ASTV ผู้จัดการรายวัน - ดัชนีหุ้นไทยรีบาวน์แรง 18 จุด ตามตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ หลังตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดี และสถานการณ์ในอียิปต์คลี่คลาย หนุนนักลงทุนต่างชาติกลับเข้าซื้อหุ้นไทยต่อ โบรกฯคาดแรงเก็งกำไรหุ้นกลุ่มพลังงานมีเข้ามาสูง รับข่าวผลประกอบการที่ใกล้จะทยอยประกาศ ภาพรวมดัชนีมีโอกาสขยับไปต่อ แต่แนะจับตาภาวะราคาน้ำมัน และเหตุการณ์ทางการเมืองในประเทศ
ตลาดหุ้นไทยวานนี้(2ก.พ.) ดัชนีแกว่งตัวในแดนบวกตลอดวัน โดยปิดที่ระดับ 977.84 จุด เพิ่มขึ้น 18.15 จุด หรือ 1.89% มูลค่าการซื้อขาย 17,524.88 ล้านบาท ภาพรวมหุ้นไทยรีบาวน์ขึ้นแรง หลังบรรยากาศในตลาดต่างประเทศดีขึ้น โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯที่ปรับขึ้นแรง จากการที่ตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการที่ออกมาดี และเหตุการณ์ในประเทศอียิปต์ก็ดูผ่อนคลายลง ทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยต่อ
ทั้งนี้ ระหว่างวันขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 977.84 จุด และจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 964.97 จุด ซึ่งหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,344.90 ล้านบาท ปิดที่ 344.00 บาท เพิ่มขึ้น 6.00 บาท IVL มูลค่าการซื้อขาย 1,230.84 ล้านบาท ปิดที่ 39.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท PTTCH มูลค่าการซื้อขาย 1,079.95 ล้านบาท ปิดที่ 146.00 บาท เพิ่มขึ้น 6.00 บาท BANPU มูลค่าการซื้อขาย 974.51 ล้านบาท ปิดที่ 746.00 บาท เพิ่มขึ้น 18.00 บาท และ TOP มูลค่าการซื้อขาย 792.65 ล้านบาท ปิดที่ 68.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท
ด้านการซื้อขายแยกตามประเภทนักลงทุน สถาบันซื้อสุทธิ 1,148.32 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 889.19 ล้านบาท ขณะที่ บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ขายสุทธิ 102.96 ล้านบาท เช่นเดียวนักลงทุนทั่วไป 1,934.57 ล้านบาท
ขณะที่ ตลาดหุ้นในภูมิภาค พบว่า ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลีย ปิดปรับตัวขึ้น 44.4 จุด หรือ 0.9% แตะ 4,796.50 จุด , ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นโตเกียว ปิดพุ่ง 182.86 จุด หรือ 1.78% แตะที่ 10,457.36 จุด และ ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดทะยาน 426.01 จุด หรือ 1.81% ปิดที่ 23,908.96 จุด ส่วน ตลาดหุ้นจีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน เวียดนาม ปิดทำการเนื่องในเทศกาลตรุษจีน
นายรักพงศ์ ไชยศุภรากุล ผู้จัดการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์ บล.เคจีไอ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้รีบาวด์ขึ้น หลังบรรยากาศในตลาดต่างประเทศค่อนข้างดี โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯที่ปรับตัวขึ้นแรง จากการที่ตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนต่างๆออกมาดี ประกอบกับเหตุการณ์ความรุนแรงในประเทศอียิปต์เริ่มคลี่คลายลง ทำให้นักลงทุนต่างชาติยังเข้าซื้อสุทธิต่อเนื่อง แต่การซื้อจะกระจุกตัวอยู่แค่บางกลุ่ม โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานที่มีการเข้ามาเก็งกำไรเรื่องผลประกอบการที่คาดว่าจะออกมาดี ทั้งตัวโรงกลั่นและปิโตรเคมี ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(3ก.พ.) ดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้น หลังวานนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิต่อ ซึ่งจะทำให้บรรยากาศโดยรวมดูดีขึ้น พร้อมให้แนวรับ 970 จุด แนวต้าน 982 และ 988 จุด
นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเกอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นวานนี้ปรับตัวขึ้นแรง เนื่องจากมีแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่ทั้ง กลุ่มธนาคาร พลังงาน ปิโตรเคมี คาดว่าจะเป็นแรงซื้อจากนักลงทุนสถาบันมากกว่าต่างชาติ เพราะตลาดหุ้นภูมิภาคหลายแห่งปิดทำการเทศกาลตรุษจีน ทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน แต่แนวโน้มวันนี้เชื่อว่าดัชนีจะไปได้ต่อ โดยปัจจัยที่ต้องจับตาคือทิศทางราคาน้ำมันโลก เนื่องจากพายุหิมะถล่มสหรัฐฯอาจมีผลกระทบต่อราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ ขณะที่ปัจจัยการเมืองในประเทศเริ่มมีน้ำหนักมากขึ้นทั้งกลุ่มการฟ้องร้องโทรศัทพ์มือถือและการชุมนุนกลุ่มเสื้อเหลืองและเสื้อแดง โดยแนวรับ 960-950 แนวต้าน 980
ด้าน บล.บัวหลวง ระบุว่า ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 31 มกราคมปิดที่ 964.10 จุด ปรับตัวลดลง 6.65% เป็นไปตามที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือนที่แล้วว่าตลาดหุ้นมีแนวโน้มผันผวนมากในปีนี้ เนื่องจาก PER ของตลาดหุ้นไทยไม่ได้ถูกกว่าตลาดหุ้นเอเชียอย่างมีนัยสำคัญแล้ว ขณะเดียวกัน คาดการณ์เกี่ยวกับการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อเริ่มปรับตัวซึ่งมีความเสี่ยงต่อการขยายตัวของกำไรสุทธิ รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้เข้าสู่ภาวะปกติในปีนี้ ซึ่งบ่งชี้ถึงอัตราผลตอบแทนที่ต้องการจากการลงทุนในตลาดหุ้นที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงทางการเมืองมีแนวโน้มที่จะทวีความเข้มข้นขึ้นเนื่องจากการประท้วง ของทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดง โดยทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องการให้รัฐบาลลาออก และเงินทุนไหลเข้ามาสู่ตลาดหุ้นเอเชียชะลอตัวลงเนื่องจากตัวเลขทางเศรษฐกิจของ สหรัฐปรับตัวดีขึ้น
ทำให้ มองว่าความเสี่ยงที่หุ้นจะปรับตัวลงไปอีกในลักษณะค่อนข้าง จำกัด เนื่องจากตลาดหุ้นได้ปรับตัวลงไปแล้วถึง 10% เป็น 950 จุดจาก 1,050 จุด จึงมองว่าเป็นเรื่องปกติที่ตลาดหุ้นจะปรับตัวจากภาวะเงินเฟ้อในช่วงปีที่สอง ของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จึงยังยังคงเป้าหมายดัชนีที่ 1,200 จุดอ้างอิงจาก PER ที่ 13 เท่าและอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 3.20% ดังนั้นยังคงให้น้ำหนัก NEUTRAL สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นในส่วนของตราสารหนี้และสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ และยังคงแนะนำให้ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้นมากกว่าอายุยาว รวมถึงแนะนำให้ลดน้ำหนักคำแนะนำสำหรับทองคำกลับมาเป็น NEUTRAL
ตลาดหุ้นไทยวานนี้(2ก.พ.) ดัชนีแกว่งตัวในแดนบวกตลอดวัน โดยปิดที่ระดับ 977.84 จุด เพิ่มขึ้น 18.15 จุด หรือ 1.89% มูลค่าการซื้อขาย 17,524.88 ล้านบาท ภาพรวมหุ้นไทยรีบาวน์ขึ้นแรง หลังบรรยากาศในตลาดต่างประเทศดีขึ้น โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯที่ปรับขึ้นแรง จากการที่ตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการที่ออกมาดี และเหตุการณ์ในประเทศอียิปต์ก็ดูผ่อนคลายลง ทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยต่อ
ทั้งนี้ ระหว่างวันขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 977.84 จุด และจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 964.97 จุด ซึ่งหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,344.90 ล้านบาท ปิดที่ 344.00 บาท เพิ่มขึ้น 6.00 บาท IVL มูลค่าการซื้อขาย 1,230.84 ล้านบาท ปิดที่ 39.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท PTTCH มูลค่าการซื้อขาย 1,079.95 ล้านบาท ปิดที่ 146.00 บาท เพิ่มขึ้น 6.00 บาท BANPU มูลค่าการซื้อขาย 974.51 ล้านบาท ปิดที่ 746.00 บาท เพิ่มขึ้น 18.00 บาท และ TOP มูลค่าการซื้อขาย 792.65 ล้านบาท ปิดที่ 68.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท
ด้านการซื้อขายแยกตามประเภทนักลงทุน สถาบันซื้อสุทธิ 1,148.32 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 889.19 ล้านบาท ขณะที่ บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ขายสุทธิ 102.96 ล้านบาท เช่นเดียวนักลงทุนทั่วไป 1,934.57 ล้านบาท
ขณะที่ ตลาดหุ้นในภูมิภาค พบว่า ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลีย ปิดปรับตัวขึ้น 44.4 จุด หรือ 0.9% แตะ 4,796.50 จุด , ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นโตเกียว ปิดพุ่ง 182.86 จุด หรือ 1.78% แตะที่ 10,457.36 จุด และ ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดทะยาน 426.01 จุด หรือ 1.81% ปิดที่ 23,908.96 จุด ส่วน ตลาดหุ้นจีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน เวียดนาม ปิดทำการเนื่องในเทศกาลตรุษจีน
นายรักพงศ์ ไชยศุภรากุล ผู้จัดการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์ บล.เคจีไอ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้รีบาวด์ขึ้น หลังบรรยากาศในตลาดต่างประเทศค่อนข้างดี โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯที่ปรับตัวขึ้นแรง จากการที่ตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนต่างๆออกมาดี ประกอบกับเหตุการณ์ความรุนแรงในประเทศอียิปต์เริ่มคลี่คลายลง ทำให้นักลงทุนต่างชาติยังเข้าซื้อสุทธิต่อเนื่อง แต่การซื้อจะกระจุกตัวอยู่แค่บางกลุ่ม โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานที่มีการเข้ามาเก็งกำไรเรื่องผลประกอบการที่คาดว่าจะออกมาดี ทั้งตัวโรงกลั่นและปิโตรเคมี ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(3ก.พ.) ดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้น หลังวานนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิต่อ ซึ่งจะทำให้บรรยากาศโดยรวมดูดีขึ้น พร้อมให้แนวรับ 970 จุด แนวต้าน 982 และ 988 จุด
นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเกอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นวานนี้ปรับตัวขึ้นแรง เนื่องจากมีแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่ทั้ง กลุ่มธนาคาร พลังงาน ปิโตรเคมี คาดว่าจะเป็นแรงซื้อจากนักลงทุนสถาบันมากกว่าต่างชาติ เพราะตลาดหุ้นภูมิภาคหลายแห่งปิดทำการเทศกาลตรุษจีน ทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน แต่แนวโน้มวันนี้เชื่อว่าดัชนีจะไปได้ต่อ โดยปัจจัยที่ต้องจับตาคือทิศทางราคาน้ำมันโลก เนื่องจากพายุหิมะถล่มสหรัฐฯอาจมีผลกระทบต่อราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ ขณะที่ปัจจัยการเมืองในประเทศเริ่มมีน้ำหนักมากขึ้นทั้งกลุ่มการฟ้องร้องโทรศัทพ์มือถือและการชุมนุนกลุ่มเสื้อเหลืองและเสื้อแดง โดยแนวรับ 960-950 แนวต้าน 980
ด้าน บล.บัวหลวง ระบุว่า ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 31 มกราคมปิดที่ 964.10 จุด ปรับตัวลดลง 6.65% เป็นไปตามที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือนที่แล้วว่าตลาดหุ้นมีแนวโน้มผันผวนมากในปีนี้ เนื่องจาก PER ของตลาดหุ้นไทยไม่ได้ถูกกว่าตลาดหุ้นเอเชียอย่างมีนัยสำคัญแล้ว ขณะเดียวกัน คาดการณ์เกี่ยวกับการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อเริ่มปรับตัวซึ่งมีความเสี่ยงต่อการขยายตัวของกำไรสุทธิ รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้เข้าสู่ภาวะปกติในปีนี้ ซึ่งบ่งชี้ถึงอัตราผลตอบแทนที่ต้องการจากการลงทุนในตลาดหุ้นที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงทางการเมืองมีแนวโน้มที่จะทวีความเข้มข้นขึ้นเนื่องจากการประท้วง ของทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดง โดยทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องการให้รัฐบาลลาออก และเงินทุนไหลเข้ามาสู่ตลาดหุ้นเอเชียชะลอตัวลงเนื่องจากตัวเลขทางเศรษฐกิจของ สหรัฐปรับตัวดีขึ้น
ทำให้ มองว่าความเสี่ยงที่หุ้นจะปรับตัวลงไปอีกในลักษณะค่อนข้าง จำกัด เนื่องจากตลาดหุ้นได้ปรับตัวลงไปแล้วถึง 10% เป็น 950 จุดจาก 1,050 จุด จึงมองว่าเป็นเรื่องปกติที่ตลาดหุ้นจะปรับตัวจากภาวะเงินเฟ้อในช่วงปีที่สอง ของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จึงยังยังคงเป้าหมายดัชนีที่ 1,200 จุดอ้างอิงจาก PER ที่ 13 เท่าและอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 3.20% ดังนั้นยังคงให้น้ำหนัก NEUTRAL สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นในส่วนของตราสารหนี้และสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ และยังคงแนะนำให้ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้นมากกว่าอายุยาว รวมถึงแนะนำให้ลดน้ำหนักคำแนะนำสำหรับทองคำกลับมาเป็น NEUTRAL