ASTVผู้จัดการรายวัน- ไทยฮั้วยางพารา เล็งขายไอพีโอ 400-500 ล้านหุ้น คาดเข้าเทรดไตรมาส 4/54 หวังเงินระดมทุนขยายธุรกิจยางพารา ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิ 1.2 พันล้านบาท ด้านที่ปรึกษาทางการเงิน คาด ไทยฮั้วฯ เพิ่มมาร์เกตแคปตลาดหุ้นไทยได้กว่า 1 หมื่นล้านบาท “สุวภา” แจงงานปีนี้ช่วยลูกค้าระดมทุนไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นล้านบาท ทั้งไอพีโอ- หุ้นกู้-กองทุนอสังหาริมทรัพย์
นายหลักชัย กิตติพล ประธานบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยฮั้วยางพารา จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบธุรกิจผู้ผลิตและจำหน่ายยางพารา เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป (IPO) 400-500 ล้านหุ้น หรือ 25-30% ของทุนจดทะเบียนของบริษัทที่เรียกชำระแล้วปัจจุบันอยู่ที่ 1,650 ล้านหุ้น ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างที่จะเตรียมยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ประมาณปลายไตรมาส3 /54หรือ ต้นไตรมาส4/54
ทั้งนี้เงินที่ได้จากการระดมทุนบริษัทจะนำไปขยายธุรกิจยางพาราในการขยายโรงงานนำยางข้นและ เพื่อขยายสวนยางพาราเพิ่มขึ้น รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน โดยบริษัทเชื่อว่าหุ้นของบริษัทจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนในการเข้ามาซื้อขาย จากการที่ราคายางพารามีทิศทางที่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของบริษัท ทำให้นักลงทุนมั่นใจในการเข้ามาซื้อขาแม้ภาวะตลาดหุ้นไทยอาจไม่ค่อยดีก็ตาม
สำหรับรายได้รวมปีนี้บริษัทคาดว่าจะมากกว่า 50,000 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากปี 2553 ที่มีรายได้รวม 30,000 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 500 ล้านบาท เนื่องจาก บริษัทจะมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 5 แสนตันต่อปี จากปีก่อนที่มีกำลังการผลิต2.8 แสนตันต่อปี จากที่โรงงานใหม่อีก 4 แห่ง และราคายางพารามีทิศทางในการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันราคายางพาราอยู่ที่ 170 บาทต่อกิโลกรัม คาดว่าปีนี้จะเฉลี่ยอยู่ที่ 150-180 บาทต่อกิโลกรัม จากปีก่อนที่เฉลี่ย 105 บาทต่อกิโลกรัม
นอกจากนี้จากการที่บริษัทจะเริ่มมีการกรีดยางจากสวนของตัวเองทำให้ประหยัดต้นทุนได้มากขึ้น จากก่อนหน้านี้บริษัทจะซื้อน้ำยางจากสวนอื่น ทำให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำ เพราะ การแข่งขันที่สูง รวมถึงบริษัทจะมีการขยายการส่งออกไปประเทศใหม่ๆมากขึ้นเช่น อเมริกาใต้ ยุโรปตะวันออก และอินเดีย โดยปัจจุบันสัดส่วนการส่งออกของบริษัทอยู่ที่90%
นายหลักชัย กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างร่วมทุนกับ บริษัท หางโจว จงเซอ รับเบอร์ จำกัด เพื่อจัดตั้งโรงงานผลิตยางรถยนต์ ซึ่งจะมีมูลค่าการลงทุน 5,000 ล้านบาท โดยบริษัทไทยฮั้วยางพารา จะถือหุ้นในสัดส่วน 15%เพื่อส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา กลุ่มสภาพยุโรป รวมถึงประเทศในภูมิภาคอาเซียน โดยคาดว่าจะมีกำกลังการผลิตเต็มที่ประมาณปีละ 3 ล้านเส้น โดยคาดว่าจะจัดตั้งโรงงานได้ในปีหน้า
สำหรับบริษัทมีสวนยางในประเทศไทยจำนวน 4-5 หมื่นไร่ ซึ่งจะเริ่มมีการกรีดยางได้บางส่วนในปีนี้ และมีสวนยางที่ประเทศลาว จำนวน 2 แสนไร่ ซึ่งจะเริ่มกรีดยางได้ดในปี 2556 โดยบริษัทเป็นผู้ผลิตยางแท่ง ยางแผ่นรมควันและน้ำยางข้น
นางสุวภา เจริญยิ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด กล่าวว่า บริษัทคาดว่าในปีนี้บริษัทจะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการะดมทุนให้กับลูกค้ามูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นล้านบาท แบ่ง เป็นหุ้นไอพีโอ ประมาณ 4 บริษัท มูลค่าระดมทุนรวมกัน 1-2 หมื่นล้านบาท หุ้นกู้ ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 1-2 มูลค่ากองละ 2-3 พันล้านบาท
นอกจากนี้ คาดว่างานทางด้านควบรวมกิจการรายการขนาดใหญ่หลายรายที่มีข่าวมานานน่าจะเกิดขึ้นและใกล้ได้ข้อสรุป เช่นการควบรวมของบริษัทในกลุ่มปตท. หรือการควบรวมระหว่างธนาคารพาณิชย์ด้วยกันเอง ซึ่งในส่วนของบริษัทก็เตรียมความพร้อมในการเข้าไปทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
อย่างไรก็ตาม สภาวะตลาดหุ้นในขณะนี้อาจอ่อนตัว ผิดไปจากที่คาดไว้ว่าจะดี แต่ประเมินในช่วงครึ่งหลังของปีน่าจะดีเพราะปัจจัยพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยน ดังนั้นจึงต้องเตรียมตัวลูกค้าให้พร้อม เพื่อรอโอกาสตลาดหุ้นเปิด โดยหุ้นไอพีโอ 4 ตัวปีนี้ หนึ่งในนั้นคือบริษัท ไทยฮั้วยางพารา โดยเตรียมจะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล(ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ภายในปีนี้ คาดว่ามูลค่าตลาดรวม(มาร์เก็ตแคป)ของไทยฮั้ว จะอยู่ในระดับ 1 หมื่นล้านบาท
นายหลักชัย กิตติพล ประธานบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยฮั้วยางพารา จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบธุรกิจผู้ผลิตและจำหน่ายยางพารา เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป (IPO) 400-500 ล้านหุ้น หรือ 25-30% ของทุนจดทะเบียนของบริษัทที่เรียกชำระแล้วปัจจุบันอยู่ที่ 1,650 ล้านหุ้น ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างที่จะเตรียมยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ประมาณปลายไตรมาส3 /54หรือ ต้นไตรมาส4/54
ทั้งนี้เงินที่ได้จากการระดมทุนบริษัทจะนำไปขยายธุรกิจยางพาราในการขยายโรงงานนำยางข้นและ เพื่อขยายสวนยางพาราเพิ่มขึ้น รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน โดยบริษัทเชื่อว่าหุ้นของบริษัทจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนในการเข้ามาซื้อขาย จากการที่ราคายางพารามีทิศทางที่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของบริษัท ทำให้นักลงทุนมั่นใจในการเข้ามาซื้อขาแม้ภาวะตลาดหุ้นไทยอาจไม่ค่อยดีก็ตาม
สำหรับรายได้รวมปีนี้บริษัทคาดว่าจะมากกว่า 50,000 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากปี 2553 ที่มีรายได้รวม 30,000 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 500 ล้านบาท เนื่องจาก บริษัทจะมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 5 แสนตันต่อปี จากปีก่อนที่มีกำลังการผลิต2.8 แสนตันต่อปี จากที่โรงงานใหม่อีก 4 แห่ง และราคายางพารามีทิศทางในการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันราคายางพาราอยู่ที่ 170 บาทต่อกิโลกรัม คาดว่าปีนี้จะเฉลี่ยอยู่ที่ 150-180 บาทต่อกิโลกรัม จากปีก่อนที่เฉลี่ย 105 บาทต่อกิโลกรัม
นอกจากนี้จากการที่บริษัทจะเริ่มมีการกรีดยางจากสวนของตัวเองทำให้ประหยัดต้นทุนได้มากขึ้น จากก่อนหน้านี้บริษัทจะซื้อน้ำยางจากสวนอื่น ทำให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำ เพราะ การแข่งขันที่สูง รวมถึงบริษัทจะมีการขยายการส่งออกไปประเทศใหม่ๆมากขึ้นเช่น อเมริกาใต้ ยุโรปตะวันออก และอินเดีย โดยปัจจุบันสัดส่วนการส่งออกของบริษัทอยู่ที่90%
นายหลักชัย กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างร่วมทุนกับ บริษัท หางโจว จงเซอ รับเบอร์ จำกัด เพื่อจัดตั้งโรงงานผลิตยางรถยนต์ ซึ่งจะมีมูลค่าการลงทุน 5,000 ล้านบาท โดยบริษัทไทยฮั้วยางพารา จะถือหุ้นในสัดส่วน 15%เพื่อส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา กลุ่มสภาพยุโรป รวมถึงประเทศในภูมิภาคอาเซียน โดยคาดว่าจะมีกำกลังการผลิตเต็มที่ประมาณปีละ 3 ล้านเส้น โดยคาดว่าจะจัดตั้งโรงงานได้ในปีหน้า
สำหรับบริษัทมีสวนยางในประเทศไทยจำนวน 4-5 หมื่นไร่ ซึ่งจะเริ่มมีการกรีดยางได้บางส่วนในปีนี้ และมีสวนยางที่ประเทศลาว จำนวน 2 แสนไร่ ซึ่งจะเริ่มกรีดยางได้ดในปี 2556 โดยบริษัทเป็นผู้ผลิตยางแท่ง ยางแผ่นรมควันและน้ำยางข้น
นางสุวภา เจริญยิ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด กล่าวว่า บริษัทคาดว่าในปีนี้บริษัทจะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการะดมทุนให้กับลูกค้ามูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นล้านบาท แบ่ง เป็นหุ้นไอพีโอ ประมาณ 4 บริษัท มูลค่าระดมทุนรวมกัน 1-2 หมื่นล้านบาท หุ้นกู้ ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 1-2 มูลค่ากองละ 2-3 พันล้านบาท
นอกจากนี้ คาดว่างานทางด้านควบรวมกิจการรายการขนาดใหญ่หลายรายที่มีข่าวมานานน่าจะเกิดขึ้นและใกล้ได้ข้อสรุป เช่นการควบรวมของบริษัทในกลุ่มปตท. หรือการควบรวมระหว่างธนาคารพาณิชย์ด้วยกันเอง ซึ่งในส่วนของบริษัทก็เตรียมความพร้อมในการเข้าไปทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
อย่างไรก็ตาม สภาวะตลาดหุ้นในขณะนี้อาจอ่อนตัว ผิดไปจากที่คาดไว้ว่าจะดี แต่ประเมินในช่วงครึ่งหลังของปีน่าจะดีเพราะปัจจัยพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยน ดังนั้นจึงต้องเตรียมตัวลูกค้าให้พร้อม เพื่อรอโอกาสตลาดหุ้นเปิด โดยหุ้นไอพีโอ 4 ตัวปีนี้ หนึ่งในนั้นคือบริษัท ไทยฮั้วยางพารา โดยเตรียมจะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล(ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ภายในปีนี้ คาดว่ามูลค่าตลาดรวม(มาร์เก็ตแคป)ของไทยฮั้ว จะอยู่ในระดับ 1 หมื่นล้านบาท