นายกสมาคม บล.เผยกำไรสุทธิรวมโบรกเกอร์ปี 53 คาดอยู่ที่ 7.9 พันล้านบาท สูงสุดในรอบ 6 ปี เหตุพอร์ตลงทุนกำไรพุ่งจากดัชนีปรับตัวสูงจนมีโอกาสทำกำไร และวอลุ่มการซื้อขายปรับตัวเพิ่มขึ้น 60% อีกทั้งแต่ละแห่งคุมค่าใช้จ่ายได้ดี ขณะปีนี้ประเมินกำไรลดลงจากดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่เท่าปีก่อน ส่งผลต่อกำไรพอร์ตลงทุน อีกทั้งหลายแห่งต้องลงทุนระบบไอที และทำการตลาดมากขึ้น ด้านบล.เอเซีย พลัส คาดปี54 กำไรโบรกเกอร์ลดลง จากวอลุ่ม-กำไรพอร์ตหดเกือบ 50% แนะนักลงทุนเน้นลงทุนหุ้นรายตัว
นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า กำไรรวมของบริษัทหลักทรัพย์ฯในปี 2553 คาดว่า จะอยู่ที่ประมาณ 7,900 ล้านบาท จาก บล.45 แห่ง ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 6 ปี หรือ เพิ่มขึ้น 74% จากปี 2552 ที่มีกำไรสุทธิรวม 4,542 ล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บล.มีกำไรสุทธิรวมแล้ว 5,404 ล้านบาท และคาดว่า กำไรสุทธิรวมในช่วงไตรมาส 4/จะอยู่ที่ 2,500 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากไตรมาส 3/53 ที่มีกำไรสุทธิ 3,101 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงไตรมาส4โดยเฉพาะเดือนธันวาคมที่มูลค่าการซื้อขายลดลง
สำหรับสาเหตุที่กำไรสุทธิปีที่ผ่านมาของโบรกเกอร์ปรับตัวเพิ่มขึ้น มาจากพอร์ตการลงทุนที่มีกำไรสูงถึง 2,093 ล้านบาท (งวด 9 เดือน 53) หรือ ประมาณ 38% ของกำไรสุทธิรวมงวด 9 เดือน จากการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงถึง 40.60% จึงทำให้มีโอกาสในการทำกำไรพอร์ตที่ดี และจากการที่โบรกเกอร์มีการคุมค่าใช้จ่ายที่ดีโดยมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเพียง 12-13% เท่านั้น ทั้งที่มูลค่าการซื้อขายปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง ซึ่งปกติแล้วเมื่อมูลค่าการซื้อขายที่สูงค่าใช้จ่ายจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม
อย่างไรก็ตาม แม้กำไรสุทธิของโบรกเกอร์ปีนี้จะปรับสูงสุดในรอบ 6 ปี แต่หากพิจารณาจากมูลค่าการซื้อขายปีที่ผ่านปรับตัวเพิ่มขึ้น 60% รายได้ของโบรกเกอร์ก็ควรที่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ 60% แต่รายได้ปี 2553 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 30% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการคิดค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (คอมมิชชันแบบขั้นบันได) เพื่อเตรียมที่จะเปิดเสรีแบบเต็มรูปแบบในปี 2555
“แม้กำไรปี 53 ของโบรกเกอร์จะออกมาสูงสุดในรอบ 6 ปี แต่ยังไม่ทำลายสถิติสูงสุดในปี 2003 ที่มีกำไรสุทธิ กว่า 9 พันล้านบาท เกือบ 1 หมื่นล้านบาท แต่จากการที่ปีที่ผ่านมานั้นมีการคิดค่าคอมมิชชันนั้น ส่งผลกระทบต่อรายได้ของโบรกเกอร์ให้ลดลง เพราะหากพิจารณาจากมูลค่าการซื้อขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 60% นั้น รายได้ของโบรกเกอร์ควรที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 60% เช่นกัน แต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 30%”
ส่วนแนวโน้มกำไรสุทธิรวมของโบรกเกอร์ปี 2554 คาดว่า จะต่ำกว่าปีก่อนเนื่องจากกำไรจากพอร์ตการลงทุนคงจะไม่สูงเหมือนกับปีที่ผ่านมาจากการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงและมีความผันผวนสูง และโบรกเกอร์จะต้องมีการลงทุนในเรื่องระบบการซื้อขายจากที่ตลาดหลักทรัพย์ฯมีการเปลี่ยนระบบไอทีใหม่ และปีนี้โบรกเกอร์จะมีการทำการตลาดและจัดโปรโมชั่นให้กับลูกค้ามากขึ้นเพื่อเป็นสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและรักษาฐานลูกค้าไว้
อย่างไรก็ตาม จากการที่ตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนนั้น จะทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในตลาดอนุพันธ์มากขึ้นเพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยงจึงทำให้รายได้อนุพันธ์ปีนี้ของโบรกเกอร์จะออกมาดี โดยส่วนตัวคาดว่ามูลค่าการซื้อขายปีนี้จะใกล้เคียงกับปีก่อน หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ 30,000 ล้านบาทต่อวันจากปีก่อนที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 28,668 ล้านบาท
นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน)หรือ ASP กล่าวว่า กำไรของโบรกเกอร์ปี 54 คาดว่าจะต่ำกว่าปีก่อนเนื่องจาก คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 20% ไม่สูงเท่ากับปี2553 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 40% ทำให้กำไรพอร์ตลงทุนของโบรกเกอร์จะปรับตัวลดลง 50% จากปีก่อน และคาดว่าเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศคงไหลเข้ามาลงทุนน้อยกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้มูลค่าการซื้อขายปีนี้จะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นหลักทรัพย์ ควรพิจารณาโบรกเกอร์ที่มีการกระจายฐานรายได้ จากที่อนาคตจะมีการเปิดเสรีค่าคอมมิชชัน แต่จากการที่มูลค่าการซื้อขายที่จะปรับตัวลดลงปีนี้ นักลงทุนควรพิจารณาลงทุนเป็นรายบริษัท โดยหากพิจารณาจากมูลค่าแล้วหุ้นที่น่าสนใจเข้าไปลงทุนคือ บล.บัวหลวงจากที่ราคาหุ้นยังต่ำอยู่ และบริษัทมีความโดดเด่นทางด้านการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และ บล.ภัทร
สำหรับปี 2553 กำไรรวมสุทธิของบล.อยู่ที่ 3,221 ล้านบาท (เฉพาะ บล.ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์) เพิ่มขึ้น 80% จากปี 2552 ที่มีกำไรสุทธิ 1,793 ล้านบาท ซึ่งถือว่าปีที่ผ่านมากำไรของบล.ออกมาดีมากๆ แต่ส่วนใหญ่เกิดจากการที่โบรกเกอร์มีกำไรพอร์ตลงทุนจำนวนมาก และจากการที่มูลค่าการซื้อขายที่ปรับตัวสูงขึ้น 60% จากปี 2552
นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า กำไรรวมของบริษัทหลักทรัพย์ฯในปี 2553 คาดว่า จะอยู่ที่ประมาณ 7,900 ล้านบาท จาก บล.45 แห่ง ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 6 ปี หรือ เพิ่มขึ้น 74% จากปี 2552 ที่มีกำไรสุทธิรวม 4,542 ล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บล.มีกำไรสุทธิรวมแล้ว 5,404 ล้านบาท และคาดว่า กำไรสุทธิรวมในช่วงไตรมาส 4/จะอยู่ที่ 2,500 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากไตรมาส 3/53 ที่มีกำไรสุทธิ 3,101 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงไตรมาส4โดยเฉพาะเดือนธันวาคมที่มูลค่าการซื้อขายลดลง
สำหรับสาเหตุที่กำไรสุทธิปีที่ผ่านมาของโบรกเกอร์ปรับตัวเพิ่มขึ้น มาจากพอร์ตการลงทุนที่มีกำไรสูงถึง 2,093 ล้านบาท (งวด 9 เดือน 53) หรือ ประมาณ 38% ของกำไรสุทธิรวมงวด 9 เดือน จากการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงถึง 40.60% จึงทำให้มีโอกาสในการทำกำไรพอร์ตที่ดี และจากการที่โบรกเกอร์มีการคุมค่าใช้จ่ายที่ดีโดยมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเพียง 12-13% เท่านั้น ทั้งที่มูลค่าการซื้อขายปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง ซึ่งปกติแล้วเมื่อมูลค่าการซื้อขายที่สูงค่าใช้จ่ายจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม
อย่างไรก็ตาม แม้กำไรสุทธิของโบรกเกอร์ปีนี้จะปรับสูงสุดในรอบ 6 ปี แต่หากพิจารณาจากมูลค่าการซื้อขายปีที่ผ่านปรับตัวเพิ่มขึ้น 60% รายได้ของโบรกเกอร์ก็ควรที่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ 60% แต่รายได้ปี 2553 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 30% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการคิดค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (คอมมิชชันแบบขั้นบันได) เพื่อเตรียมที่จะเปิดเสรีแบบเต็มรูปแบบในปี 2555
“แม้กำไรปี 53 ของโบรกเกอร์จะออกมาสูงสุดในรอบ 6 ปี แต่ยังไม่ทำลายสถิติสูงสุดในปี 2003 ที่มีกำไรสุทธิ กว่า 9 พันล้านบาท เกือบ 1 หมื่นล้านบาท แต่จากการที่ปีที่ผ่านมานั้นมีการคิดค่าคอมมิชชันนั้น ส่งผลกระทบต่อรายได้ของโบรกเกอร์ให้ลดลง เพราะหากพิจารณาจากมูลค่าการซื้อขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 60% นั้น รายได้ของโบรกเกอร์ควรที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 60% เช่นกัน แต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 30%”
ส่วนแนวโน้มกำไรสุทธิรวมของโบรกเกอร์ปี 2554 คาดว่า จะต่ำกว่าปีก่อนเนื่องจากกำไรจากพอร์ตการลงทุนคงจะไม่สูงเหมือนกับปีที่ผ่านมาจากการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงและมีความผันผวนสูง และโบรกเกอร์จะต้องมีการลงทุนในเรื่องระบบการซื้อขายจากที่ตลาดหลักทรัพย์ฯมีการเปลี่ยนระบบไอทีใหม่ และปีนี้โบรกเกอร์จะมีการทำการตลาดและจัดโปรโมชั่นให้กับลูกค้ามากขึ้นเพื่อเป็นสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและรักษาฐานลูกค้าไว้
อย่างไรก็ตาม จากการที่ตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนนั้น จะทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในตลาดอนุพันธ์มากขึ้นเพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยงจึงทำให้รายได้อนุพันธ์ปีนี้ของโบรกเกอร์จะออกมาดี โดยส่วนตัวคาดว่ามูลค่าการซื้อขายปีนี้จะใกล้เคียงกับปีก่อน หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ 30,000 ล้านบาทต่อวันจากปีก่อนที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 28,668 ล้านบาท
นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน)หรือ ASP กล่าวว่า กำไรของโบรกเกอร์ปี 54 คาดว่าจะต่ำกว่าปีก่อนเนื่องจาก คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 20% ไม่สูงเท่ากับปี2553 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 40% ทำให้กำไรพอร์ตลงทุนของโบรกเกอร์จะปรับตัวลดลง 50% จากปีก่อน และคาดว่าเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศคงไหลเข้ามาลงทุนน้อยกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้มูลค่าการซื้อขายปีนี้จะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นหลักทรัพย์ ควรพิจารณาโบรกเกอร์ที่มีการกระจายฐานรายได้ จากที่อนาคตจะมีการเปิดเสรีค่าคอมมิชชัน แต่จากการที่มูลค่าการซื้อขายที่จะปรับตัวลดลงปีนี้ นักลงทุนควรพิจารณาลงทุนเป็นรายบริษัท โดยหากพิจารณาจากมูลค่าแล้วหุ้นที่น่าสนใจเข้าไปลงทุนคือ บล.บัวหลวงจากที่ราคาหุ้นยังต่ำอยู่ และบริษัทมีความโดดเด่นทางด้านการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และ บล.ภัทร
สำหรับปี 2553 กำไรรวมสุทธิของบล.อยู่ที่ 3,221 ล้านบาท (เฉพาะ บล.ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์) เพิ่มขึ้น 80% จากปี 2552 ที่มีกำไรสุทธิ 1,793 ล้านบาท ซึ่งถือว่าปีที่ผ่านมากำไรของบล.ออกมาดีมากๆ แต่ส่วนใหญ่เกิดจากการที่โบรกเกอร์มีกำไรพอร์ตลงทุนจำนวนมาก และจากการที่มูลค่าการซื้อขายที่ปรับตัวสูงขึ้น 60% จากปี 2552