พรรคประชาธิปัตย์ มีกำเนิดขึ้นมาครั้งแรกในเมืองไทย เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2489 โดยมีนายควง อภัยวงศ์ เป็นหัวหน้าพรรค และ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช เป็นรองหัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรคคนแรกคือ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช มีสมาชิกครั้งแรกประมาณ 35 คน แต่ก็ยังมิได้ประกาศให้มีการจัดตั้งพรรคอย่างเป็นทางการ มาได้ฤกษ์ประกาศตั้งพรรคอย่างเป็นทางการ ก็ในวันที่ 5 เมษายน 2489 ซึ่งถือเป็นวันฤกษ์ดีตามที่ พระยาศรีวิสารวาจา ได้หาฤกษ์เตรียมไว้ให้ โดยถือว่า วันเสาร์ที่ 5 เป็นวันแข็งที่สุด โดยจุดมุ่งหมายของการรวมตัวจัดตั้งเป็นพรรคการเมืองก็เพื่อจะเป็นพรรคฝ่ายค้านของรัฐบาลชุดใหม่ของ นายปรีดี พนมยงค์ ผู้นำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินเมื่อ พ.ศ. 2475
จุดกำเนิดของพรรคประชาธิปัตย์ จึงเป็นพรรคการเมืองที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อรับใช้บรรดาขุนนางที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จากวันนั้นมาจนถึงปัจจุบัน ก็เป็นเวลา 65 ปี พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลบ้าง ฝ่ายค้านบ้าง หรือต้องเว้นวรรคทางการเมืองไปชั่วขณะ เมื่อมีคณะรัฐประหารของคณะทหารเข้ายึดอำนาจการปกครอง แต่สิ่งหนึ่งที่พรรคประชาธิปัตย์พยายามแสดงออกและสื่อสารกับประชาชน ก็คือ ขายภาพความเป็นนักอุดมการณ์ประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการไม่โกงไม่กิน เป็นพรรคการเมืองที่มีภาพสะอาด หรือเลวน้อยที่สุด ในบรรดาพรรคการเมืองที่มีอยู่ โดยชูภาพเหล่านี้เป็นจุดขายของพรรคการเมืองตนต่อประชาชน
ขณะเดียวกัน ในบทบาทของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะแสดงบทบาทโดดเด่น ในการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะฝ่ายค้านอย่างโดดเด่น พูดจามีข้อมูลและเหตุผลน่าเชื่อถือ ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของปัญญาชนชนชั้นกลาง และคนรุ่นใหม่ที่สนใจการเมือง นั่นคือ พรรคประชาธิปัตย์ ที่ผมและประชาชนทั่วไปเคยรู้จัก ปัจจุบันพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่มีหัวหน้าพรรค ชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรค มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเลขาธิการพรรค พรรคประชาธิปัตย์ก็เปลี่ยนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ชนิดขาวกับดำ จากเทพไปเป็นมาร อย่างไม่น่าเชื่อ
ความเป็นจริงเรื่องนี้ ผู้ที่เคยศรัทธาสนับสนุน และชื่นชมในอุดมการณ์พรรคประชาธิปัตย์ อาจจะยังงุนงงสงสัย ไม่เชื่อว่าเป็นไปได้ บางท่านอาจจะกล่าวหาผู้เขียนว่ามีอคติต่อพรรคประชาธิปัตย์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็มีไม่น้อย ผู้เขียนอยากจะให้ประชาชนทั้งหลายพินิจพิเคราะห์ความเป็นจริงของพรรคประชาธิปัตย์ในวันนี้ ด้วยเหตุผลปราศจากอคติใดๆ ศึกษาและทำความเข้าใจปัญหานี้จากข้อเท็จจริง แล้วใช้วิจารณญาณด้วยสติปัญญาอันบริสุทธิ์ของตนเป็นที่ตั้ง ยึดถือเอาประโยชน์ชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญ
หากยึดหลักดังกล่าวนี้แล้ว ก็ต้องยอมรับความจริงว่าวันนี้คนและพรรคนี้เปลี่ยนไปจริงๆ สิ่งที่เป็นเครื่องชี้วัดอันสำคัญประการหนึ่ง ก็คือ จากพรรคที่สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วม และเป็นเจ้าของพรรคโดยยึดถืออุดมการณ์พรรคเป็นที่ตั้ง วันนี้พรรคนี้มีนายทุนเจ้าของพรรคคอยกำกับบงการเป็นหลัก สะท้อนออกผ่านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค ได้ใช้ฐานะตำแหน่งของตนสมคบและจับมือกับกลุ่มทุน ให้มามีอิทธิพลและบทบาท เหนืออุดมการณ์และนโยบายพรรค ภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดก็คือ การจับมือทำงานการเมืองร่วมกันระหว่าง สุเทพ - เนวิน และนายวิชัย รักศรีอักษร นักธุรกิจใหญ่ เจ้าของบริษัท คิง เพาเวอร์
ขณะเดียวกัน ปีกฝ่ายนายเนวิน ก็ยังมีนายชวรัตน์ และนายอนุทิน ชาญวีรกูล เจ้าของบริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่ คือ ชิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น บมจ. เป็นพันธมิตรทางการเมืองที่เหนียวแน่น โดยผ่านสายสัมพันธ์ของนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ พี่ภรรยาคนใหม่ของนายสุเทพ จากความสัมพันธ์นี้ เมื่อสามารถยึดกุมอำนาจรัฐได้แล้วก็ต่อท่ออำนาจหาประโยชน์กับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ที่เป็นผู้ให้การสนับสนุนนักการเมืองและพรรคการเมืองมาโดยตลอด อันเป็นที่รู้จักกันดีในวงการการเมืองไทย วันนี้กลุ่มทุนขนาดใหญ่มีสายสัมพันธ์ในประโยชน์ทางการเมืองและธุรกิจผ่านการเชื่อมโยงของพันธมิตรกลุ่มนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค ได้นำเอาระบบธุรกิจการเมืองที่ทักษิณ ชินวัตร เคยใช้ได้ผลในพรรคการเมืองของเขา มาใช้กับพรรคประชาธิปัตย์อย่างเต็มรูปแบบ
ประการต่อมา พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นกับทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทหารเผด็จการ หรือทหารพาณิชย์ ที่ใช้ฐานะตำแหน่งทางทหารไปแสวงหาอำนาจทางการเมือง และประโยชน์ในทางธุรกิจ ในอดีตนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ จะรังเกียจและต่อต้านคัดค้าน การเข้าเล่นการเมืองของกลุ่มทหารประเภทนี้ จนได้ชื่อว่า พรรคประชาธิปัตย์ต่อต้านทหาร แต่วันนี้ นายอภิสิทธิ์และสุเทพ หัวหน้ากับเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กับนำพรรคประชาธิปัตย์ไปซุกอยู่ใต้ปีกทหาร ซึ่งเป็นทหารประเภทที่พรรคประชาธิปัตย์เคยรังเกียจเดียดฉันท์มาแล้วทั้งสิ้น ถึงขนาดเชื้อเชิญให้มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทั้งไม่รังเกียจที่จะไปจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร และยังจะปูทางเพื่อดึงทหารมาเป็นพวก และดึงเข้าสู่วงจรอำนาจทางการเมือง โดยหวังจะให้เป็นเครื่องมือค้ำจุนอำนาจรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ฝันเฟื้องไปไกลถึงขนาดที่จะให้นายอภิสิทธิ์ ครองตำแหน่งนายกฯ อีกหลายสมัย ภายใต้การชักใยให้เป็นนายกฯ หุ่นเชิดของกลุ่มตน
วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ จึงมีจุดยืนและอุดมการณ์ทางการเมืองที่เป็นปรปักษ์ และยืนอยู่ตรงข้ามกับผลประโยชน์ชาติประชาชนโดยสิ้นเชิง การทุจริตคอร์รัปชันที่พรรคประชาธิปัตย์เคยใช้เป็นจุดแข็งในการหาเสียงรณรงค์เลือกตั้งภายใต้คำขวัญว่า “พรรคประชาธิปัตย์ ซื่อสัตย์ มืออาชีพ รับใช้ชาติ ไม่โกงไม่กิน” กลายเป็นเพียงวาทกรรมสวยหรูใช้ได้เฉพาะเมื่อพรรคไม่มีอำนาจและไม่มีโอกาสเท่านั้น แต่เมื่อมีอำนาจและโอกาสกลับกลายเป็นทุจริตคอร์รัปชันหนักหน่วงและน่ารังเกียจยิ่งกว่าพรรคการเมืองอื่นๆ ที่น่าละอายก็คือ ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ส.ส. และรัฐมนตรีในพรรคนี้ ก็จะเข้าไปขอมีเอี่ยวและแบ่งประโยชน์กับพรรคร่วมรัฐบาลทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่ทำตัวเป็นวอลเปเปอร์ แวดล้อมใกล้ชิดตัวนายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรี การแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจระดับผู้บังคับการ หรือผู้กำกับการ คนของพรรคประชาธิปัตย์วิ่งวุ่นหาประโยชน์จากการวิ่งเต้นแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้อย่างน่าละอายที่สุด
กระทรวงมหาดไทยออกใบอนุญาตให้พ่อค้าอาวุธปืนนำปืนเข้ามาจำหน่ายในประเทศเพิ่มขึ้นจากที่เคยมีแล้ว 400 ใบ เพิ่มอีก 245 ใบอนุญาต รวมเป็น 645 ใบ โดยเสียเงินให้กับนักการเมืองผู้มีอำนาจออกใบอนุญาต ใบละ 5 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 1,225 ล้านบาท งานนี้วอลเปเปอร์ก็ขอเอี่ยวกับเขาด้วย หากินกันแบบหน้าด้านๆ การทุจริตคอร์รัปชัน ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ กลายเป็นเรื่องทำมาหากินตามปกติของคนในพรรคนี้ไปเสียแล้ว พรรคประชาธิปัตย์วันนี้ และรัฐบาลนายอภิสิทธ์ ก็คือตัวแทนของระบอบทักษิณ ที่แปลงร่างนั่นเอง
จุดกำเนิดของพรรคประชาธิปัตย์ จึงเป็นพรรคการเมืองที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อรับใช้บรรดาขุนนางที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จากวันนั้นมาจนถึงปัจจุบัน ก็เป็นเวลา 65 ปี พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลบ้าง ฝ่ายค้านบ้าง หรือต้องเว้นวรรคทางการเมืองไปชั่วขณะ เมื่อมีคณะรัฐประหารของคณะทหารเข้ายึดอำนาจการปกครอง แต่สิ่งหนึ่งที่พรรคประชาธิปัตย์พยายามแสดงออกและสื่อสารกับประชาชน ก็คือ ขายภาพความเป็นนักอุดมการณ์ประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการไม่โกงไม่กิน เป็นพรรคการเมืองที่มีภาพสะอาด หรือเลวน้อยที่สุด ในบรรดาพรรคการเมืองที่มีอยู่ โดยชูภาพเหล่านี้เป็นจุดขายของพรรคการเมืองตนต่อประชาชน
ขณะเดียวกัน ในบทบาทของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะแสดงบทบาทโดดเด่น ในการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะฝ่ายค้านอย่างโดดเด่น พูดจามีข้อมูลและเหตุผลน่าเชื่อถือ ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของปัญญาชนชนชั้นกลาง และคนรุ่นใหม่ที่สนใจการเมือง นั่นคือ พรรคประชาธิปัตย์ ที่ผมและประชาชนทั่วไปเคยรู้จัก ปัจจุบันพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่มีหัวหน้าพรรค ชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรค มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเลขาธิการพรรค พรรคประชาธิปัตย์ก็เปลี่ยนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ชนิดขาวกับดำ จากเทพไปเป็นมาร อย่างไม่น่าเชื่อ
ความเป็นจริงเรื่องนี้ ผู้ที่เคยศรัทธาสนับสนุน และชื่นชมในอุดมการณ์พรรคประชาธิปัตย์ อาจจะยังงุนงงสงสัย ไม่เชื่อว่าเป็นไปได้ บางท่านอาจจะกล่าวหาผู้เขียนว่ามีอคติต่อพรรคประชาธิปัตย์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็มีไม่น้อย ผู้เขียนอยากจะให้ประชาชนทั้งหลายพินิจพิเคราะห์ความเป็นจริงของพรรคประชาธิปัตย์ในวันนี้ ด้วยเหตุผลปราศจากอคติใดๆ ศึกษาและทำความเข้าใจปัญหานี้จากข้อเท็จจริง แล้วใช้วิจารณญาณด้วยสติปัญญาอันบริสุทธิ์ของตนเป็นที่ตั้ง ยึดถือเอาประโยชน์ชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญ
หากยึดหลักดังกล่าวนี้แล้ว ก็ต้องยอมรับความจริงว่าวันนี้คนและพรรคนี้เปลี่ยนไปจริงๆ สิ่งที่เป็นเครื่องชี้วัดอันสำคัญประการหนึ่ง ก็คือ จากพรรคที่สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วม และเป็นเจ้าของพรรคโดยยึดถืออุดมการณ์พรรคเป็นที่ตั้ง วันนี้พรรคนี้มีนายทุนเจ้าของพรรคคอยกำกับบงการเป็นหลัก สะท้อนออกผ่านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค ได้ใช้ฐานะตำแหน่งของตนสมคบและจับมือกับกลุ่มทุน ให้มามีอิทธิพลและบทบาท เหนืออุดมการณ์และนโยบายพรรค ภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดก็คือ การจับมือทำงานการเมืองร่วมกันระหว่าง สุเทพ - เนวิน และนายวิชัย รักศรีอักษร นักธุรกิจใหญ่ เจ้าของบริษัท คิง เพาเวอร์
ขณะเดียวกัน ปีกฝ่ายนายเนวิน ก็ยังมีนายชวรัตน์ และนายอนุทิน ชาญวีรกูล เจ้าของบริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่ คือ ชิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น บมจ. เป็นพันธมิตรทางการเมืองที่เหนียวแน่น โดยผ่านสายสัมพันธ์ของนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ พี่ภรรยาคนใหม่ของนายสุเทพ จากความสัมพันธ์นี้ เมื่อสามารถยึดกุมอำนาจรัฐได้แล้วก็ต่อท่ออำนาจหาประโยชน์กับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ที่เป็นผู้ให้การสนับสนุนนักการเมืองและพรรคการเมืองมาโดยตลอด อันเป็นที่รู้จักกันดีในวงการการเมืองไทย วันนี้กลุ่มทุนขนาดใหญ่มีสายสัมพันธ์ในประโยชน์ทางการเมืองและธุรกิจผ่านการเชื่อมโยงของพันธมิตรกลุ่มนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค ได้นำเอาระบบธุรกิจการเมืองที่ทักษิณ ชินวัตร เคยใช้ได้ผลในพรรคการเมืองของเขา มาใช้กับพรรคประชาธิปัตย์อย่างเต็มรูปแบบ
ประการต่อมา พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นกับทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทหารเผด็จการ หรือทหารพาณิชย์ ที่ใช้ฐานะตำแหน่งทางทหารไปแสวงหาอำนาจทางการเมือง และประโยชน์ในทางธุรกิจ ในอดีตนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ จะรังเกียจและต่อต้านคัดค้าน การเข้าเล่นการเมืองของกลุ่มทหารประเภทนี้ จนได้ชื่อว่า พรรคประชาธิปัตย์ต่อต้านทหาร แต่วันนี้ นายอภิสิทธิ์และสุเทพ หัวหน้ากับเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กับนำพรรคประชาธิปัตย์ไปซุกอยู่ใต้ปีกทหาร ซึ่งเป็นทหารประเภทที่พรรคประชาธิปัตย์เคยรังเกียจเดียดฉันท์มาแล้วทั้งสิ้น ถึงขนาดเชื้อเชิญให้มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทั้งไม่รังเกียจที่จะไปจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร และยังจะปูทางเพื่อดึงทหารมาเป็นพวก และดึงเข้าสู่วงจรอำนาจทางการเมือง โดยหวังจะให้เป็นเครื่องมือค้ำจุนอำนาจรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ฝันเฟื้องไปไกลถึงขนาดที่จะให้นายอภิสิทธิ์ ครองตำแหน่งนายกฯ อีกหลายสมัย ภายใต้การชักใยให้เป็นนายกฯ หุ่นเชิดของกลุ่มตน
วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ จึงมีจุดยืนและอุดมการณ์ทางการเมืองที่เป็นปรปักษ์ และยืนอยู่ตรงข้ามกับผลประโยชน์ชาติประชาชนโดยสิ้นเชิง การทุจริตคอร์รัปชันที่พรรคประชาธิปัตย์เคยใช้เป็นจุดแข็งในการหาเสียงรณรงค์เลือกตั้งภายใต้คำขวัญว่า “พรรคประชาธิปัตย์ ซื่อสัตย์ มืออาชีพ รับใช้ชาติ ไม่โกงไม่กิน” กลายเป็นเพียงวาทกรรมสวยหรูใช้ได้เฉพาะเมื่อพรรคไม่มีอำนาจและไม่มีโอกาสเท่านั้น แต่เมื่อมีอำนาจและโอกาสกลับกลายเป็นทุจริตคอร์รัปชันหนักหน่วงและน่ารังเกียจยิ่งกว่าพรรคการเมืองอื่นๆ ที่น่าละอายก็คือ ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ส.ส. และรัฐมนตรีในพรรคนี้ ก็จะเข้าไปขอมีเอี่ยวและแบ่งประโยชน์กับพรรคร่วมรัฐบาลทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่ทำตัวเป็นวอลเปเปอร์ แวดล้อมใกล้ชิดตัวนายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรี การแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจระดับผู้บังคับการ หรือผู้กำกับการ คนของพรรคประชาธิปัตย์วิ่งวุ่นหาประโยชน์จากการวิ่งเต้นแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้อย่างน่าละอายที่สุด
กระทรวงมหาดไทยออกใบอนุญาตให้พ่อค้าอาวุธปืนนำปืนเข้ามาจำหน่ายในประเทศเพิ่มขึ้นจากที่เคยมีแล้ว 400 ใบ เพิ่มอีก 245 ใบอนุญาต รวมเป็น 645 ใบ โดยเสียเงินให้กับนักการเมืองผู้มีอำนาจออกใบอนุญาต ใบละ 5 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 1,225 ล้านบาท งานนี้วอลเปเปอร์ก็ขอเอี่ยวกับเขาด้วย หากินกันแบบหน้าด้านๆ การทุจริตคอร์รัปชัน ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ กลายเป็นเรื่องทำมาหากินตามปกติของคนในพรรคนี้ไปเสียแล้ว พรรคประชาธิปัตย์วันนี้ และรัฐบาลนายอภิสิทธ์ ก็คือตัวแทนของระบอบทักษิณ ที่แปลงร่างนั่นเอง