดำมาฉี่ในโทส้วมเดียวกัน นั่งในที่นั่งเดียวกัน หรือที่ประธานาธิบดีเคนเนดี้เรียกร้องในสุนทรพจน์เมื่อรับตำแหน่งว่า ชาวอเมริกันอย่าถามว่ารัฐบาลจะให้อะไรกับเขา แต่จงถามว่าท่านจะให้อะไรกับชาติของพวกเขา การส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์ การพิสูจน์ว่าโลกนี้กลมของกาลิเลโอ การมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นคนผิวดำเช่นโอบามา คิดใหม่ทำใหม่ของทักษิณ หรือ ร้อยฝันฯ ของอภิสิทธิ์ในปัจจุบัน
ท่านว่าสิ่งที่เขาคิดและกระทำมัน “สุดโต่ง-คลั่งชาติ” ในห้วงเวลาเหล่านั้นหรือไม่? หากคนเหล่านั้นไม่ยืนหยัดในความคิดของตนเองความก้าวหน้าปรองดองของคนในชาติจะเกิดไหม? ระหว่างคนที่ไม่ยอมยืนหยัดทำในสิ่งที่รู้ว่าถูกต้องหรือไม่มีความกล้าหาญทางจริยธรรมที่จะยืนหยัดสู้กับความไม่ถูกต้องกับ “สุดโต่ง-คลั่งชาติ” ท่านว่าควรสนับสนุนใคร?
แต่ข้อสรุปสุดท้ายก็คือ นักการเมืองไม่มีสิทธิที่จะผูกขาดความรักชาติไว้กับพวกตนแต่เพียงลำพัง ในขณะที่ไม่ยอมปฏิบัติหน้าที่หรือให้คนอื่นๆ ทำ
พลันที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเปล่งเสียง “ออ. . .กไป” กับชื่อภิสิทธิ์ก็เป็นเครื่องชี้ที่แสดงให้เห็นว่า ความจริงกำลังไล่ล่าอภิสิทธิ์อย่างเข้มข้นและบ้าคลั่งอย่างกระชั้นชิดขึ้นทุกที
ความจริงในบางครั้งก็เหมือน “กรรม” ที่ทำหน้าที่ไล่ล่าดุจดังสุนัขล่าเนื้อ ความดีหรือ “บุญ” ที่มีอยู่เท่านั้นที่ทำให้ตนเองหนีห่างจาก “กรรม” ไปได้ แต่เมื่อ “บุญ” หมด “กรรม” ก็ตามทัน
อภิสิทธิ์จะเข้าใจข้อความข้างต้นบ้างหรือไม่ยังเป็นที่สงสัย
ปัญหาเรื่องการสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่ฝ่ายเดียวในรัฐบาลหุ่นเชิดของทักษิณ แม้จะเป็นการอาศัยบันทึกความเข้าใจฯพ.ศ. 2543 ที่ทำในสมัยพรรคประชาธิปัตย์
แต่หากอภิสิทธิ์และรัฐบาลของเขาไม่มีผลประโยชน์ตามที่อ้าง ไม่ได้มีความคิดในการจะ “สวมตอ” ในเงื่อนไขที่ทักษิณทำเอาไว้แต่ไม่ทันได้ใช้ ทำไมจึงไม่ยกเลิกบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว ความผิดและจำเลยในเรื่องนี้จะกลายเป็นทักษิณและรัฐบาลหุ่นเชิดของเขาแต่เพียงลำพัง
การพลิกหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อได้เป็นรัฐบาล กลับหลังหันมาปกป้องบันทึกความเข้าใจฯ พ.ศ. 2543 ที่อภิสิทธิ์เคยใช้มาเป็นประเด็นในการอภิปรายรัฐบาลสมัครอย่างดุเดือดจึงเป็นการเริ่มต้นของการตระบัดสัตย์ของอภิสิทธิ์ที่ได้เคยถวายสัตย์ปฏิญาณเอาไว้ต่อหน้าองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
การยึดเอาบันทึกความเข้าใจฯ พ.ศ. 2543 เอาไว้โดยไม่สนใจคำทักท้วงว่าสุ่มเสี่ยงจะเสียดินแดนจึงเป็นเรื่องที่บั่นทอน “บุญ” ของอภิสิทธิ์ไปเรื่อยๆ จนในปัจจุบันอภิสิทธิ์กำลังจะเข้าตาจนเพราะไม่สามารถหาเหตุผลมาเอาชนะความจริงที่ถูกพันธมิตรฯเปิดเผยออกมาเรื่อยๆ
การจับคนไทย 7 คนเมื่อเร็วๆ นี้เป็นเพียง “ตัวเร่ง” ความจริงที่ถูกเปิดเผยทำให้เห็นว่าข้อเสียเปรียบของไทยในการคงไว้ซึ่งบันทึกความเข้าใจฯ พ.ศ. 2543 นั้นมีมากมายขนาดไหน เป็นความจริงที่มาก่อนเวลา เป็นข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ว่าอภิสิทธิ์และรัฐบาลของเขาได้ตระบัดสัตย์ที่ปฏิญาณตนเอาไว้เมื่อตอนเข้ารับตำแหน่ง ไม่ปกป้องรัฐธรรมนูญ ไม่ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ เพราะเป็นเรื่องอภิสิทธิ์ไม่เคยมีจุดยืนที่ชัดเจนว่าดินแดนไทยอยู่ที่ใด พูดกลับกรอกไปมาอยู่ตลอดเวลา
การออกมาเคลื่อนไหวปกป้องผลประโยชน์ของประเทศไทยของพันธมิตรฯ จึงเป็นดั่งหนามยอกอกของอภิสิทธิ์และรัฐบาลของเขา เพราะเป็นเรื่องที่ฝ่ายค้านไม่เคยสนใจตรวจสอบรัฐบาลแต่อย่างใดเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ กลับปล่อยให้เป็นภาระของประชาชนเช่นพันธมิตรฯ ดำเนินการแต่ลำพัง
พลเมืองเข้มแข็งทั้งหลาย ท่านคิดหรือไม่ว่ากัมพูชาที่ไม่มีกำลังอำนาจไม่ว่าด้านใดที่จะนำมาเปรียบได้กับไทย ทำไมจึงเหิมเกริมเข้ามาต่อตีกับไทย อย่าลืมว่าเมื่อใดก็ตามที่กระสุนปืนนัดแรกถูกยิงออกมาไม่ว่าจะมาจากฝ่ายใด กระสุนนัดสุดท้ายมักจะเป็นของฝ่ายที่มีกำลังมากกว่าอยู่เสมอ การที่กัมพูชากล้าทำก็แสดงว่ารู้แน่ว่าฝ่ายไทยจะไม่ตอบโต้จนถึงที่สุดเพื่อเอาชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดตามศักยภาพที่ไทยมีอยู่ ไม่มีใครรู้ว่าอภิสิทธิ์หรือฮุนเซนคิดอย่างไร แต่ผลที่เกิดขึ้นต่างหากที่เป็นตัวชี้ให้เห็นว่าต่างฝ่ายต่างสมประโยชน์จากการปะทะดังกล่าว
ฮุนเซนน่าจะคำนวณได้แล้วว่า ด้วยการเปิดความจริงของพันธมิตรฯ อภิสิทธิ์และรัฐบาลของเขาก็จะมีอายุยืนยาวได้ไม่นาน การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารแต่ฝ่ายเดียวในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์จึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก การยกระดับทำให้เป็นเรื่องระหว่างประเทศและให้ประเทศที่ 3 เข้ามาไกล่เกลี่ยน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า แม้ไม่สำเร็จก็ยังมีไพ่ให้เล่นอีกหลายใบไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวีระและราตรี เป็นต้น
การริเริ่มปะทะด้วยกำลังทหารจึงเป็นหนทางในการบรรลุเป้าหมาย แม้จะมีผลทำให้การขึ้นทะเบียนมรดกโลกปราสาทพระวิหารทำไม่ได้ แต่มิได้หมายความว่าปีนี้ไม่ได้ปีหน้าจะขึ้นไม่ได้ แต่ที่ได้เปิดเผยจากการกระทำก็คือ ฮุนเซนมิได้หวังแค่มรดกโลกหากแต่มุ่งหวังพื้นที่ใหม่ตามแนวชายแดนโดยการอาศัยเงื่อนไขเส้นเขตแดนตามแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ที่ระบุไว้ในบันทึกความเข้าใจฯ พ.ศ. 2543 ที่ฮุนเซนยึดถือและอ้างว่าถูกต้อง
นอกจากนี้ยังสามารถทำให้อภิสิทธิ์และรัฐบาลของเขาสามารถยึดลมหายใจต่อไปอีกได้จนถึงการเลือกตั้งครั้งใหม่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่กำลังไล่ล่าอย่างบ้าคลั่ง เพราะเมื่อการขึ้นทะเบียนมรดกโลกถูกเลื่อนออกไปผลของการสูญเสียดินแดนก็ยังไม่ปรากฏชัดเจนเป็นรูปธรรม ยัง “แถ” ต่อได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปัตย์หรือเพื่อไทยชนะเลือกตั้งกลับมาเป็นรัฐบาลก็คุยภาษาเดียวกับฮุนเซนได้อยู่แล้ว แต่ที่สำคัญยังสามารถให้อภิสิทธิ์ได้ใช้เป็นเงื่อนไขในการปราบเสี้ยนหนามที่ยอกอกฮุนเซน นั่นคือการชุมนุมเปิดเผยความจริงของพันธมิตรฯ
การที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ใช้ พ.ร.บ. ความมั่นคงโดยอาศัยข้ออ้างของการขอพื้นที่คืนจึงเป็นการปิดฟ้าความจริงด้วยฝ่ามือ เป็นการต่อสู้แบบคนขลาดที่หมดทางสู้ของอภิสิทธิ์และรัฐบาลของเขาอย่างแท้จริง เพราะการเปิดเผยความจริงว่าผู้อภิบาลรัฐไม่ทำหน้าที่จะกระทบต่อความมั่นคงของของรัฐได้อย่างไร หากไม่เปิดเผยความจริงซิจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติอย่างแท้จริง เพราะทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างไม่ทำหน้าที่
เหตุของความไม่มั่นคงอยู่ที่ชายแดนกัมพูชามิใช่หรือ หาใช่ที่มัฆวานฯ แต่อย่างใดไม่ อภิสิทธิ์จึงไม่ต่างอะไรกับเผด็จการอีกหลายคนก่อนหน้านี้ที่ทึกทักเอาว่า ความมั่นคงของรัฐบาลคือความมั่นคงของชาติ “รัฐคือตัวข้า และตัวข้าคือรัฐ” ฟังดูแล้วคุ้นๆไหม
ในช่วง 8-10 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลไทยมีท่าทีที่คลุมเครือต่อปัญหาความขัดแย้งไม่ว่าจะเป็นเรื่องมรดกโลกหรือปัญหาด้านเขตแดน นอกจากนี้ยังสร้างความสับสนให้กับคนในชาติด้วย ยกตัวอย่างเช่น กรณีล่าสุดที่ทางกัมพูชาจับ 7 คนไทย หรือในกรณีล่าสุดที่รมต.กลาโหมได้ให้ทหารยึดถือเอาบันทึกความเข้าใจฯ พ.ศ. 2543 เป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติงานทั้งๆ ที่สถานะทางกฎหมายของบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าวไม่มี และหากจะทึกทักว่ามีก็ไม่อยู่เหนือรัฐธรรมนูญแต่ประการใด เพราะทหารมีหน้าที่ที่จะต้องรักษาไว้ซึ่งเอกราช อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบัน ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 หากทหารไม่ปฏิบัติหน้าที่ที่มีตามกฎหมายแต่กลับให้ไปปฏิบัติในสิ่งที่ขัดกับกฎหมายที่นักการเมืองสั่งแล้วไม่มีใครคัดค้านต่อต้านประเทศนี้จะอยู่รอดไปได้อย่างไร เพราะประโยชน์ของนักการเมืองอาจไม่ใช่ประโยชน์ของชาติ
เหตุการณ์ความไม่สงบมีการเผาบ้านเผาเมืองของคนเสื้อแดงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมีที่มาจากตำรวจไม่ทำหน้าที่ที่ตนเองมีตามกฎหมาย ขณะที่นักการเมืองก็ไม่กล้าที่จะตัดสินใจมิใช่หรือ ประชาชนคนไทยจึงต้องรับผลกรรมของการไม่ปฏิบัติหน้าที่
ความรักชาติในปัจจุบันจึงกลายเป็นเพียงค่านิยมให้คนไทยยึดไว้ในใจ แต่ไม่ต้องการให้คนไทยปฏิบัติเพราะหากออกมาแสดงความรักชาติก็จะถูกกล่าวหาว่า“สุดโต่ง-คลั่งชาติ” ไป นักการเมืองเท่านั้นที่สามารถแสดงความรักชาติได้เพราะมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ แต่จะปฏิบัติหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง
สิ่งที่พันธมิตรฯ เรียกร้องจึงถูกหาว่า “สุดโต่ง-คลั่งชาติ” จะไปบอกว่าไม่ถูกต้องก็ไม่ได้ มันอยู่ที่ว่ารัฐบาลยังไม่สามารถชี้แจงให้มันชัดเจนว่าสิ่งที่เขาเรียกร้องหรือเขาอ้างว่ารัฐบาลทำผิดหรือไม่ถูกต้องเป็นอย่างไร หักล้างได้อย่างไร แต่ทุกวันนี้คำชี้แจงของรัฐบาลในการปฏิเสธข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ ทั้ง 3 ข้อก็ยังคลุมเครือขาดเหตุผลเป็นอย่างมาก
100 สุนทรพจน์ที่ดีที่สุดในรอบ 100 ปีอันดับหนึ่งก็คือ “I have a dream” หรือ “ฉันมีความฝัน” ของ Martin Luther King Jr. ที่ได้กล่าวไว้ที่อนุสรณ์สถานลินคอล์นเมื่อ 28 ส.ค. 1963 เนื้อหาโดยสรุปสั้นๆ ก็คือเป็นการมาทวงถามสัญญาที่รัฐธรรมนูญสหรัฐฯให้ไว้กับพลเมืองสหรัฐฯ ในเรื่องความเท่าเทียมกันของคนในชาติโดยไม่จำกัดที่สีผิว ซึ่งเป็นหน้าที่แต่รัฐบาลสหรัฐฯ บิดพลิ้วไม่ทำตามหน้าที่ที่ระบุไว้ จึงคล้ายกับการไม่จ่ายเงินตามเช็คซึ่งเป็นชื่อเดิมที่ตั้งใจไว้ของสุนทรพจน์นี้ แต่เนื่องจากประโยคที่ว่า “ฉันมีความฝัน” ได้ถูกเอ่ยอ้างถึงในตอนท้ายหลายครั้งมากจนคนทั่วไปรู้จักในชื่อนี้แทน
สิ่งที่ MLK เรียกร้องจึงเป็นเรื่อง “สุดโต่ง-คลั่งชาติ” หรือไม่ในขณะนั้นที่คนขาวจะยอมให้คนดำมาฉี่ในโทส้วมเดียวกัน นั่งในที่นั่งเดียวกัน หรือที่ประธานาธิบดีเคนเนดี้เรียกร้องในสุนทรพจน์เมื่อรับตำแหน่งว่า ชาวอเมริกันอย่าถามว่ารัฐบาลจะให้อะไรกับเขา แต่จงถามว่าท่านจะให้อะไรกับชาติของพวกเขา การส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์ การพิสูจน์ว่าโลกนี้กลมของกาลิเลโอ การมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นคนผิวดำเช่นโอบามา คิดใหม่ทำใหม่ของทักษิณ หรือ ร้อยฝันฯ ของอภิสิทธิ์ในปัจจุบัน
ท่านว่าสิ่งที่เขาคิดและกระทำมัน “สุดโต่ง-คลั่งชาติ” ในห้วงเวลาเหล่านั้นหรือไม่? หากคนเหล่านั้นไม่ยืนหยัดในความคิดของตนเองความก้าวหน้าปรองดองของคนในชาติจะเกิดไหม? ระหว่างคนที่ไม่ยอมยืนหยัดทำในสิ่งที่รู้ว่าถูกต้องหรือไม่มีความกล้าหาญทางจริยธรรมที่จะยืนหยัดสู้กับความไม่ถูกต้องกับ “สุดโต่ง-คลั่งชาติ” ท่านว่าควรสนับสนุนใคร?
แต่ข้อสรุปสุดท้ายก็คือ นักการเมืองไม่มีสิทธิที่จะผูกขาดความรักชาติไว้กับพวกตนแต่เพียงลำพัง ในขณะที่ไม่ยอมปฏิบัติหน้าที่หรือให้คนอื่นๆ ทำ