“เด็ดดอกไม้รายทาง”
โดย...อัญชะลื ไพรีรัก
ข่าวคราวเรื่อง การปฏิวัติ มีมาให้ได้ยินอยู่เรื่อยๆ เหมือนๆ กับสายลมหนาวที่เคยหายไปแล้วกลับมาเยือนใหม่ในปีที่ไทยและโลกต้องเผชิญหน้ากับปัญหา “Climate Change” โดยมีหนังตัวอย่างฉายให้เห็นจาก “ปฏิวัติดอกมะลิ” ที่ประเทศตูนีเซีย , กรุงไคโร เดือด , โดมิโนที่เยเมน และ การตัดไฟแต่ต้นลมที่จอร์แดน เป็นต้น
กลิ่นปฏิวัติ- รัฐประหารโชยหึ่ง หลังจาก ตู่ -จตุพร ปากดีปล่อยข่าวการพบกันระหว่างนายพล ป. ปลา และ นายพล ด. เด็ก ว่า เป็นแกนนำเชื่ยมโยงไปถึงบ้านสี่เสา ว่า มีการประชุมกันขึ้นเพื่อก่อการปฏิวัติรับประหาร โดยให้รายละเอียดเพ้อเจ้อว่า คนกลุ่มนี้มีการเปลี่ยนเซฟ เฮาส์ ไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ รร.เจ้าพระยา ไปที่ค่ายทหารเพชรบูรณ์ และ เซฟ เฮ้าส์ ของนายพลตกกระป๋องแถบลาดพร้าว …พูดจาระรานปากเปราะเหมือนผายลมมารดาเจ้า
เข้าใจว่า ตู่ จตุพร คงถูกใช้ให้มาปาหินถามทางให้ที จึงจำขี้ปากเขามา เพราะถ้าของจริงต้องที่โน่น “ตึกยาว”...อย่าลืมว่าที่ที่อันตรายที่สุด โจ่งแจ้งที่สุด คือ ที่ที่ปลอดภัยที่สุด แถมคุยกันครั้งเดียวได้ร้อยนกงานสายตึกยาวติดมือมาช่วยเป็นพวง
ทำไมเกิดกระแสปฏิวัติไม่หยุดหย่อน...เรื่องของเรื่องก็เนื่องจากทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันแล้วว่า รัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ภายใต้การกุมบังเหียนของแก๊ง 4 คน คือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ - นายเนวิน ชิดชอบ - นายนิพนธ์ พร้อมพันธ์ และ นายอนุทิน ชาญวีระกุล ทำท่าจะไปไม่รอด แถมมีกลิ่นไม่สู้จะดีเรื่องทุจริตคอรัปชั่นสูงพอๆ กับยุคทักษิณจนพ่อค้าโอดครวญเข้าหู้ป๋า
ประเด็นหลักๆ คือ เรื่องคุมม็อบไม่ได้ และล่าสุด คือ ศึกศักดิ์ศรี และ ดินแดนพิพาทกับเขมร จนเกิดความแตกแยกของประชาชนในแผ่นดินที่ตั้งหน้าตั้งตาจะห้ำหั่นกันให้ตายไปข้างหนึ่ง สถานการณ์ใกล้เคียงกับ ผู้สนับสนุนฮอสนี มูบารัค แห่งอียิปต์ก่อศึกตีกันกับผู้ต่อต้าน เป็นสงครามกลางเมืองที่หดหู่ - ไม่มีใครอยากให้เกิด
มองเลยไปทางพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง นายบรรหาร-นายสุวัจน์-กลุ่ม 3 พี - เพื่อไทย และ ภูมิใจไทย แกนนำการเมืองรูปแบบเก่ากลับนั่งนิ่งเฉยทองไม่รู้ร้อนกับวิกฤตของประเทศไทย ขณะที่คนการเมืองเหล่านั้นทำไม่รู้ไม่ชี้เอางบไปลงบ้านเกิดตัวเองเพื่อหว่านคะแนนใจล่วงหน้าบ้าระห่ำ เหมือนโมลเดลสุพรรณบุรี ของบรรหาร
ที่เด็ดสุดเห็นจะเป็นความใหญ่โตคับฟ้าของเนวิน ชิดชอบ เห็นว่าจะปั้นบุรีรัมย์ให้เฉิดโฉมแบบเดียวกับบรรหารทำกับสุพรรณบุรี ตอนนี้ อ บ จ .ของกรุณา ชิดชอบสร้างสนามฟุตบอล บุรีรัมย์ พีอีเอ บนที่ดินเขากระโดง โกยงบจากทุกหน่วยงานมาสนับสนุนมากที่สุด ส่วนผู้ว่ฯ เด็กนายยี้ ก็ร่ำๆจะสร้างศาลากลางจังหวัดหลังใหม่นับหมื่นล้านในพื้นที่ใกล้เคียงกัน เอากะเขาสิใหญ่ไม่ใหญ่คิดดู ตอนนี้ไม่ต้องหมุนอนุเสาวรีย์ให้เมื่อยเหมือนเก่าแล้วกะจะสร้างใหม่เสียเลยดีกว่า
มิพักต้องพูดถึงนักการเมืองไทยในสภาฯ ที่มีมาตรฐานทางจริยธรรมต่ำกว่ามาตรฐานคนทั่วไป กลับนั่งนิ่งดูดายไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับความทุกข์ยากของประชาชนไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง - เศรษฐกิจ หรือ สังคม พวกนี้รอเวลาเลือกตั้ง รอวันขายตัว รอวันซื้อเสียง รอวันกลับเข้าสู่สภาฯ รอวันได้เต๊ะท่าโก้ถ่ายรูปกับสภาฯใหม่ และ รอวันโกงกินมูมมามอีกรอบหนึ่ง
เมื่อความเดือดร้อนแผ่ซ่านไปทั้งแผ่นดินเยี่ยงนี้ กอรปกับความตกต่ำทางด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และ จริยธรรมอย่างไม่เคยมีมากก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ทำให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองประมวลภาพแล้วพบว่า ถ้าไม่รีบออกไปห้ามทัพและสะสางปัญหาของประเทศไทย อีกไม่นานเกิด “สงครามกลางเมือง”
การถกปัญหาประเทศชาติมีมาอย่างต่อเนื่อง และ ถี่ขึ้นเมื่อพบว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรีไม่สามารถจัดการแก้ไขปัญหาของประเทศได้เลยแม้แต่ประการเดียว โดยฌพาะกำลังมีม็อบหลากสีมาประจัญหน้ากันบนถนน
ฟางเส้นสุดท้ายที่ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองตัดสินใจศึกษาปฏิวัติรูปแบบใหม่ในนามการจัดระเบียบประเทศไทย คือ ปัญหาดินแดนไทย-เขมร ที่มองว่านายอภิสิทธิ์-นายสุเทพ-นายกษิตและพล.อ.ประวิตร อ่อนแอ ไม่เป็นมวยทำให้บรรยากาศตึงเครียดยิ่งขึ้นทั้งกับชนในชาติและประเทศเพื่อนบ้าน
สุดท้ายมาลงตัวกันด้วยเหตุที่ว่า “ยิ่งเลือกตั้งก็ยิ่งโกงและได้นักการเมืองหน้าเดิมกลับมาจนพอจะเดาได้ว่าใครจะเป็น คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดหน้า ลองอีแบบนี้เห็นทีไม่แคล้วคนไทยฆ่ากันแน่ สงสัยต้องทำปฏิวัติ แต่ต้องดีกว่าทุกครั้ง รอบคอบกว่าทุกครั้ง และให้ประโยชน์ตกกับประชาชน”
ก่อนจะพบกับการจัดระเบียบประเทศไทย มาเริ่มต้นด้วยการศึกษา การปฏิวัติดอกมะลิของ ตูนีเซีย ที่เริ่มคุกรุ่นจาก Facebook - Twitter จากคนหนุ่ม คนสาว ที่เอาดอกไม้ประจำชาติมาเป็นสัญลักษณ์สื่อถึงการเปลี่ยนแปลงผู้นำเผด็จการที่ครองอำนาจด้วยการทุจริตคอรัปชั่นมา 32 ปี ดังนั้นคนหนุ่ม สาว และชาวบ้านชักชวนกันออกมาบนถนนขับไล่ผู้นำตัวร้าย เยน อาลี และครอบครัวที่ฟุ้งเฟ้อออกไปซุกกายที่ซาอุดิอาระเบีย โดยคุณเมีย และ ลูกๆขนกระเป๋า 100กว่าใบไปที่ซาอุฯก่อนแล้ว
ทว่า หลังการปฏิวัติดอกมะลิผ่านไปไม่นานมีประโยคเด็ดที่ส่งต่อๆ กันไปในโลกออนไลน์ว่า “มูบารัคเตรียมตัวได้ เครื่องบินรอท่านอยู่”
อีกไม่นานเกิดการจลาจลโค่นล้ม ประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัค วัย 82 ปี ที่ครองอำนาจกว่า 30 ปีเช่นกัน ประชาชนทุกชนชั้นพากันเดินออกจากบ้านไปอยู่กลางถนน แล้วร้องตะโกนขับไล่ผู้นำเผด็จการ เพียงไม่กี่วันหลังเกิดการปราบปรามครั้งที่ 1 และ ปิดระบบการสื่อสารทั้งประเทศ ตำรวจ-ทหารเกิดการลังเลที่จะประหัตประหารประชาชน แต่ฝูงชนผู้บ้าคลั่งกลับเผชิญหน้ากับการต่อสู้ซึ่งกันและกันระหว่าง ผู้ภักดีและผู้ต่อต้าน กรุงไคโรนองด้วยเลือดท่ามกลางขมันควันปืน โดยเมียและครอบครัวของมูบารัคขนกระเป๋า 97 ใบหนีไปซุกกายที่ลอนดอน
กระแสปฏิวัติดอกมะลิ ตูนีเซีย การนองเลือดที่ไคโร ทำเกิดการชุมนุมขับไล่ผู้นำจอมวายร้ายอีก 2 ประเทศ หนึ่งคือเยเมนที่ตะโกนว่า ถ้าตูนีเซียทำได้ เราก็ทำได้ และ ที่จอร์แดนซึ่งกษัตริย์หนุ่มวิสัยทัศน์กว้างไกลรีบตัดไฟเสียแต่ต้นลมด้วยการขอให้อดีตนายกฯมารูฟ บาคิด กลับมารับตำแหน่งอีกครั้งแทนนายซาเมียร์ ริไฟ ที่ถูกต่อต้านจากประชาชนอย่างหนัก โดยสองประเทศนี้ประกาศชัดเจนว่า ใช้ปฏิวัติดอกมะลิ กับ กรุงไคโร เป็นโมเดลการแสดงออกถึงพลังประชาชนในการเปลี่ยนแปลงประเทศของตัวเอง
พลังของมวลมหาประชาชนที่รวมตัวกันออกไปเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศ มีมาหลายหนจากหลายประเทศ ที่โดดเด่นได้แก่ การปฏิวัติคาร์เนชั่น ที่เมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส และ การต่อต้านประธานาธิบดีเฟอร์ดินาน มาร์คอส ของฟิลิปปินส์
การปฏิวัติคาร์เนชั่น เป็นการร่วมือกันระหว่างทหารกับพลเรือน ภายใต้การเดินงานใต้ดินอย่างลับมานานปีจนสำเร็จในนามองค์กร AFM Armed Forces Movement ฝ่ายทหาร โดยมีนายพลหัวก้าวหน้าที่ถูกปลดเพราะดื้อรั้นกับรัฐบาลคือ นายพลอันโตนิโอ สปิโนลาเป็นหัวขบวน และฝ่ายพลเรือนมีนายโอเทลา ซาราอิวา เดอ คาร์วาลโฮ เป็นแกนนำ เขาสองคนจับมือกันรวบรวมพี่น้องประชาชนออกมาปฏิวัติเพื่อโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการของประธานาธิบดี มาร์เซโล แคทาโน โดยวิธีสันติ มีผู้เสียชีวิต 4 คน และนำพาเอาระบอบประชาธิปไตยมาสู่ประเทศหลังตกอยู่ภายใต้การปกครองแบบสังคมนิยมฟาสซิสม์ที่ทุจริตผลประโยชน์ของชาติไปเป็นของชนชั้นนำมาอย่างยาวนาน
หลังทำปฏิวัติยึดอำนาจสำเร็จ ประชาชนพากันโห่ร้องยินดี และ เอาดอกคาร์เนชั่นสีแดงซึ่งเป็นดอกไม้ประจำชาติออกไปมอบให้กับพี่น้องทหารหาญโดยเสียบไว้ที่ปลายปากกระบอกปืนเป็นภาพที่เผยแพร่ไปทั่วโลก
ส่วนที่ประเทศฟิลิปปินส์ หลังจากที่ ดร.โฮเซ ริซัล ต้องสังเวยชีวิตไปให้กับการกดขี่รีดนาทาเร้นของระบบอาณานิคม เขาได้จุดประกายการต่อสู้เพื่อมาตุภูมิให้กับคนรุ่นหลัง
แต่จนแล้วจนรอดการเมืองในฟิลิปปินส์หลังได้รับเอกราชจากเสปนก็ไม่ได้ดีอย่างที่ประชาชนคาดหวัง เมื่อผู้นำคนต่อมาหากไม่อ่อนแอก็ละโมบ และมาชัดเจนในยุคของประธานิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ที่สร้างอาณาจักรให้ตนเองและครอบครัวจากหยาดเหงื่อพี่น้องประชาชน
จนเมื่อ “นินอย อาควิโน” กลับบ้านหลังต้องลี้ภัยในอเมริกามานานหลายปี และตายกลางสนามบินต่อหน้าต่อตาคนทั่วโลก จุดนี้เองที่เกิดชนวนการโค่นล้มเผด็จการมาร์กอส ซึ่งเขาสั่งให้ปราบปรามประชาชนผู้แข็งข้อ จนในที่สุดการชุมนุมขยายตัวกว้างขวาง มีทั้งพระ ครู สื่อ ทหาร ตำรวจ และ มวลชนทั่วไป ภายใต้การนำของแม่บ้านเสื้อเหลือง มาดามอาควิโน ผู้กำหมัดน้อยๆและ ประกาศก้องว่า ไม่ชนะ ไม่เลิก สุดท้ายเมื่อสถานการร์บีบรัด อเมริกาทิ้งมาร์กอสด้วยวาทะอมตะ “ตัดมันเสียเถอะ ตัดมันให้ขาด”ของวุฒิสมาชิก พอล ราซัลท์ เพื่อนสนิทของเขา
และบรรทัดสุดท้ายของการปฏิวัติด้วยพลังประชาชน...ประชาชนชนะ แต่เมื่อไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฟิลิปปินส์จึงกลับเข้าสู่วังวนเดิมๆ และ กลายเป็นประเทศที่ประชาชนอยากจากจรมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
การประมวลภาพปฏิวัติสำคัญๆ จากทั่วโลกในสัปดาห์นี้ เพื่อจะบอกกับปวงชนชาวไทยให้ตระหนักว่า ถึงเวลาแล้วที่ไทยจะต้องเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงและยกเครื่องใหม่ ในทุกๆด้านก่อนสายเกินแก้ เพราะ การเดินไปสู่การเลือกตั้งใหม่เท่ากับเพืมภาระและอันตรายให้กับประเทศ เพราะปัญหาในบ้านเมืองนับวันทวีความรุนแรงมากขึ้นเหมือนระเบิดรอนับเวลาถอยหลัง
การปฏิวัติมีทั้งดีและไม่ดี เลือกเอาว่าจะเดินบนเส้นทางไหน ขออย่างเดียวให้จัดระเบียบประเทศใหม่ เหมือน New World Order ที่มาจากแนวคิดสุดโต่งของชายนิรนามในนชื่อปลอมว่า R.C Christian ที่จ้างบริษัท Elberton Granite Finishing สร้างสัญลักษณ์ที่เมืองจอร์เจียเมื่อปี 1979 เพื่อเป็นแผ่นหินแห่งพันธะสัญญา 8 ภาษาในการจัดระเบียบโลกอันสุดโต่งเกินรับได้ของเขา
แต่เราควรเริ่มต้นคิดด้วยความดีและเข้มแข็งว่า เราจะร่วมกันจัดระเบียบประเทศไทย และ การเสนอโมเดลการจัดระเบียบด้วยความรัก ซื่อสัตย์ จริงใจ อาจได้รับความเห็นใจ ร่วมมือจากผู้ต่อต้านและประชาชน
ไม่งั้นไล่ทักษิณได้อภิสิทธิ์ ไล่อภิสิทธิ์ได้ทักษิณ วนเวียนกันอยู่อย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น
ถึงเวลาหย่าศึก สะสาง และ จัดระเบียบประเทศไทย ก่อนไทยจะเกิดขบวนการซาปาติสต้า.
ได้ยินว่ามีคนพยายามทำกันอยู่ จะสำเร็จแค่ไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าใครไม่เกี่ยวถอยไป...งานนี้ไม่มีอัศวินม้าขาว มีแต่ผ้าขาว... ส่วนจะเอาห่อศพ หรือ ยกธง ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของคนๆนั้น.