เมื่อเวลา 08.15 น. วานนี้ ที่ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมทางไกลผ่านระบบ VDO Conference ร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และประชาชนในพื้นที่ จ.สุรินทร์ อุบลราชธานี และหนองคาย เพื่อติดตามการปฏิบัติงานของหน่วยราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่านโยบายของรัฐบาลที่เกี่ยวกับโครงการส่งเสริมการปลูกยางพารา โดยเริ่มตั้งแต่ตนได้เข้ามาบริหารประเทศ ราคายางพารา จะอยู่ประมาณ 30-40 บาท แต่ขณะนี้ราคายางพาราดีมาก มีการปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 3-4 เท่า จึงทำให้ประชาชนจำนวนมากมีความสนใจในการที่จะปลูกยางพารา
เรื่องนี้คณะรัฐมนตรีได้มีแนวทางที่ชัดเจนในการที่จะส่งเสริมการปลูกยางพาราในพื้นที่ใหม่ ระยะที่ 3 ปี 2554-2556 จำนวน 800,000 ไร่ ซึ่ง 500,000 ไร่ จะอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งนี้ในเรื่องของการปลูกยางพารานั้น รัฐบาลจะมีการให้การสนับสนุนในเรื่องของปัจจัยการผลิต ใน 3 ปีแรก เป็นเงิน 3,529 บาท ต่อไร่ แบ่งจ่ายเป็นงวดๆ ตามหลักเกณฑ์ โดยผู้ที่เข้าร่วมโครงการต้องมีคุณสมบัติที่เหมาะสม เช่น ต้องมีที่ดิน และเอกสารสิทธิเป็นของตนเอง โดยมีที่ดินของตนเองไม่น้อยกว่า 2 ไร่ และไม่เคยมีส่วนยางมาก่อน โดยจะให้ สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางหรือ สกย. ไปทำความเข้าใจกับประชาชน และรัฐบาลพร้อมเดินหน้าในการกระตุ้นให้นักลงทุนที่สนใจเข้ามาลงทุน ในเรื่องของการแปรรูปยางพารา และพยายามกระตุ้นให้นักลงทุนมีการเพิ่มมูลค่ามากขึ้นด้วย
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า การจัดลำดับความสำคัญ ในแต่ละพื้น ต้องมีการดำเนินการให้เกิดความโปร่งใสและต้องมีความชัดเจนในการกำหนดหลักเกณฑ์ เพื่อให้ประชาชนและเกษตรกรซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนมากนั้นไม่เกิดความรู้สึกว่าถูกเลือกปฏิบัติ และเพื่อให้เกิดความมั่นใจกับเกษตรกร
ส่วนเรื่องจำนวนประชาชนที่ต้องการเข้าร่วมโครงการฯ นั้นก็เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ไว้ตั้งแต่ต้น ซึ่งตรงนี้ในอนาคตระดับนโยบายคงจะต้องไปพิจารณาว่าจะสามารถขยายได้อีกหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญขอเน้นย้ำเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์ในการที่จะเข้าร่วมโครงการฯ ต้องดำเนินการอย่างชัดเจนโปร่งใส่ เป็นธรรม โดยรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการลงทุนจากประเทศจีน นอกจากนี้ยังได้มีโครงการรถไฟความเร็วสูงเพื่อความสะดวกในการคมนาคมขนส่ง
สำหรับโครงการจ่ายเงินค่าชดเชยจากปัญหาการสร้างฝายราศีไศล ในพื้นที่ จ.สุรินทร์ ร้อยเอ็ด และศรีสะเกษนั้น คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติจ่ายเงินให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบความเดือดร้อนไปแล้ว 4 ครั้ง ในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จ.สุรินทร์ จ.ศรีสะเกษ และร้อยเอ็ด เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 881,425,464 บาท
อย่างไรก็ตาม ได้รับทราบว่ายังมีปัญหาซึ่งยังไม่ได้ข้อยุติอยู่หลายส่วน จากปัญหาที่รับทราบในเรื่องที่ประชาชนร้องเรียนเรื่องรังวัด นานอกอ่าง การที่ต้องการจะได้รับการช่วยเหลือในเรื่องการฟื้นฟู และการบริหารจัดการน้ำ ทั้งภัยแล้งและน้ำท่วม จึงมีคณะกรรมการที่ขับเคลื่อนในเรื่องนี้ โดยตนได้มอบหมายให้ นางอัญชลี เทพบุตร เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ไปประสานงานเพื่อเร่งรัดเพื่อให้การแก้ไข ทั้งนี้ระหว่างที่ผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังแสดงความคิดเห็น นายอภิสิทธิ์ได้กล่าวถึงปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นด้วย
“อย่างไรก็ตาม จากที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการติดตามพบว่า เริ่มมีปัญหาการทุจริตที่เกิดขึ้นในรูปแบบที่ไม่แจ้งข้อมูลตามความเป็นจริง ดังนั้นจึงอยากจะขอความร่วมมือจากประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการให้ข้อมูลที่เป็นจริงด้วย ทั้งนี้เพื่อให้การโครงการนี้สามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพเป็นประโยชน์แก่ประชาชนและประเทศอย่างแท้จริง อยากฝากหน่วยงานราชการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนว่า โครงการนี้เป็นโครงการที่รัฐบาลต้องการช่วยเหลือประชาชนเกษตรอย่างถูกต้อง ตรงไปตรงมา โปร่งใสเป็นธรรมช่วยกันรักษาและทำเรื่องเหล่านี้ให้ถูกต้องเราก็จะได้สามารถเดินหน้าในการทำโครงการที่เป็นโยชน์กับประชาชนได้ต่อไป" นายกรัฐมนตรี กล่าว
เรื่องนี้คณะรัฐมนตรีได้มีแนวทางที่ชัดเจนในการที่จะส่งเสริมการปลูกยางพาราในพื้นที่ใหม่ ระยะที่ 3 ปี 2554-2556 จำนวน 800,000 ไร่ ซึ่ง 500,000 ไร่ จะอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งนี้ในเรื่องของการปลูกยางพารานั้น รัฐบาลจะมีการให้การสนับสนุนในเรื่องของปัจจัยการผลิต ใน 3 ปีแรก เป็นเงิน 3,529 บาท ต่อไร่ แบ่งจ่ายเป็นงวดๆ ตามหลักเกณฑ์ โดยผู้ที่เข้าร่วมโครงการต้องมีคุณสมบัติที่เหมาะสม เช่น ต้องมีที่ดิน และเอกสารสิทธิเป็นของตนเอง โดยมีที่ดินของตนเองไม่น้อยกว่า 2 ไร่ และไม่เคยมีส่วนยางมาก่อน โดยจะให้ สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางหรือ สกย. ไปทำความเข้าใจกับประชาชน และรัฐบาลพร้อมเดินหน้าในการกระตุ้นให้นักลงทุนที่สนใจเข้ามาลงทุน ในเรื่องของการแปรรูปยางพารา และพยายามกระตุ้นให้นักลงทุนมีการเพิ่มมูลค่ามากขึ้นด้วย
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า การจัดลำดับความสำคัญ ในแต่ละพื้น ต้องมีการดำเนินการให้เกิดความโปร่งใสและต้องมีความชัดเจนในการกำหนดหลักเกณฑ์ เพื่อให้ประชาชนและเกษตรกรซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนมากนั้นไม่เกิดความรู้สึกว่าถูกเลือกปฏิบัติ และเพื่อให้เกิดความมั่นใจกับเกษตรกร
ส่วนเรื่องจำนวนประชาชนที่ต้องการเข้าร่วมโครงการฯ นั้นก็เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ไว้ตั้งแต่ต้น ซึ่งตรงนี้ในอนาคตระดับนโยบายคงจะต้องไปพิจารณาว่าจะสามารถขยายได้อีกหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญขอเน้นย้ำเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์ในการที่จะเข้าร่วมโครงการฯ ต้องดำเนินการอย่างชัดเจนโปร่งใส่ เป็นธรรม โดยรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการลงทุนจากประเทศจีน นอกจากนี้ยังได้มีโครงการรถไฟความเร็วสูงเพื่อความสะดวกในการคมนาคมขนส่ง
สำหรับโครงการจ่ายเงินค่าชดเชยจากปัญหาการสร้างฝายราศีไศล ในพื้นที่ จ.สุรินทร์ ร้อยเอ็ด และศรีสะเกษนั้น คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติจ่ายเงินให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบความเดือดร้อนไปแล้ว 4 ครั้ง ในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จ.สุรินทร์ จ.ศรีสะเกษ และร้อยเอ็ด เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 881,425,464 บาท
อย่างไรก็ตาม ได้รับทราบว่ายังมีปัญหาซึ่งยังไม่ได้ข้อยุติอยู่หลายส่วน จากปัญหาที่รับทราบในเรื่องที่ประชาชนร้องเรียนเรื่องรังวัด นานอกอ่าง การที่ต้องการจะได้รับการช่วยเหลือในเรื่องการฟื้นฟู และการบริหารจัดการน้ำ ทั้งภัยแล้งและน้ำท่วม จึงมีคณะกรรมการที่ขับเคลื่อนในเรื่องนี้ โดยตนได้มอบหมายให้ นางอัญชลี เทพบุตร เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ไปประสานงานเพื่อเร่งรัดเพื่อให้การแก้ไข ทั้งนี้ระหว่างที่ผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังแสดงความคิดเห็น นายอภิสิทธิ์ได้กล่าวถึงปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นด้วย
“อย่างไรก็ตาม จากที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการติดตามพบว่า เริ่มมีปัญหาการทุจริตที่เกิดขึ้นในรูปแบบที่ไม่แจ้งข้อมูลตามความเป็นจริง ดังนั้นจึงอยากจะขอความร่วมมือจากประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการให้ข้อมูลที่เป็นจริงด้วย ทั้งนี้เพื่อให้การโครงการนี้สามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพเป็นประโยชน์แก่ประชาชนและประเทศอย่างแท้จริง อยากฝากหน่วยงานราชการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนว่า โครงการนี้เป็นโครงการที่รัฐบาลต้องการช่วยเหลือประชาชนเกษตรอย่างถูกต้อง ตรงไปตรงมา โปร่งใสเป็นธรรมช่วยกันรักษาและทำเรื่องเหล่านี้ให้ถูกต้องเราก็จะได้สามารถเดินหน้าในการทำโครงการที่เป็นโยชน์กับประชาชนได้ต่อไป" นายกรัฐมนตรี กล่าว