ASTVผู้จัดการรายวัน-ผู้ผลิตลุ้น “พาณิชย์” ไฟเขียวปรับขึ้นราคาปุ๋ยเคมี หลังเตรียมเรียกประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาราคากลางก.พ.นี้ คาดได้ขึ้นไม่เกิน 10-20% ชี้หากไม่ให้ขึ้น ผู้ผลิตจะเลิกนำเข้า ทำปุ๋ยขาดแคลน เกษตรกรเดือดร้อนแน่ เผยจากนี้ไปจะมีใช้อีกแค่ 3 เดือน
รายงานข่าวจากวงการผู้ผลิตปุ๋ยเคมี แจ้งว่า กลางเดือนก.พ.นี้ กระทรวงพาณิชย์จะเรียกประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาราคาแนะนำปุ๋ย เพื่อพิจารณาการปรับขึ้นราคาปุ๋ยเคมี ตามที่ผู้ประกอบการยื่นหนังสือขอปรับราคาเข้ามา โดยมีแนวโน้มว่ากระทรวงพาณิชย์อาจยอมให้ผู้ผลิตปุ๋ยปรับขึ้นราคาไม่เกิน 10-20% เท่านั้น จากที่ผู้ผลิตยื่นหนังสือขอปรับราคาปุ๋ยเคมีสูงถึง 50-70% และให้ปรับเฉพาะปุ๋ยยูเรีย 4 สูตร ได้แก่ สูตร 46-0-0 สูตร 15-15-15 สูตร 16-20-0 สูตร 21-0-0 ซึ่งมีสัดส่วนการใช้ประมาณ 70% ของสูตรปุ๋ยทั้งหมด เพื่อไม่ให้การขึ้นราคากระทบกับเกษตรกรมากเกินไป
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการเห็นว่าการอนุมัติให้ปรับขึ้นราคาแม้จะบางส่วน แต่จะช่วยบรรเทาภาวะขาดทุนของผู้ประกอบการได้ เพราะขณะนี้แม่ปุ๋ยยูเรียที่นำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมดมีราคาเพิ่มสูงขึ้นมากตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ส่งผลให้สต๊อกปุ๋ยในประเทศเริ่มขาดแคลน โดยผู้นำเข้าบางรายเริ่มไม่นำปุ๋ยยูเรียมาผลิต เพราะที่ผ่านมาภาครัฐไม่มีความชัดเจนในเรื่องการอนุมัติปรับขึ้นราคา หากเป็นเช่นนั้นต่อไปอาจทำให้ปุ๋ยเคมีในประเทศขาดแคลน จนกระทบกับเกษตรกรได้ โดยเฉพาะฤดูกาลการปลูกข้าวนาปรัง 2554 ที่จะเริ่มในเร็วๆ นี้
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ได้มีการประเมินสถานการณ์สต๊อกปุ๋ยเคมีในขณะนี้พบว่ามีประมาณ 1 ล้านตัน ซึ่งเพียงพอต่อการเพาะปลูกของเกษตรกรได้ 3 เดือน หรือจนถึงเดือนเม.ย. แต่หลังจากนั้น หากกระทรวงพาณิชย์ยังควบคุมราคา ไม่ยอมให้เอกชนปรับขึ้นตามที่มีการร้องขอ อาจทำให้เอกชนไม่ยอมนำเข้าปุ๋ยเคมีเข้ามาผลิตอีก
และทำให้เกษตรกรเดือดร้อน โดยข้อมูลที่ได้รับพบว่าปุ๋ยนำเข้าจากประเทศซาอุดีอาระเบียสูงขึ้น 16.59% จีน 15.92% และรัสเซีย 12.82%
แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า หากมีการปรับราคาขึ้นราคาปุ๋ยเคมี กระทรวงพาณิชย์เตรียมจัดทำโครงการปุ๋ยธงฟ้า เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ที่ประสบปัญหาปุ๋ยเคมีขาดแคลน หรือหาซื้อปุ๋ยไม่ได้ เพราะขณะนี้ราคาปุ๋ยเคมีเริ่มปรับตัวสูง มีราคาจำหน่ายเกินราคาควบคุมที่กำหนด จนมีการจับกุมและสั่งปรับตามกฏหมายหลายรายแล้ว นอกจากนี้จะรณรงค์ให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยทางเลือก เช่น ปุ๋ยอินทรีย์ ทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีที่มีราคาแพง
รายงานข่าวจากวงการค้าปลีก แจ้งเพิ่มว่า ผู้ผลิตนมสดพาสเจอร์ไรซ์ มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นราคาขายปลีกอีก โดยมีข่าวว่ากำลังจะขอปรับขึ้นราคาเข้าไปยังกระทรวงพาณิชย์ในเร็วๆ นี้ เพราะไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไหว หลังจากที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ปรับราคารับซื้อน้ำนมดิบให้กับกลุ่มเกษตรกรเพิ่มอีก 50 สตางค์ จาก กก.ละ 16.50 บาท เป็น 17 บาทตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ประกอบกับตอนนี้มีกระแสข่าว ครม.เตรียมอนุมัติปรับเพิ่มราคารับซื้อน้ำนมดิบให้กับกลุ่มเกษตรกรเพิ่มอีก 25-50 สตางค์ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ผู้ผลิตจะแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไม่ไหวและจำเป็นต้องขอปรับขึ้นราคาขายปลีก หรือไม่ก็ลดกำลังการผลิตลง
นายฉัตรชัย ชูแก้ว ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ ในฐานะโฆษกกระทรวงพาณิชย์ (ฝ่ายการเมือง) กล่าวว่า นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ มีนโยบายไม่อนุมัติให้สินค้ารายการใดปรับราคาขึ้นราคาในช่วงนี้ จนกว่าจะพ้นมาตรการขอความร่วมมือตรึงราคาสินค้าที่จะสิ้นสุดในเดือนมี.ค. ซึ่งปุ๋ยเคมีก็เป็นหนึ่งในสินค้าที่ตกลงร่วมกันแล้วว่าจะขายราคาเดิมต่อไปจนถึงสิ้นมี.ค.นี้แต่ถ้าผู้ประกอบการเดือดร้อนจริงก็สามารถยื่นเรื่องเข้ามาให้กรมการค้าภายในพิจารณาได้
นอกจากนี้ รมว.พาณิชย์ ยังได้สั่งตรวจสอบสต๊อกสินค้าที่มีปัญหาทั้งหมด ทั้งปุ๋ยเคมี น้ำมันปาล์ม น้ำมันถั่วเหลืองอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทราบถึงข้อมูลกลไก และเส้นทางการจำหน่ายของสินค้าทั้งระบบอย่างชัดเจน ไม่ใช่ให้ตรวจล่วงหน้าเพียง 2-3 วัน หรือ 1 สัปดาห์ เหมือนเมื่อก่อน
รายงานข่าวจากวงการผู้ผลิตปุ๋ยเคมี แจ้งว่า กลางเดือนก.พ.นี้ กระทรวงพาณิชย์จะเรียกประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาราคาแนะนำปุ๋ย เพื่อพิจารณาการปรับขึ้นราคาปุ๋ยเคมี ตามที่ผู้ประกอบการยื่นหนังสือขอปรับราคาเข้ามา โดยมีแนวโน้มว่ากระทรวงพาณิชย์อาจยอมให้ผู้ผลิตปุ๋ยปรับขึ้นราคาไม่เกิน 10-20% เท่านั้น จากที่ผู้ผลิตยื่นหนังสือขอปรับราคาปุ๋ยเคมีสูงถึง 50-70% และให้ปรับเฉพาะปุ๋ยยูเรีย 4 สูตร ได้แก่ สูตร 46-0-0 สูตร 15-15-15 สูตร 16-20-0 สูตร 21-0-0 ซึ่งมีสัดส่วนการใช้ประมาณ 70% ของสูตรปุ๋ยทั้งหมด เพื่อไม่ให้การขึ้นราคากระทบกับเกษตรกรมากเกินไป
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการเห็นว่าการอนุมัติให้ปรับขึ้นราคาแม้จะบางส่วน แต่จะช่วยบรรเทาภาวะขาดทุนของผู้ประกอบการได้ เพราะขณะนี้แม่ปุ๋ยยูเรียที่นำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมดมีราคาเพิ่มสูงขึ้นมากตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ส่งผลให้สต๊อกปุ๋ยในประเทศเริ่มขาดแคลน โดยผู้นำเข้าบางรายเริ่มไม่นำปุ๋ยยูเรียมาผลิต เพราะที่ผ่านมาภาครัฐไม่มีความชัดเจนในเรื่องการอนุมัติปรับขึ้นราคา หากเป็นเช่นนั้นต่อไปอาจทำให้ปุ๋ยเคมีในประเทศขาดแคลน จนกระทบกับเกษตรกรได้ โดยเฉพาะฤดูกาลการปลูกข้าวนาปรัง 2554 ที่จะเริ่มในเร็วๆ นี้
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ได้มีการประเมินสถานการณ์สต๊อกปุ๋ยเคมีในขณะนี้พบว่ามีประมาณ 1 ล้านตัน ซึ่งเพียงพอต่อการเพาะปลูกของเกษตรกรได้ 3 เดือน หรือจนถึงเดือนเม.ย. แต่หลังจากนั้น หากกระทรวงพาณิชย์ยังควบคุมราคา ไม่ยอมให้เอกชนปรับขึ้นตามที่มีการร้องขอ อาจทำให้เอกชนไม่ยอมนำเข้าปุ๋ยเคมีเข้ามาผลิตอีก
และทำให้เกษตรกรเดือดร้อน โดยข้อมูลที่ได้รับพบว่าปุ๋ยนำเข้าจากประเทศซาอุดีอาระเบียสูงขึ้น 16.59% จีน 15.92% และรัสเซีย 12.82%
แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า หากมีการปรับราคาขึ้นราคาปุ๋ยเคมี กระทรวงพาณิชย์เตรียมจัดทำโครงการปุ๋ยธงฟ้า เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ที่ประสบปัญหาปุ๋ยเคมีขาดแคลน หรือหาซื้อปุ๋ยไม่ได้ เพราะขณะนี้ราคาปุ๋ยเคมีเริ่มปรับตัวสูง มีราคาจำหน่ายเกินราคาควบคุมที่กำหนด จนมีการจับกุมและสั่งปรับตามกฏหมายหลายรายแล้ว นอกจากนี้จะรณรงค์ให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยทางเลือก เช่น ปุ๋ยอินทรีย์ ทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีที่มีราคาแพง
รายงานข่าวจากวงการค้าปลีก แจ้งเพิ่มว่า ผู้ผลิตนมสดพาสเจอร์ไรซ์ มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นราคาขายปลีกอีก โดยมีข่าวว่ากำลังจะขอปรับขึ้นราคาเข้าไปยังกระทรวงพาณิชย์ในเร็วๆ นี้ เพราะไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไหว หลังจากที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ปรับราคารับซื้อน้ำนมดิบให้กับกลุ่มเกษตรกรเพิ่มอีก 50 สตางค์ จาก กก.ละ 16.50 บาท เป็น 17 บาทตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ประกอบกับตอนนี้มีกระแสข่าว ครม.เตรียมอนุมัติปรับเพิ่มราคารับซื้อน้ำนมดิบให้กับกลุ่มเกษตรกรเพิ่มอีก 25-50 สตางค์ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ผู้ผลิตจะแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไม่ไหวและจำเป็นต้องขอปรับขึ้นราคาขายปลีก หรือไม่ก็ลดกำลังการผลิตลง
นายฉัตรชัย ชูแก้ว ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ ในฐานะโฆษกกระทรวงพาณิชย์ (ฝ่ายการเมือง) กล่าวว่า นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ มีนโยบายไม่อนุมัติให้สินค้ารายการใดปรับราคาขึ้นราคาในช่วงนี้ จนกว่าจะพ้นมาตรการขอความร่วมมือตรึงราคาสินค้าที่จะสิ้นสุดในเดือนมี.ค. ซึ่งปุ๋ยเคมีก็เป็นหนึ่งในสินค้าที่ตกลงร่วมกันแล้วว่าจะขายราคาเดิมต่อไปจนถึงสิ้นมี.ค.นี้แต่ถ้าผู้ประกอบการเดือดร้อนจริงก็สามารถยื่นเรื่องเข้ามาให้กรมการค้าภายในพิจารณาได้
นอกจากนี้ รมว.พาณิชย์ ยังได้สั่งตรวจสอบสต๊อกสินค้าที่มีปัญหาทั้งหมด ทั้งปุ๋ยเคมี น้ำมันปาล์ม น้ำมันถั่วเหลืองอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทราบถึงข้อมูลกลไก และเส้นทางการจำหน่ายของสินค้าทั้งระบบอย่างชัดเจน ไม่ใช่ให้ตรวจล่วงหน้าเพียง 2-3 วัน หรือ 1 สัปดาห์ เหมือนเมื่อก่อน
