การตัดสินของศาลกัมพูชาที่มีต่อนายวีระ สมความคิด กับนางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ สองผู้ต้องหาในกรณีเดินทางเข้าสู่เขตแดนประเทศกัมพูชา ซึ่งยังไม่มีใครสามารถตอบได้ว่า “เป็นดินแดนของใคร” เนื่องด้วยผืนแผ่นดินบริเวณนั้น เป็น “ที่ดินกรณีพิพาท”
อย่างไรก็ตาม การพิจารณาพิพากษาของศาลกัมพูชาได้จบภารกิจเบื้องต้นไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 ในความผิดฐานบุกรุกล้ำชายแดน เข้าไปในเขตทหาร และจารกรรมข้อมูลทางทหาร โดยศาลสั่งจำคุกนายวีระ สมความคิด 8 ปี และปรับ 1.8 ล้านเรียล (ประมาณ 17,000 กว่าบาท) และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ จำคุก 6 ปี และปรับ 1.2 ล้านเรียล (ประมาณ 12,000 บาท) โดยทั้งสองคน “ไม่มีการรอลงอาญา” พูดง่ายๆ คือ “ติดคุกสถานเดียว!”
“ความดัง” ของนายวีระ สมความคิด นั้น ใครๆ ต้องรู้จักเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในกรณีเปิดโปงการทุจริตในวงราชการ โดยมอบให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการประพฤติมิชอบในวงราชการ (ป.ป.ช.) และต่อมาได้เป็น “แห่งชาติ” ในที่สุด
ว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว ศึกษาประวัติความเป็นมาของนายวีระ สมความคิด แล้วต้องกล่าวชื่นชมในความกล้าหาญ และสามารถเรียกว่าเป็น “มิสเตอร์คลีน” หรือ “ผู้รักษาผลประโยชน์ต่อชาติ” ก็ว่าได้
แต่ในทางกลับกัน ก็สามารถสร้าง “ความเคียดแค้น” ให้เกิดแก่ “ผู้ต้องสงสัย-ผู้ต้องหา” เมื่อถูก ป.ป.ช. สั่งให้ศาลดำเนินคดี โดยเฉพาะนักการเมืองทั้งหลายที่ต่างก็ถูกกล่าวหาว่า “ทุจริต” กันแทบทั้งนั้น
นายวีระ สมความคิด เป็นเลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชัน ซึ่งครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2553 ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินให้ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในกรณีของการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ จึงหลุดจากตำแหน่งทันที
ทั้งนี้ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งทันที ไม่รีรอที่จะรั้งอยู่กับเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมหาดไทย ด้วยการพ้นจากตำแหน่งและยุติบทบาททางการเมืองตลอด 5 ปี
คดีดังกล่าว น่าจะเป็น “คดีดัง” ที่ทำให้คุณวีระ สมความคิด “โดดเด่น-โด่งดัง” นับแต่นั้นมา จนในที่สุดก็มาดังอีกครั้ง กับกรณีเดินทางร่วมกับคุณพนิช วิกิตเศรษฐ์ จนถูกทางการกัมพูชาและถูกดำเนินคดี พร้อมทั้งศาลพิพากษาให้ติดคุกดังกล่าว
ความจริงแล้ว คุณวีระ สมความคิด มีประวัติที่โดดเด่นมาตั้งแต่ศึกษาเล่าเรียนจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และจบปริญญาตรีสาขานิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
แต่คุณวีระนั้น มีบทบาททางการเมืองในช่วงเหตุการณ์สำคัญๆ มาโดยตลอดเริ่มตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516 เป็นประธานนักเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และช่วงวันที่ 16 ตุลาคม 2519 และแน่นอน “พฤษภาทมิฬ” เช่นเดียวกัน
หลังเหตุการณ์ 16 ตุลาคม 2519 นั้น นายวีระ ได้หลบหนีเข้าป่า และต่อมาได้ลาออกจากป่ามาบวชเป็นสามเณรอยู่ 3 พรรษา จึงได้ศึกษาหลักคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนา จากพระภิกษุสงฆ์ที่มีชื่อเสียงหลายรูป อาทิ หลวงปู่ชา สุภัทโท พุทธทาสภิกขุ แต่ที่สำคัญคือ สมณะโพธิรักษ์ แห่งสำนักสันติอโศก จนทำให้นายวีระ นั้นนับว่าเป็นสาวก สำนักสันติอโศกอย่างเหนียวแน่นมาก
ในทางการเมืองนั้น นายวีระเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคพลังธรรม พร้อมกับเป็นสมาชิกด้วย และที่สำคัญไปมากกว่านั้น ได้ร่วมชุมนุมขับไล่ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ในปี 2549 ซึ่งนับว่ามีความโดดเด่นกับการเป็นแนวร่วมสำคัญมากกับการเข้าร่วมกับ “กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)” ในการชุมนุมครั้งนั้น
นายวีระ สมความคิด จากข้อมูลที่ได้มานั้น ได้ร่วมเดินทางไปในบริเวณเขตที่ดินพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา น่าจะไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2552 ที่นายวีระ ได้นำแนวร่วมพันธมิตรฯ จำนวน 4,000 คน ซึ่งมิได้เป็นมติของแกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 5 คน เดินเข้าไปเขาพระวิหารเพื่ออ่านแถลงการณ์ทวงคืนดินแดนรอบๆ ปราสาทพระวิหาร พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร จนเกิดการปะทะกับชาวบ้านในพื้นที่จนได้รับบาดเจ็บไปทั้งสองฝ่าย
การเดินทางเข้าออกบริเวณที่ดินพิพาทนั้น จากข้อมูลทราบว่า นายวีระ ถูกเจ้าหน้าที่กัมพูชาจับได้ แต่มีการเจรจาจนนายวีระ หลุดรอดออกมาได้ทุกครั้ง แต่ในที่สุด มาถูกจับเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2553 พร้อมกับพรรคพวกอีก 6 คน โดยเป็นสมาชิกเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ พร้อมกับนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จากกรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์
การเดินทางร่วมคณะไปในครั้งนี้ น่าจะเป็น “คำถามสำคัญ” ที่ทุกคนทุกฝ่ายถามว่า “ไปทำไม?” ถ้ามีอะไรที่เป็นผลประโยชน์เกี่ยวข้อง หรือว่าจะเป็นการจารกรรมข้อมูลทางการของประเทศกัมพูชา แม้กระทั่งทุกวันนี้ทุกภาคส่วนยังคงฉงนสงสัยกับการเดินทางไปสู่ดินแดนที่ดินพิพาท
ความโดดเด่นของนายวีระ สมความคิด นั้น น่าจะเป็นในกรณีของการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันของบรรดานักการเมืองทั้งหลาย ไม่ว่าพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือแม้กระทั่ง นายเนวิน ชิดชอบ จนล่าสุด “ซุบซิบ” ว่านายวีระ และคณะนั้น เชื่อมโยงกับสำนักสันติอโศกอย่างใกล้ชิด ตลอดจนไปสังเกตการณ์เก็บข้อมูลว่า มีการค้าสินค้าเถื่อนตามแนวตะเข็บชายแดน อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว จนโดนทหารกัมพูชาจับได้ในที่สุด
จากกรณีข้อหาจารกรรมข้อมูลทางทหารของกัมพูชานั้น ต้องเรียนว่า นายวีระ อาจจะล่วงล้ำเข้าสู่ “ดินแดนสนธยา” จนถูกศาลสั่งจำคุก 8 ปี พร้อมนางสาวราตรี ด้วยกัน บวกกับความเคียดแค้นสะใจของคนหลากหลายกลุ่มที่โดนคุณวีระ เล่นงานมา
เพราะฉะนั้น งานนี้ต้องรับว่า “การปะทะกันที่ชายแดนไทย-กัมพูชา” ที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ น่าจะมีสาเหตุจากนายวีระ สมความคิด เช่นเดียวกัน!
อย่างไรก็ตาม การพิจารณาพิพากษาของศาลกัมพูชาได้จบภารกิจเบื้องต้นไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 ในความผิดฐานบุกรุกล้ำชายแดน เข้าไปในเขตทหาร และจารกรรมข้อมูลทางทหาร โดยศาลสั่งจำคุกนายวีระ สมความคิด 8 ปี และปรับ 1.8 ล้านเรียล (ประมาณ 17,000 กว่าบาท) และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ จำคุก 6 ปี และปรับ 1.2 ล้านเรียล (ประมาณ 12,000 บาท) โดยทั้งสองคน “ไม่มีการรอลงอาญา” พูดง่ายๆ คือ “ติดคุกสถานเดียว!”
“ความดัง” ของนายวีระ สมความคิด นั้น ใครๆ ต้องรู้จักเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในกรณีเปิดโปงการทุจริตในวงราชการ โดยมอบให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการประพฤติมิชอบในวงราชการ (ป.ป.ช.) และต่อมาได้เป็น “แห่งชาติ” ในที่สุด
ว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว ศึกษาประวัติความเป็นมาของนายวีระ สมความคิด แล้วต้องกล่าวชื่นชมในความกล้าหาญ และสามารถเรียกว่าเป็น “มิสเตอร์คลีน” หรือ “ผู้รักษาผลประโยชน์ต่อชาติ” ก็ว่าได้
แต่ในทางกลับกัน ก็สามารถสร้าง “ความเคียดแค้น” ให้เกิดแก่ “ผู้ต้องสงสัย-ผู้ต้องหา” เมื่อถูก ป.ป.ช. สั่งให้ศาลดำเนินคดี โดยเฉพาะนักการเมืองทั้งหลายที่ต่างก็ถูกกล่าวหาว่า “ทุจริต” กันแทบทั้งนั้น
นายวีระ สมความคิด เป็นเลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชัน ซึ่งครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2553 ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินให้ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในกรณีของการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ จึงหลุดจากตำแหน่งทันที
ทั้งนี้ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งทันที ไม่รีรอที่จะรั้งอยู่กับเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมหาดไทย ด้วยการพ้นจากตำแหน่งและยุติบทบาททางการเมืองตลอด 5 ปี
คดีดังกล่าว น่าจะเป็น “คดีดัง” ที่ทำให้คุณวีระ สมความคิด “โดดเด่น-โด่งดัง” นับแต่นั้นมา จนในที่สุดก็มาดังอีกครั้ง กับกรณีเดินทางร่วมกับคุณพนิช วิกิตเศรษฐ์ จนถูกทางการกัมพูชาและถูกดำเนินคดี พร้อมทั้งศาลพิพากษาให้ติดคุกดังกล่าว
ความจริงแล้ว คุณวีระ สมความคิด มีประวัติที่โดดเด่นมาตั้งแต่ศึกษาเล่าเรียนจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และจบปริญญาตรีสาขานิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
แต่คุณวีระนั้น มีบทบาททางการเมืองในช่วงเหตุการณ์สำคัญๆ มาโดยตลอดเริ่มตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516 เป็นประธานนักเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และช่วงวันที่ 16 ตุลาคม 2519 และแน่นอน “พฤษภาทมิฬ” เช่นเดียวกัน
หลังเหตุการณ์ 16 ตุลาคม 2519 นั้น นายวีระ ได้หลบหนีเข้าป่า และต่อมาได้ลาออกจากป่ามาบวชเป็นสามเณรอยู่ 3 พรรษา จึงได้ศึกษาหลักคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนา จากพระภิกษุสงฆ์ที่มีชื่อเสียงหลายรูป อาทิ หลวงปู่ชา สุภัทโท พุทธทาสภิกขุ แต่ที่สำคัญคือ สมณะโพธิรักษ์ แห่งสำนักสันติอโศก จนทำให้นายวีระ นั้นนับว่าเป็นสาวก สำนักสันติอโศกอย่างเหนียวแน่นมาก
ในทางการเมืองนั้น นายวีระเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคพลังธรรม พร้อมกับเป็นสมาชิกด้วย และที่สำคัญไปมากกว่านั้น ได้ร่วมชุมนุมขับไล่ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ในปี 2549 ซึ่งนับว่ามีความโดดเด่นกับการเป็นแนวร่วมสำคัญมากกับการเข้าร่วมกับ “กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)” ในการชุมนุมครั้งนั้น
นายวีระ สมความคิด จากข้อมูลที่ได้มานั้น ได้ร่วมเดินทางไปในบริเวณเขตที่ดินพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา น่าจะไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2552 ที่นายวีระ ได้นำแนวร่วมพันธมิตรฯ จำนวน 4,000 คน ซึ่งมิได้เป็นมติของแกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 5 คน เดินเข้าไปเขาพระวิหารเพื่ออ่านแถลงการณ์ทวงคืนดินแดนรอบๆ ปราสาทพระวิหาร พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร จนเกิดการปะทะกับชาวบ้านในพื้นที่จนได้รับบาดเจ็บไปทั้งสองฝ่าย
การเดินทางเข้าออกบริเวณที่ดินพิพาทนั้น จากข้อมูลทราบว่า นายวีระ ถูกเจ้าหน้าที่กัมพูชาจับได้ แต่มีการเจรจาจนนายวีระ หลุดรอดออกมาได้ทุกครั้ง แต่ในที่สุด มาถูกจับเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2553 พร้อมกับพรรคพวกอีก 6 คน โดยเป็นสมาชิกเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ พร้อมกับนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จากกรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์
การเดินทางร่วมคณะไปในครั้งนี้ น่าจะเป็น “คำถามสำคัญ” ที่ทุกคนทุกฝ่ายถามว่า “ไปทำไม?” ถ้ามีอะไรที่เป็นผลประโยชน์เกี่ยวข้อง หรือว่าจะเป็นการจารกรรมข้อมูลทางการของประเทศกัมพูชา แม้กระทั่งทุกวันนี้ทุกภาคส่วนยังคงฉงนสงสัยกับการเดินทางไปสู่ดินแดนที่ดินพิพาท
ความโดดเด่นของนายวีระ สมความคิด นั้น น่าจะเป็นในกรณีของการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันของบรรดานักการเมืองทั้งหลาย ไม่ว่าพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือแม้กระทั่ง นายเนวิน ชิดชอบ จนล่าสุด “ซุบซิบ” ว่านายวีระ และคณะนั้น เชื่อมโยงกับสำนักสันติอโศกอย่างใกล้ชิด ตลอดจนไปสังเกตการณ์เก็บข้อมูลว่า มีการค้าสินค้าเถื่อนตามแนวตะเข็บชายแดน อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว จนโดนทหารกัมพูชาจับได้ในที่สุด
จากกรณีข้อหาจารกรรมข้อมูลทางทหารของกัมพูชานั้น ต้องเรียนว่า นายวีระ อาจจะล่วงล้ำเข้าสู่ “ดินแดนสนธยา” จนถูกศาลสั่งจำคุก 8 ปี พร้อมนางสาวราตรี ด้วยกัน บวกกับความเคียดแค้นสะใจของคนหลากหลายกลุ่มที่โดนคุณวีระ เล่นงานมา
เพราะฉะนั้น งานนี้ต้องรับว่า “การปะทะกันที่ชายแดนไทย-กัมพูชา” ที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ น่าจะมีสาเหตุจากนายวีระ สมความคิด เช่นเดียวกัน!