ASTVผู้จัดการรายวัน - พันธมิตรฯ ประกาศดีเดย์ไล่ "มาร์ค" 11 ก.พ. ถ้าดื้อ! จะมีจุดจบเดียวกับ นช.ทักษิณ ด้าน “มาร์ค” ปากดีอีก ถ้าได้ประโยชน์จากเขมร จะไม่อยู่เมืองไทย ทั้งๆ ที่ช่วงเช้าถูกไล่กลางงานที่กรมทหารราบที่ 11 ชายสูงวัยสวมเสื้อสีชมพู ตะโกนลั่น “อภิสิทธิ์ออกไปได้แล้ว” เจ้าตัวหน้าถอดสี
การชุมนุมของพันธพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” เป็นวันที่ 13 โดยช่วงเช้าวันที่ 6 ก.พ. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงถึงการลงฉันทามติของประชาชนเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา ว่า เมื่อนายอภสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลทำให้เกิดความเสียหายแก่แผ่นดิน จนไม่สามารถรอต่อไปได้อีกแล้ว ประชาชนจำนวนมากจึงมีการเสนอความเห็นอย่างเป็นเอกฉันท์ให้นายกฯอภิสิทธิ์และคณะรัฐมนตรีลาออก โดยพันธมิตรฯมีการปรึกษาหารือเพิ่มเติมโดยกำหนดว่าในวันศุกร์ที่ 11 ก.พ.นี้จะเคลื่อนขบวนไปเรียกร้องให้มีการปกป้องแผ่นดิน แต่ยังไม่ขอระบุสถานที่ โดยจะเริ่มตั้งขบวนในเวลา 09.00 น.จากบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ และจะประกาศจุดหมายในวันนั้น พร้อมกันนี้จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน ซึ่งจะประกาศรายชื่อในช่วงค่ำวันนี้ (6 ก.พ.) เพื่อให้การปกป้องแผ่นดินของเรามีผลเต็มที่มากขึ้น
ช่วงค่ำพล.ต.จำลอง กล่าวว่า ได้ทาบทามไว้แล้ว 12 คน และจะมีเพิ่มอีกเล็กน้อย เป็นคณะกรรมการเฉพาะกิจ มีบทบาทในการกำหนดนโยบาย และเสนอแนะยุทธวิธีในการปกป้องแผ่นดิน ซึ่งประกอบด้วย อดีตข้าราชการ นักวิชาการ นักเคลื่อนไหวภาคประชาชน
เมื่อถามว่ากำหนดการเคลื่อนขบวนในวันที่ 11 ก.พ.นี้เป็นการขีดเส้นตายให้กับรัฐบาลหรือไม่ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ไม่ใช่เป็นการขีดเส้นตาย หากเป็นรัฐบาลประเทศอื่น เมื่อมีกรณีเช่นนนี้ลาออกไปนานแล้ว โดยเฉพาะกรณี 7 คนไทยถูกจับและขึ้นศาลกัมพูชา ดังนั้นเมื่อไม่แสดงความรับผิดชอบประชาชนจึงออกมาเรียกร้อง อย่างไรก็ตามหากนากยฯอภิสิทธิ์ไม่ลาออกตามที่ได้เรียกร้อง เราก็จะมีมาตรการการยกระดับอย่างต่อเนื่อง แล้วแต่ความเหมาะสมของสถานการณ์
เมื่อถามต่อว่าสถานที่ที่จะไปคือรัฐสภาหรือไม่ เพราะในวันที่ 11 ก.พ.จะมีการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3 พล.ต.จำลอง กล่าวว่า อย่าเพิ่งพูดกันไป เพราะพวกเรายังไม่บอกว่าไปไหน แต่มีสถานที่อยู่แล้วในใจ ถึงเวลาแล้วไปแน่ๆ
**อาจเคลื่อนไปทั้งใกล้และไกล
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวเสริมว่า ในวันที่ 11 ก.พ.เป็นการกำหนดกิจกรรม ที่จะมีการเคลื่อนขบวนไปที่อื่น ส่วนกิจกรรมอื่นๆจะทราบในวันนั้น รวมทั้งสถานที่ที่จะไปนั้นอาจจะเป็นที่ที่ใกล้ที่สุด หรือที่ที่ไกลที่สุดก็เป็นได้
ส่วนกรณีเหตุการณ์การปะทะที่ชายแดน จ.ศรีสะเกษ นั้น นายปานเทพ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเนื่องมาจาก MOU 2543 ที่ทำให้กัมพูชาเหิมเกริมมาตั้งฐานทัพในไทย ทำให้ประชาชนไทยต้องเดือดร้อนจนถึงทุกวันนี้
**ถ้าดื้อจะมีจุดจบเดียวกับทักษิณ
นายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน กล่าวถึงการชี้แจงของนายกฯอภิสิทธิ์ในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ ว่า พันธมิตรฯไม่แปลกใจเช่นกันที่นายกฯอภิสิทธิ์ยังมีท่าทีที่ไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ทั้งยังมีการแถลงให้ประชาชนเข้าใจผิดต่อการชุมนุมของพันธมิตรฯกล่าวหาว่าพันธมิตรฯไม่ยอมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และข้อมูลหลักฐานที่เรานำมาแสดงก็คาดเคลื่อนไม่ตรงความเป็นจริง ตนจึงอยากถามว่าข้อมูลส่วนไหนของพันธมิตรที่ไม่เป็นความจริง อยากให้นายกฯอภิสิทธิ์ออกมาหักล้าง นอกจากนั้นยังบอกด้วยว่าตัวเองไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆกับกัมพูชา แต่นายกฯอภิสิทธิ์ยืนอยู่บนผลประโยชน์ของคนที่ไปหากินกับกัมพูชา ทั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รมว.กลาโหม และนักการเมืองในพรรคประชาธิปัตย์ทั้งหลายที่ทั้งโกงทุจริต หากินกับกัมพูชา นำมาเงินมาซื้อเสียงให้นายอภิสิทธิ์ได้นั่งเป็นายกรัฐมนตรี เช่นนี้คือผลประโยชน์ทาการเมือง ทั้งหลายทั้งปวงเป็นการพูดเท็จ กล่าวหาใส่ร้ายพันธมิตรฯว่านำเรื่องอธิปไตยของชาติมาเล่นการเมือง ทั้งๆที่การที่เราออกมาชุมนุมนั้นก็เพื่อผลประโยชน์ของชาติ
ข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรฯเป็นไปตามกระบวนการประชาธิปไตย ไม่ใช่การเปิดทางให้เกิดการรัฐประหารแต่อย่างใด เพราะภาคประชาชนจะเรียกร้องได้สูงสุดเท่านี้ ไม่สามารถจะเรียกร้องให้ปฎิวัติ รัฐประหารได้ แต่หลังจากนี้หากนายอภิสิทธิ์ ยังดื้อด้านอยู่ในตำแหน่งอีก แล้วปรากฎว่ามีทหารส่วนหนึ่งที่รักชาติ เเละอธิปไตยเกิดไม่พอใจนักการเมืองที่สมคบคิดกับต่างชาติขายอธิปไตย เป็นกบฎของแผ่นดิน เกิดปฎิบัติการบางอย่างแล้วนายอภิสิทธิ์ ต้องมีจุดจบแบบเดียวกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกรัฐประหาร
**มาร์ค:ได้ประโยชน์เขมรไม่อยู่เมืองไทย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ ว่า รู้สึกเสียใจกับความสูญเสียทโดยเฉพาะในส่วนของราษฎรไทย และทหารของไทย
ขณะเดียวกันก็จะได้มีการยืนยันข้อเท็จจริงทั้งหมดให้เห็นว่าประเทศไทยนั้นไม่ได้เป็นฝ่ายที่ไปรุกรานใครแต่ว่ารักษาสิทธิ์ของตนเองในการปกป้องอธิปไตย
ก่อนหน้านี้มีบางฝ่ายไปพูดว่า รัฐบาลได้มีการไปดำเนินการถอนกำลังออกจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เสมือนกับว่าจะปล่อยให้ทางกัมพูชาหรือใครก็ตามนี้รุกล้ำเข้ามาในดินแดนของไทย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและผลที่ออกมา ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าไม่มีกรณีใดที่รัฐบาลจะปล่อยให้เรื่องของการสูญเสียอธิปไตย สูญเสียดินแดน หรือการรุกล้ำนั้นเกิดขึ้นได้จริง
ส่วนการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯที่ยกระดับขับไล่รัฐบาลชุดปัจจุบัน “ผมอยากจะบอกว่า ขอให้พวกเราฟังข้อมูลให้ครบถ้วนทุกด้าน ขอให้พวกเราได้ตั้งสติว่าเราจะปกป้องอธิปไตยของเราอย่างไร ถ้าหากแม้นว่าผมมีผลประโยชน์แม้แต่นิดเดียว ในการที่จะไปแลกกับอธิปไตยของประเทศไทย ผมควรจะถูกไม่ใช่ไล่ออกจากรัฐบาลละครับ ออกจากประเทศไทยด้วยซ้ำ ผมเคยยืนยันอันนี้ ผมไม่ทำแน่นอน แล้วก็ยังไม่มีหลักฐานหรือข้อมูลอะไรเลยนะครับที่มีการนำเสนอแล้วมาบอกว่าผมไปทำเช่นนั้นอยู่”นายอภิสิทธิ์กล่าว
**ยันไม่ต้องพึ่งอาเซียนไกล่เกลี่ย
นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียนต้องการให้อาเซียนเข้ามาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชาว่า ขณะนี้กลไกการพูดคุยระดับทวิภาคียังเดินได้ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็น
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในระดับผู้นำของไทย-กัมพูชา จะมีการหารือกันในเร็ววันนี้หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในชั้นนี้รมว.การต่างประเทศของทั้งสองประเทศได้พูดคุยกันแล้ว คงใช้กลไกในกรอบเจบีซีเดินหน้าแก้ปัญหา เมื่อถามว่าทางยูเนสโก้เสนอให้ผู้นำระดับสูงสุดพูดคุยกันเองจะเป็นไปได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงจะดูสถานการณ์ คิดว่าขณะนี้เริ่มคลี่คลาย ปัญหาการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกนั้นกำลังเป็นปัญหาที่นำไปสู่ความขัดแย้ง ดังนั้นไทยจึงต้องเดินหน้าคัดค้าน โดยมีการทำหนังสือชี้แจงไปแล้ว
เมื่อถามว่า การที่ไทยค้านการขึ้นทะเบียนมรดกโลกจะเป็นจุดอ่อนไหวต่อเนื่องไปหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า คิดว่าตรงนี้ไทยได้บอกชัดเจนว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้ ที่จะดำเนินการตามกฎระเบียบของมรดกโลกแล้วไม่มีปัญหา ถ้าเป็นการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารโดยบอกว่าเป็นเรื่องของกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียว ดังนั้นจึงคิดว่านับวันทางคณะกรรมการมรดกโลกและยูเนสโก น่าจะมองเห็นชัดเจนขึ้นแล้วว่าไม่ควรมาเพิ่มความตรงเครียดในจุดนี้
เมื่อถามว่า นายกฯบอกว่ามีความจริงใจที่จะคุยกับพันธมิตรฯ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็เขาไม่ยอมคุย และเห็นได้ชัดว่าบรรดาผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการหลายท่านที่ให้ข้อมูล ก็ยินดีที่จะคุย และผมก็เชิญมาคุย ก็จะพยายามคุยต่อ
**มาร์ค” เจอไล่พ้นนายกฯ ที่ราบ 11
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 05.50 น. ระหว่างนายอภิสิทธิ์ มาเปิดงานและร่วมเดิน-วิ่ง การกุศลดอนบอสโกมินิมาราธอน ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ได้มีชายสูงวัยสวมเสื้อสีชมพู ที่มาร่วมกิจกรรม ในครั้งนี้ด้วยนั้น ตะโกนขับไล่นายกรัฐมนตรีว่า “อภิสิทธิ์ออกไปได้แล้ว” ทำให้ผู้จัดงานต้องมาเชิญตัวออกไป โดยนายอภสิทธิ์มีสีหน้าตกใจเล็กน้อย ขณะที่ทีมอารักขาของนายกฯ ได้ใช้กล้องถ่ายรูปบันทึกภาพชายคนดังกล่าวด้วย
**ก.ม.ม.ประกาศหนุนแนวทาง พธม.
ที่พรรคการเมืองใหม่ นายสำราญ รอดเพชร รองหัวหน้าและโฆษกพรรคการเมืองใหม่ แถลงข่าวสนับสนุนการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดินของกลุ่มพันธมิตรฯโดยกล่าวว่า ที่ผ่านมาอาจมีกรรมการบริหารพรรคบางคนไปร่วมปราศรัยในการชุมนุมบ้าง แต่ ขอยืนยันว่าเป็นเรื่องส่วนตัว
ในส่วนการยกระดับข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯที่ให้นายกฯอภิสิทธิ์และคณะรัฐมนตรีลาออกทั้งคณะนั้น ถือว่าเป็นพัฒนาการของสถานการณ์อันเนื่องจากรัฐบาลไม่ได้ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของประชาชน และเป็นผลพวงจากความล้มเหลวในการจัดการปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา โดยไม่ให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสำคัญของชาติ เพราะเท่าที่ทราบยังยืนยันได้ว่าการขับไล่รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้เป็นธงที่พันธมิตรฯวางเอาไว้แต่ประการใด จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลปล่อยให้เวลาเนิ่นนาน
**นิสัย! ย้อนใครมาทำงานแทน
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงมั่นใจว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ต้องการให้โอกาสรัฐบาลเดินหน้าเพื่อแก้ไขปัญหา ขอเรียกร้องให้กลุ่มผู้ชุมนุมอย่างเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อซ้ำเติมความสูญเสียที่เกิดขึ้น
“ผมอยากถามว่าบุคคลที่เหมาะสมหมายถึงใคร และจะเข้ามาด้วยวิธีใด ซึ่งพันธมิตรต้องตอบคำถามนี้ ผมเชื่อว่าด้วยว่าการกระทำของรัฐบาลและทหารต่อกรณีชายแดน คนไทยไม่ได้มองว่าเป็นการกระทำที่อ่อนแอหรือขี้ขลาด และที่สำคัญหากมีการตอบโต้อีก ไทยเราก็มีความพร้อมที่จะตอบโต้อย่างสมควรแก่เหตุ” โฆษกปชป. กล่าว
** เผาไทยจวกพังตั้งแต่ใช้งาน“กษิต”
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ปัญหาเกิดเพราะนายอภิสิทธิ์มีการกระทำที่ลอยตัวหนีปัญหา และโยนปัญหาให้กับทางกระทรวงการต่างประเทศแต่ฝ่ายเดียว และสิ่งที่ผิดมาตั้งแต่ต้นก็คือ การตั้งนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มาดูแลความสัมพันธระหว่างประเทศ นายกษิตทำงานไม่เป็นที่ยอมรับของประเทศเพื่อนบ้าน อีกทั้งนายอภิสิทธิ์ยังเลือกใช้คนไม่ถูกกับงาน และยังมีความพยายามที่จะอุ้มนายกษิตอยู่ตลอดเวลา
**ฮินดูร้องUNเข้ามาดูพิพาทพระวิหาร
วันเดียวกันมีแถลงการณ์ของนายราจาน เซ็ด (Rajan Zed) ประธานแห่งสมาคมชาวฮินดูในสหรัฐฯ ระบุว่า ในฐานะที่ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก จึงเป็นหน้าที่ของโลก ที่จะปกป้องให้คงอยู่ต่อไป และไม่เป็นอันตรายสำหรับคนรุ่นหลัง อีกทั้ง ปราสาทแห่งพระศิวะ ที่ถือเป็นที่บูชาแก่ชาวฮินดูทั่วโลก และรายงานความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการปะทะกันระหว่างกองกำลังทหารไทยกับกัมพูชา อาจจะส่งผลประทบต่อผู้ที่ให้การเลื่อมใส
นอกจากนี้ เซ็ด ยังชี้ให้เห็นว่า การปะทะกันบ่อยครั้ง ระหว่างไทยและกัมพูชา อันเนื่องมาจาก ความบาดหมางกันอย่างต่อเนื่อง อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัววัดที่กำลังเปราะบางมากขึ้นอีก ซึ่งการเข้ามามีส่วนร่วมของสหประชาชาติ (UN) จะช่วยให้การปกป้อง, การพัฒนา และการบำรุงรักษาในพื้นที่ เป็นไปได้ง่ายขึ้น รวมถึง การจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น เพื่อผู้เคารพเลื่อมใสและนักท่องเที่ยว ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจมีการพัฒนามากขึ้น รวมทั้ง ก่อให้เกิดการลงทุนในภูมิภาค
ในแถลงการณ์ ยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า โลกก็ไม่อาจยอมให้สถานที่ศักดิสิทธิ์ของสาวกแห่งพระศิวะ เกิดความเสียหายมากขึ้นอีก อันเนื่องมาจาก การแก้ไขปัญหาที่ยังไร้ความชัดเจน เพื่อระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานได้
**"กรณ์" กลัวปัญหาลามถึงเผาสถานฑูต
นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวว่า ปัญหาชายแดนไทย - กัมพูชากระทบต่อการค้าตามแนวชายแดน และไทยเป็นผู้เกินดุลการค้า มาโดยตลอดทำให้กระทบต่อพ่อค้าแม่ค้า ตามชายแดน และกระทบต่อสินค้าอุตสาหกรรม ที่ส่งออกไปยังกัมพูชา แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ และอนาคตไทย-กัมพูชา ต้องร่วมกันก้าวเข้าสู่ การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จึงต้องเจรจาหาทางออกร่วมกัน ไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นอีก
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนกับเหตุการณ์เผาสถานทูตไทยในกัมพูชา เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองของ นายกรัฐมนตรีฮุนเซน จึงขอให้ฝ่ายไทย อย่านำปัญหาดังกล่าวมาเป็นประเด็นทางการเมืองและขอให้ทำความเข้าใจกับประชาชนให้มากขึ้น”
**ตร.เล็ง พรบ.มั่นคงคุม พธม.
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ได้วางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจตามปกติและเพิ่มกำลังในบางส่วนไม่ให้มีการบุกรุก ปิดล้อมสถานที่ราชการ ตำรวจจะไม่ยินยอมให้มีการปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล และสภาเราคงใช้แผนกรกฎ52 เหมือนเดิม แต่จะเปลี่ยนจากเดิมใช้ตำรวจแถวหน้านำคนออกจากพื้นที่มาใช้ตำรวจแถวหลังเอาคนออกมาแทนโดยการเปิดช่องเข้าไปจับกุมและนำตัวออกมา ส่วนการใช้แก๊สน้ำตา หรือน้ำฉีดนั้นอยู่ในขั้นตอนการควบคุมฝูงชนอยู่แล้ว
ส่วนการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงนั้น เป็นการใช้กฎหมายเพื่อเพิ่มความเข้มข้นในการดูแลกลุ่มผู้ชุมนุม ตอนนี้เราใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงบทที่ 1 เป็นการเฝ้าระวังทั่วไปแต่หากบานปลายก็สามารถนำเสนอให้ใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงบทที่ 2 ประกาศพื้นที่เป็นเขตหวงห้าม
ด้าน พล.ต.ต.วรเทพ เมธาวัฒน์ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ได้ทำการฝึกซ้อม “กองร้อยควบคุมฝูงชนต้นแบบ”มีหน่วยคอมมานโดกองปราบปรามจำนวน 1 กองร้อย เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำหน้าที่ควบคุมฝูงชน 200 นาย.
การชุมนุมของพันธพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” เป็นวันที่ 13 โดยช่วงเช้าวันที่ 6 ก.พ. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงถึงการลงฉันทามติของประชาชนเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา ว่า เมื่อนายอภสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลทำให้เกิดความเสียหายแก่แผ่นดิน จนไม่สามารถรอต่อไปได้อีกแล้ว ประชาชนจำนวนมากจึงมีการเสนอความเห็นอย่างเป็นเอกฉันท์ให้นายกฯอภิสิทธิ์และคณะรัฐมนตรีลาออก โดยพันธมิตรฯมีการปรึกษาหารือเพิ่มเติมโดยกำหนดว่าในวันศุกร์ที่ 11 ก.พ.นี้จะเคลื่อนขบวนไปเรียกร้องให้มีการปกป้องแผ่นดิน แต่ยังไม่ขอระบุสถานที่ โดยจะเริ่มตั้งขบวนในเวลา 09.00 น.จากบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ และจะประกาศจุดหมายในวันนั้น พร้อมกันนี้จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน ซึ่งจะประกาศรายชื่อในช่วงค่ำวันนี้ (6 ก.พ.) เพื่อให้การปกป้องแผ่นดินของเรามีผลเต็มที่มากขึ้น
ช่วงค่ำพล.ต.จำลอง กล่าวว่า ได้ทาบทามไว้แล้ว 12 คน และจะมีเพิ่มอีกเล็กน้อย เป็นคณะกรรมการเฉพาะกิจ มีบทบาทในการกำหนดนโยบาย และเสนอแนะยุทธวิธีในการปกป้องแผ่นดิน ซึ่งประกอบด้วย อดีตข้าราชการ นักวิชาการ นักเคลื่อนไหวภาคประชาชน
เมื่อถามว่ากำหนดการเคลื่อนขบวนในวันที่ 11 ก.พ.นี้เป็นการขีดเส้นตายให้กับรัฐบาลหรือไม่ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ไม่ใช่เป็นการขีดเส้นตาย หากเป็นรัฐบาลประเทศอื่น เมื่อมีกรณีเช่นนนี้ลาออกไปนานแล้ว โดยเฉพาะกรณี 7 คนไทยถูกจับและขึ้นศาลกัมพูชา ดังนั้นเมื่อไม่แสดงความรับผิดชอบประชาชนจึงออกมาเรียกร้อง อย่างไรก็ตามหากนากยฯอภิสิทธิ์ไม่ลาออกตามที่ได้เรียกร้อง เราก็จะมีมาตรการการยกระดับอย่างต่อเนื่อง แล้วแต่ความเหมาะสมของสถานการณ์
เมื่อถามต่อว่าสถานที่ที่จะไปคือรัฐสภาหรือไม่ เพราะในวันที่ 11 ก.พ.จะมีการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3 พล.ต.จำลอง กล่าวว่า อย่าเพิ่งพูดกันไป เพราะพวกเรายังไม่บอกว่าไปไหน แต่มีสถานที่อยู่แล้วในใจ ถึงเวลาแล้วไปแน่ๆ
**อาจเคลื่อนไปทั้งใกล้และไกล
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวเสริมว่า ในวันที่ 11 ก.พ.เป็นการกำหนดกิจกรรม ที่จะมีการเคลื่อนขบวนไปที่อื่น ส่วนกิจกรรมอื่นๆจะทราบในวันนั้น รวมทั้งสถานที่ที่จะไปนั้นอาจจะเป็นที่ที่ใกล้ที่สุด หรือที่ที่ไกลที่สุดก็เป็นได้
ส่วนกรณีเหตุการณ์การปะทะที่ชายแดน จ.ศรีสะเกษ นั้น นายปานเทพ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเนื่องมาจาก MOU 2543 ที่ทำให้กัมพูชาเหิมเกริมมาตั้งฐานทัพในไทย ทำให้ประชาชนไทยต้องเดือดร้อนจนถึงทุกวันนี้
**ถ้าดื้อจะมีจุดจบเดียวกับทักษิณ
นายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน กล่าวถึงการชี้แจงของนายกฯอภิสิทธิ์ในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ ว่า พันธมิตรฯไม่แปลกใจเช่นกันที่นายกฯอภิสิทธิ์ยังมีท่าทีที่ไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ทั้งยังมีการแถลงให้ประชาชนเข้าใจผิดต่อการชุมนุมของพันธมิตรฯกล่าวหาว่าพันธมิตรฯไม่ยอมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และข้อมูลหลักฐานที่เรานำมาแสดงก็คาดเคลื่อนไม่ตรงความเป็นจริง ตนจึงอยากถามว่าข้อมูลส่วนไหนของพันธมิตรที่ไม่เป็นความจริง อยากให้นายกฯอภิสิทธิ์ออกมาหักล้าง นอกจากนั้นยังบอกด้วยว่าตัวเองไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆกับกัมพูชา แต่นายกฯอภิสิทธิ์ยืนอยู่บนผลประโยชน์ของคนที่ไปหากินกับกัมพูชา ทั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รมว.กลาโหม และนักการเมืองในพรรคประชาธิปัตย์ทั้งหลายที่ทั้งโกงทุจริต หากินกับกัมพูชา นำมาเงินมาซื้อเสียงให้นายอภิสิทธิ์ได้นั่งเป็นายกรัฐมนตรี เช่นนี้คือผลประโยชน์ทาการเมือง ทั้งหลายทั้งปวงเป็นการพูดเท็จ กล่าวหาใส่ร้ายพันธมิตรฯว่านำเรื่องอธิปไตยของชาติมาเล่นการเมือง ทั้งๆที่การที่เราออกมาชุมนุมนั้นก็เพื่อผลประโยชน์ของชาติ
ข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรฯเป็นไปตามกระบวนการประชาธิปไตย ไม่ใช่การเปิดทางให้เกิดการรัฐประหารแต่อย่างใด เพราะภาคประชาชนจะเรียกร้องได้สูงสุดเท่านี้ ไม่สามารถจะเรียกร้องให้ปฎิวัติ รัฐประหารได้ แต่หลังจากนี้หากนายอภิสิทธิ์ ยังดื้อด้านอยู่ในตำแหน่งอีก แล้วปรากฎว่ามีทหารส่วนหนึ่งที่รักชาติ เเละอธิปไตยเกิดไม่พอใจนักการเมืองที่สมคบคิดกับต่างชาติขายอธิปไตย เป็นกบฎของแผ่นดิน เกิดปฎิบัติการบางอย่างแล้วนายอภิสิทธิ์ ต้องมีจุดจบแบบเดียวกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกรัฐประหาร
**มาร์ค:ได้ประโยชน์เขมรไม่อยู่เมืองไทย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ ว่า รู้สึกเสียใจกับความสูญเสียทโดยเฉพาะในส่วนของราษฎรไทย และทหารของไทย
ขณะเดียวกันก็จะได้มีการยืนยันข้อเท็จจริงทั้งหมดให้เห็นว่าประเทศไทยนั้นไม่ได้เป็นฝ่ายที่ไปรุกรานใครแต่ว่ารักษาสิทธิ์ของตนเองในการปกป้องอธิปไตย
ก่อนหน้านี้มีบางฝ่ายไปพูดว่า รัฐบาลได้มีการไปดำเนินการถอนกำลังออกจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เสมือนกับว่าจะปล่อยให้ทางกัมพูชาหรือใครก็ตามนี้รุกล้ำเข้ามาในดินแดนของไทย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและผลที่ออกมา ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าไม่มีกรณีใดที่รัฐบาลจะปล่อยให้เรื่องของการสูญเสียอธิปไตย สูญเสียดินแดน หรือการรุกล้ำนั้นเกิดขึ้นได้จริง
ส่วนการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯที่ยกระดับขับไล่รัฐบาลชุดปัจจุบัน “ผมอยากจะบอกว่า ขอให้พวกเราฟังข้อมูลให้ครบถ้วนทุกด้าน ขอให้พวกเราได้ตั้งสติว่าเราจะปกป้องอธิปไตยของเราอย่างไร ถ้าหากแม้นว่าผมมีผลประโยชน์แม้แต่นิดเดียว ในการที่จะไปแลกกับอธิปไตยของประเทศไทย ผมควรจะถูกไม่ใช่ไล่ออกจากรัฐบาลละครับ ออกจากประเทศไทยด้วยซ้ำ ผมเคยยืนยันอันนี้ ผมไม่ทำแน่นอน แล้วก็ยังไม่มีหลักฐานหรือข้อมูลอะไรเลยนะครับที่มีการนำเสนอแล้วมาบอกว่าผมไปทำเช่นนั้นอยู่”นายอภิสิทธิ์กล่าว
**ยันไม่ต้องพึ่งอาเซียนไกล่เกลี่ย
นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียนต้องการให้อาเซียนเข้ามาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชาว่า ขณะนี้กลไกการพูดคุยระดับทวิภาคียังเดินได้ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็น
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในระดับผู้นำของไทย-กัมพูชา จะมีการหารือกันในเร็ววันนี้หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในชั้นนี้รมว.การต่างประเทศของทั้งสองประเทศได้พูดคุยกันแล้ว คงใช้กลไกในกรอบเจบีซีเดินหน้าแก้ปัญหา เมื่อถามว่าทางยูเนสโก้เสนอให้ผู้นำระดับสูงสุดพูดคุยกันเองจะเป็นไปได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงจะดูสถานการณ์ คิดว่าขณะนี้เริ่มคลี่คลาย ปัญหาการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกนั้นกำลังเป็นปัญหาที่นำไปสู่ความขัดแย้ง ดังนั้นไทยจึงต้องเดินหน้าคัดค้าน โดยมีการทำหนังสือชี้แจงไปแล้ว
เมื่อถามว่า การที่ไทยค้านการขึ้นทะเบียนมรดกโลกจะเป็นจุดอ่อนไหวต่อเนื่องไปหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า คิดว่าตรงนี้ไทยได้บอกชัดเจนว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้ ที่จะดำเนินการตามกฎระเบียบของมรดกโลกแล้วไม่มีปัญหา ถ้าเป็นการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารโดยบอกว่าเป็นเรื่องของกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียว ดังนั้นจึงคิดว่านับวันทางคณะกรรมการมรดกโลกและยูเนสโก น่าจะมองเห็นชัดเจนขึ้นแล้วว่าไม่ควรมาเพิ่มความตรงเครียดในจุดนี้
เมื่อถามว่า นายกฯบอกว่ามีความจริงใจที่จะคุยกับพันธมิตรฯ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็เขาไม่ยอมคุย และเห็นได้ชัดว่าบรรดาผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการหลายท่านที่ให้ข้อมูล ก็ยินดีที่จะคุย และผมก็เชิญมาคุย ก็จะพยายามคุยต่อ
**มาร์ค” เจอไล่พ้นนายกฯ ที่ราบ 11
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 05.50 น. ระหว่างนายอภิสิทธิ์ มาเปิดงานและร่วมเดิน-วิ่ง การกุศลดอนบอสโกมินิมาราธอน ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ได้มีชายสูงวัยสวมเสื้อสีชมพู ที่มาร่วมกิจกรรม ในครั้งนี้ด้วยนั้น ตะโกนขับไล่นายกรัฐมนตรีว่า “อภิสิทธิ์ออกไปได้แล้ว” ทำให้ผู้จัดงานต้องมาเชิญตัวออกไป โดยนายอภสิทธิ์มีสีหน้าตกใจเล็กน้อย ขณะที่ทีมอารักขาของนายกฯ ได้ใช้กล้องถ่ายรูปบันทึกภาพชายคนดังกล่าวด้วย
**ก.ม.ม.ประกาศหนุนแนวทาง พธม.
ที่พรรคการเมืองใหม่ นายสำราญ รอดเพชร รองหัวหน้าและโฆษกพรรคการเมืองใหม่ แถลงข่าวสนับสนุนการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดินของกลุ่มพันธมิตรฯโดยกล่าวว่า ที่ผ่านมาอาจมีกรรมการบริหารพรรคบางคนไปร่วมปราศรัยในการชุมนุมบ้าง แต่ ขอยืนยันว่าเป็นเรื่องส่วนตัว
ในส่วนการยกระดับข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯที่ให้นายกฯอภิสิทธิ์และคณะรัฐมนตรีลาออกทั้งคณะนั้น ถือว่าเป็นพัฒนาการของสถานการณ์อันเนื่องจากรัฐบาลไม่ได้ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของประชาชน และเป็นผลพวงจากความล้มเหลวในการจัดการปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา โดยไม่ให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสำคัญของชาติ เพราะเท่าที่ทราบยังยืนยันได้ว่าการขับไล่รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้เป็นธงที่พันธมิตรฯวางเอาไว้แต่ประการใด จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลปล่อยให้เวลาเนิ่นนาน
**นิสัย! ย้อนใครมาทำงานแทน
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงมั่นใจว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ต้องการให้โอกาสรัฐบาลเดินหน้าเพื่อแก้ไขปัญหา ขอเรียกร้องให้กลุ่มผู้ชุมนุมอย่างเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อซ้ำเติมความสูญเสียที่เกิดขึ้น
“ผมอยากถามว่าบุคคลที่เหมาะสมหมายถึงใคร และจะเข้ามาด้วยวิธีใด ซึ่งพันธมิตรต้องตอบคำถามนี้ ผมเชื่อว่าด้วยว่าการกระทำของรัฐบาลและทหารต่อกรณีชายแดน คนไทยไม่ได้มองว่าเป็นการกระทำที่อ่อนแอหรือขี้ขลาด และที่สำคัญหากมีการตอบโต้อีก ไทยเราก็มีความพร้อมที่จะตอบโต้อย่างสมควรแก่เหตุ” โฆษกปชป. กล่าว
** เผาไทยจวกพังตั้งแต่ใช้งาน“กษิต”
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ปัญหาเกิดเพราะนายอภิสิทธิ์มีการกระทำที่ลอยตัวหนีปัญหา และโยนปัญหาให้กับทางกระทรวงการต่างประเทศแต่ฝ่ายเดียว และสิ่งที่ผิดมาตั้งแต่ต้นก็คือ การตั้งนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มาดูแลความสัมพันธระหว่างประเทศ นายกษิตทำงานไม่เป็นที่ยอมรับของประเทศเพื่อนบ้าน อีกทั้งนายอภิสิทธิ์ยังเลือกใช้คนไม่ถูกกับงาน และยังมีความพยายามที่จะอุ้มนายกษิตอยู่ตลอดเวลา
**ฮินดูร้องUNเข้ามาดูพิพาทพระวิหาร
วันเดียวกันมีแถลงการณ์ของนายราจาน เซ็ด (Rajan Zed) ประธานแห่งสมาคมชาวฮินดูในสหรัฐฯ ระบุว่า ในฐานะที่ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก จึงเป็นหน้าที่ของโลก ที่จะปกป้องให้คงอยู่ต่อไป และไม่เป็นอันตรายสำหรับคนรุ่นหลัง อีกทั้ง ปราสาทแห่งพระศิวะ ที่ถือเป็นที่บูชาแก่ชาวฮินดูทั่วโลก และรายงานความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการปะทะกันระหว่างกองกำลังทหารไทยกับกัมพูชา อาจจะส่งผลประทบต่อผู้ที่ให้การเลื่อมใส
นอกจากนี้ เซ็ด ยังชี้ให้เห็นว่า การปะทะกันบ่อยครั้ง ระหว่างไทยและกัมพูชา อันเนื่องมาจาก ความบาดหมางกันอย่างต่อเนื่อง อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัววัดที่กำลังเปราะบางมากขึ้นอีก ซึ่งการเข้ามามีส่วนร่วมของสหประชาชาติ (UN) จะช่วยให้การปกป้อง, การพัฒนา และการบำรุงรักษาในพื้นที่ เป็นไปได้ง่ายขึ้น รวมถึง การจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น เพื่อผู้เคารพเลื่อมใสและนักท่องเที่ยว ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจมีการพัฒนามากขึ้น รวมทั้ง ก่อให้เกิดการลงทุนในภูมิภาค
ในแถลงการณ์ ยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า โลกก็ไม่อาจยอมให้สถานที่ศักดิสิทธิ์ของสาวกแห่งพระศิวะ เกิดความเสียหายมากขึ้นอีก อันเนื่องมาจาก การแก้ไขปัญหาที่ยังไร้ความชัดเจน เพื่อระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานได้
**"กรณ์" กลัวปัญหาลามถึงเผาสถานฑูต
นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวว่า ปัญหาชายแดนไทย - กัมพูชากระทบต่อการค้าตามแนวชายแดน และไทยเป็นผู้เกินดุลการค้า มาโดยตลอดทำให้กระทบต่อพ่อค้าแม่ค้า ตามชายแดน และกระทบต่อสินค้าอุตสาหกรรม ที่ส่งออกไปยังกัมพูชา แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ และอนาคตไทย-กัมพูชา ต้องร่วมกันก้าวเข้าสู่ การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จึงต้องเจรจาหาทางออกร่วมกัน ไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นอีก
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนกับเหตุการณ์เผาสถานทูตไทยในกัมพูชา เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองของ นายกรัฐมนตรีฮุนเซน จึงขอให้ฝ่ายไทย อย่านำปัญหาดังกล่าวมาเป็นประเด็นทางการเมืองและขอให้ทำความเข้าใจกับประชาชนให้มากขึ้น”
**ตร.เล็ง พรบ.มั่นคงคุม พธม.
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ได้วางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจตามปกติและเพิ่มกำลังในบางส่วนไม่ให้มีการบุกรุก ปิดล้อมสถานที่ราชการ ตำรวจจะไม่ยินยอมให้มีการปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล และสภาเราคงใช้แผนกรกฎ52 เหมือนเดิม แต่จะเปลี่ยนจากเดิมใช้ตำรวจแถวหน้านำคนออกจากพื้นที่มาใช้ตำรวจแถวหลังเอาคนออกมาแทนโดยการเปิดช่องเข้าไปจับกุมและนำตัวออกมา ส่วนการใช้แก๊สน้ำตา หรือน้ำฉีดนั้นอยู่ในขั้นตอนการควบคุมฝูงชนอยู่แล้ว
ส่วนการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงนั้น เป็นการใช้กฎหมายเพื่อเพิ่มความเข้มข้นในการดูแลกลุ่มผู้ชุมนุม ตอนนี้เราใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงบทที่ 1 เป็นการเฝ้าระวังทั่วไปแต่หากบานปลายก็สามารถนำเสนอให้ใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงบทที่ 2 ประกาศพื้นที่เป็นเขตหวงห้าม
ด้าน พล.ต.ต.วรเทพ เมธาวัฒน์ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ได้ทำการฝึกซ้อม “กองร้อยควบคุมฝูงชนต้นแบบ”มีหน่วยคอมมานโดกองปราบปรามจำนวน 1 กองร้อย เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำหน้าที่ควบคุมฝูงชน 200 นาย.