ASTV ผู้จัดการรายวัน - "ซีพโก้ "เชื่อปีนี้รายได้โตเพิ่มกว่า 1,600 ล้าน เหตุเตรียมรับรู้จาก Backlog กว่า 900 ล้านบาท ด้านผู้บริหารประเมินมาร์จิ้นปีนี้ขยายตัว ระบุไร้ปัญหาแม้ค่าวัสุดปรับมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่ม ส่งผลให้ต้นทุนขยายตัว เพราะมีการบริหารความเสี่ยงดี หนุนภาพรวมธุรกิจปีนี้สดใส
นายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีฟโก้ จำกัด(มหาชน) SEAFCO เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจว่า ปี 54 นี้น่าจะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมามาก เนื่องจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน มีการเซ็นสัญญาดำเนินการเกิดขึ้น ซึ่งจุดนี้น่าจะส่งผลภาพรวมธุรกิจของบริษัทดีขึ้นไปด้วย โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ไว้ คือเติบโตไม่ต่ำกว่า 1,600 ล้านบาท จากคาดการ์รายได้ในปีก่อน ขณะเดียวกันเชื่อว่าอัตรากำไรขั้นต้น(มาร์จิ้น)ของงานในปีนี้จะสูงขึ้นจากเดิมเยอะ
ปัจจุบัน SEAFCO ยังรอการรับรู้รายได้จากงานในมือ(Backlog) ประมาณ 1,300 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าในปี2554 จะรับรู้ประมาณ 900 ล้านบาทจากมูลค่างานทั้งหมด ขณะเดียวกัน บริษัทก็เดินหน้าเข้าประงานของภาคเอกชนอื่นๆอย่างต่อเนื่อง ซึ่งน่าจะได้รับการประมูลกว่า 50% ของงานที่ยื่นประมูลทั้งหมด โดยคาดว่าจะสร้างรายได้เข้าบริษัทประมาณ 800- 900 ล้านบาท และถ้าเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ผู้บริหารเชื่อว่าจะโอกาสสูงที่รายได้ทั้งปีอาจจะมากกว่า 1,600 ล้านบาทที่ตั้งไว้แน่
"เราไม่อยากวางเป้าไว้ยาวจนถึงปลายปี เพราะมันมองออกไม่ชัดเจน อีกทั้งงานเอกชนบางโครงการนั้นเป็นงานระยะสั้น สามารถดำเนินการและแล้วเสร็จได้ภายใน 2-3 เดือน ซึ่งก็จะช่วยให้เรารับรู้รายได้จากโครงการนั้นได้ทันที ขณะเดียวกันเมื่องานดังกล่าวเสร็จสิ้น เราก็พร้อมที่จะเข้ารับงานใหม่ต่อได้ทันที "
อย่างไรก็ตาม แม้มาร์จิ้นในการรับงานในปีนี้จะเพิ่มขึ้น แต่บริษัทยังให้ความสำคัญต่อการบริหารต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆเช่นกัน เนื่องจากในปีนี้มองว่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นจะมีผลต่อต้นทุนการดำเนินงานของบริษัท เช่นเดียวกับราคาของวัสดุอุปกรณ์ ที่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอีก อย่างไรก็ตามในจุดนี้ บริษัทได้ดำเนินการแก้ไข คือ การเข้ารับงานแบบให้ลูกค้าเป็นผู้รับผิดชอบในค่าใช้จ่ายด้านวัสดุแทน ซึ่งลูกค้าได้ให้การยอมรับและเข้าใจในเรื่องดังกล่าว
นายณรงค์ กล่าวเพิ่มเติมถึงภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ ว่า เศรษฐกิจของไทยจะเติบโตแค่ไหนนั้น การเมืองก็ถือเป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจเช่นกัน โดยหลายปีที่ผ่านมาเมื่อการเมืองมีปัญฆาก็ทำให้เอกชนไม่กล้าลงทุนเพิ่ม แต่เมื่อสถานการร์ทางการเมืองดูนิ่งขึ้น ความกังวลก็คลายลง ภาคเอกชนก็กลับมาลงทุนอีกครั้ง ซึ่งจุดนี้ก็เป็ฯผลดีต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท
ทั้งนี้ คาดว่าในเดือนกุมภาพันธ์ บริษัท จะได้งานประมูลอีก 1-2 โครงการ มูลค่ารวมกันประมาณ 200-300 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นโครงการที่ค่อนข้างใหญ่ หลังจากล่าสุดปลายเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ได้ประกาศผลการประมูลงานก่อสร้างใหม่ 2 โครงการมูลค่ารวมกัน 48.40 ล้านบาท แต่ในปีนี้งานเสาเข็มเข้ามามาก ดังนั้น เชื่อว่า สัดส่วนงานน่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่มากกว่า 50%
บทวิเคราะห์ของ บล. ดีบีเอสวิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ "ซื้อ" หุ้นบริษัทซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) SEAFCO ราคาเป้าหมาย 6.26 บาทต่อหุ้น โดยคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4/2553 จะออกมาน้อยกว่าที่คาดไว้เดิมเป็น 16 ล้านบาท สืบเนื่องจากรายได้จากการก่อสร้างทำได้น้อยลงเป็น 390 ล้านบาท สาเหตุเพราะการเข้าไปทำงานที่ไซต์งานมีข้อจำกัดเรื่องเวลา เช่น งานรถไฟฟ้าสายสีม่วง เป็นต้น อย่างไรก็ตามยังมีการเติบโตดีคือ เพิ่มขึ้น 118% จากปีก่อน และ 21% ไตรมาสก่อนหน้า
แต่อาจมีการตั้งสำรองลูกหนี้สงสัยจะสูญ ประมาณ 10 ล้านบาท แต่ในประมาณการยังไม่ได้เผื่อไว้ การที่กำไรสุทธิออกมาน้อยกว่าคาด จึงไม่อาจหักล้างกับขาดทุนสุทธิในรอบ 9 เดือนแรกปี 53 ที่ 29 ล้านบาทได้เราจึงปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิตลอดปี 2554 ลงจาก 18 ล้านบาท เป็นขาดทุนสุทธิ 13 ล้านบาท ซึ่งหากเปรียบเทียบกับที่เป็นกำไรสุทธิ 50 ล้านบาทแล้ว ก็จะดูว่าย่ำแย่ลง แต่เราเห็นว่านักลงทุนควรมองข้ามไปยังปีนี้ที่เราคาดว่าภาพการฟื้นตัวจะปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด
ทั้งนี้คาดว่าการฟื้นตัวในปี 54 นั้น มีแรงผลักดันมาจาก 1. งานก่อสร้างในมือ (Backlog) ปลายปี 53 ที่สูงเป็น 1.3 พันล้านบาทนั้น จะสามารถรับรู้ในปีนี้ประมาณ 1.0 พันล้านบาท หรือเป็นสัดส่วน 58%เทียบกับประมาณการรายได้ปีนี้ ถือว่า Secure พอควร 2. แนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น เพราะงานก่อสร้างประเภท เสาเข็มจะมีสัดส่วนมากขึ้น ตามงานรถไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น เช่น สายสีน้ำเงินและสีแดง และ 3.งานก่อสร้างไม่มีอุปสรรค จากการเมือง ซึ่งปี 53 ประสบปัญหาการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง ทำให้เข้าไซต์งานไม่ได้
ส่วนข่าวดีที่คาดว่าจะเกิดขึ้นคือ 1. เดือนกุมภาพันธ์ 54 มีโอกาสได้งานฐานรากขนาดใหญ่อีกประมาณ 300 ล้านบาท แถบบริเวณถนนเพลินจิต 2. แนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 1/2553 จะออกมาสูง เพราะรับรู้รายได้ส่วนใหญ่มาจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งเหลือการก่อสร้างมาจากปีก่อน และมาทำในปีนี้ที่ 200-300 ล้านบาท ซึ่งรับแต่ค่าแรง ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงมากถึงระดับ 20% 3. ภาระการลงทุนในปีนี้จะลดลงหลังจากปี 53 ได้มีการซื้อเครื่องจักรไปถึง 100 ล้านบาท และได้รับเครื่องจักรประเภทเครนเพิ่ม และ 4. การขยายตัวของงานก่อสร้างภาคเอกชนมีมากขึ้น เช่น งานอาคารสำนักงาน เป็นต้น
นายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีฟโก้ จำกัด(มหาชน) SEAFCO เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจว่า ปี 54 นี้น่าจะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมามาก เนื่องจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน มีการเซ็นสัญญาดำเนินการเกิดขึ้น ซึ่งจุดนี้น่าจะส่งผลภาพรวมธุรกิจของบริษัทดีขึ้นไปด้วย โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ไว้ คือเติบโตไม่ต่ำกว่า 1,600 ล้านบาท จากคาดการ์รายได้ในปีก่อน ขณะเดียวกันเชื่อว่าอัตรากำไรขั้นต้น(มาร์จิ้น)ของงานในปีนี้จะสูงขึ้นจากเดิมเยอะ
ปัจจุบัน SEAFCO ยังรอการรับรู้รายได้จากงานในมือ(Backlog) ประมาณ 1,300 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าในปี2554 จะรับรู้ประมาณ 900 ล้านบาทจากมูลค่างานทั้งหมด ขณะเดียวกัน บริษัทก็เดินหน้าเข้าประงานของภาคเอกชนอื่นๆอย่างต่อเนื่อง ซึ่งน่าจะได้รับการประมูลกว่า 50% ของงานที่ยื่นประมูลทั้งหมด โดยคาดว่าจะสร้างรายได้เข้าบริษัทประมาณ 800- 900 ล้านบาท และถ้าเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ผู้บริหารเชื่อว่าจะโอกาสสูงที่รายได้ทั้งปีอาจจะมากกว่า 1,600 ล้านบาทที่ตั้งไว้แน่
"เราไม่อยากวางเป้าไว้ยาวจนถึงปลายปี เพราะมันมองออกไม่ชัดเจน อีกทั้งงานเอกชนบางโครงการนั้นเป็นงานระยะสั้น สามารถดำเนินการและแล้วเสร็จได้ภายใน 2-3 เดือน ซึ่งก็จะช่วยให้เรารับรู้รายได้จากโครงการนั้นได้ทันที ขณะเดียวกันเมื่องานดังกล่าวเสร็จสิ้น เราก็พร้อมที่จะเข้ารับงานใหม่ต่อได้ทันที "
อย่างไรก็ตาม แม้มาร์จิ้นในการรับงานในปีนี้จะเพิ่มขึ้น แต่บริษัทยังให้ความสำคัญต่อการบริหารต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆเช่นกัน เนื่องจากในปีนี้มองว่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นจะมีผลต่อต้นทุนการดำเนินงานของบริษัท เช่นเดียวกับราคาของวัสดุอุปกรณ์ ที่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอีก อย่างไรก็ตามในจุดนี้ บริษัทได้ดำเนินการแก้ไข คือ การเข้ารับงานแบบให้ลูกค้าเป็นผู้รับผิดชอบในค่าใช้จ่ายด้านวัสดุแทน ซึ่งลูกค้าได้ให้การยอมรับและเข้าใจในเรื่องดังกล่าว
นายณรงค์ กล่าวเพิ่มเติมถึงภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ ว่า เศรษฐกิจของไทยจะเติบโตแค่ไหนนั้น การเมืองก็ถือเป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจเช่นกัน โดยหลายปีที่ผ่านมาเมื่อการเมืองมีปัญฆาก็ทำให้เอกชนไม่กล้าลงทุนเพิ่ม แต่เมื่อสถานการร์ทางการเมืองดูนิ่งขึ้น ความกังวลก็คลายลง ภาคเอกชนก็กลับมาลงทุนอีกครั้ง ซึ่งจุดนี้ก็เป็ฯผลดีต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท
ทั้งนี้ คาดว่าในเดือนกุมภาพันธ์ บริษัท จะได้งานประมูลอีก 1-2 โครงการ มูลค่ารวมกันประมาณ 200-300 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นโครงการที่ค่อนข้างใหญ่ หลังจากล่าสุดปลายเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ได้ประกาศผลการประมูลงานก่อสร้างใหม่ 2 โครงการมูลค่ารวมกัน 48.40 ล้านบาท แต่ในปีนี้งานเสาเข็มเข้ามามาก ดังนั้น เชื่อว่า สัดส่วนงานน่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่มากกว่า 50%
บทวิเคราะห์ของ บล. ดีบีเอสวิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ "ซื้อ" หุ้นบริษัทซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) SEAFCO ราคาเป้าหมาย 6.26 บาทต่อหุ้น โดยคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4/2553 จะออกมาน้อยกว่าที่คาดไว้เดิมเป็น 16 ล้านบาท สืบเนื่องจากรายได้จากการก่อสร้างทำได้น้อยลงเป็น 390 ล้านบาท สาเหตุเพราะการเข้าไปทำงานที่ไซต์งานมีข้อจำกัดเรื่องเวลา เช่น งานรถไฟฟ้าสายสีม่วง เป็นต้น อย่างไรก็ตามยังมีการเติบโตดีคือ เพิ่มขึ้น 118% จากปีก่อน และ 21% ไตรมาสก่อนหน้า
แต่อาจมีการตั้งสำรองลูกหนี้สงสัยจะสูญ ประมาณ 10 ล้านบาท แต่ในประมาณการยังไม่ได้เผื่อไว้ การที่กำไรสุทธิออกมาน้อยกว่าคาด จึงไม่อาจหักล้างกับขาดทุนสุทธิในรอบ 9 เดือนแรกปี 53 ที่ 29 ล้านบาทได้เราจึงปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิตลอดปี 2554 ลงจาก 18 ล้านบาท เป็นขาดทุนสุทธิ 13 ล้านบาท ซึ่งหากเปรียบเทียบกับที่เป็นกำไรสุทธิ 50 ล้านบาทแล้ว ก็จะดูว่าย่ำแย่ลง แต่เราเห็นว่านักลงทุนควรมองข้ามไปยังปีนี้ที่เราคาดว่าภาพการฟื้นตัวจะปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด
ทั้งนี้คาดว่าการฟื้นตัวในปี 54 นั้น มีแรงผลักดันมาจาก 1. งานก่อสร้างในมือ (Backlog) ปลายปี 53 ที่สูงเป็น 1.3 พันล้านบาทนั้น จะสามารถรับรู้ในปีนี้ประมาณ 1.0 พันล้านบาท หรือเป็นสัดส่วน 58%เทียบกับประมาณการรายได้ปีนี้ ถือว่า Secure พอควร 2. แนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น เพราะงานก่อสร้างประเภท เสาเข็มจะมีสัดส่วนมากขึ้น ตามงานรถไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น เช่น สายสีน้ำเงินและสีแดง และ 3.งานก่อสร้างไม่มีอุปสรรค จากการเมือง ซึ่งปี 53 ประสบปัญหาการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง ทำให้เข้าไซต์งานไม่ได้
ส่วนข่าวดีที่คาดว่าจะเกิดขึ้นคือ 1. เดือนกุมภาพันธ์ 54 มีโอกาสได้งานฐานรากขนาดใหญ่อีกประมาณ 300 ล้านบาท แถบบริเวณถนนเพลินจิต 2. แนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 1/2553 จะออกมาสูง เพราะรับรู้รายได้ส่วนใหญ่มาจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งเหลือการก่อสร้างมาจากปีก่อน และมาทำในปีนี้ที่ 200-300 ล้านบาท ซึ่งรับแต่ค่าแรง ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงมากถึงระดับ 20% 3. ภาระการลงทุนในปีนี้จะลดลงหลังจากปี 53 ได้มีการซื้อเครื่องจักรไปถึง 100 ล้านบาท และได้รับเครื่องจักรประเภทเครนเพิ่ม และ 4. การขยายตัวของงานก่อสร้างภาคเอกชนมีมากขึ้น เช่น งานอาคารสำนักงาน เป็นต้น