อยู่ๆ พรรคเพื่อไทยพรรคฝ่ายค้านที่สืบทอดมาจากพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชนโดยการสนับสนุนของ ทักษิณ ชินวัตร ก็ออกมาเปิดเผยว่า มีกลุ่มทหารบางกลุ่มจะทำการรัฐประหารซึ่งตรงกับข้อมูลของ พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานคณะกรรมการศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหารเปิดเผย
“หากนายอภิสิทธิ์คิดว่ารัฐบาลของตัวเองมีไม้ค้ำยันสีเขียวค้ำอยู่ อาจจะต้องคิดใหม่” นายพร้อมพงษ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค กล่าว
ข่าวการปฏิวัติรัฐประหารออกมาจากพรรคเพื่อไทยเป็นระลอก บ้างก็บอกว่า เป็นพลเอก ด. บ้างก็ว่า พลเอก ป. ก็เอาด้วย
กระแสข่าวดังกล่าว รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และนายทหารระดับเสนาธิการต่างออกมาปฏิเสธ สำหรับนายสุเทพ กล่าวว่า คนที่พยายามสร้างข่าวปฏิวัติเป็นพวกเพ้อเจ้อ เพราะเรื่องนี้ไม่มีมูลพื้นฐานหรือความน่าจะเป็น ประเทศไทยนี่ก็แปลก อยู่ดีๆ พยายามสร้างข่าวร้ายๆ ขึ้นมา แล้วก็ตกอกตกใจเชื่อเป็นตุเป็นตะ
การปฏิวัติรัฐประหารเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ไม่มีใครรับรองได้ว่าจะเกิดหรือไม่เกิด แต่การออกมาพูดถึงเรื่องนี้ของพรรคเพื่อไทย น่าจะมาจากการตีปลาหน้าไซ เป็นการดักคอเอาไว้ให้ประชาชนทั้งหลายระมัดระวังหาทางป้องกัน หรือเตรียมการคัดค้าน
เพราะการปฏิวัติรัฐประหารเป็นวิถีของการได้อำนาจรัฐโดยใช้กำลัง เป็นเผด็จการ เสียหายต่อบ้านเมือง เสียหายต่อเศรษฐกิจ ฯลฯ
ที่สำคัญอย่างยิ่งคือ เสียหายต่อพรรคเพื่อไทย เสียหายต่อความหวังของ ทักษิณ ชินวัตร ที่หวังว่าจะกลับมาชนะได้ มีโอกาสที่จะรอดคุก และเผลอๆ อาจจะกลับมาเป็นใหญ่ได้อีกก็แต่หนทางเดียวเท่านั้นคือ การเลือกตั้งเป็นความหวังความฝันเช่นที่เคยมีมาในคราวที่มีการเลือกตั้งทั่วไปคราวก่อนที่พรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้ง ส่งให้นายสมัคร สุนทรเวช ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และนายสมัครก็พยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ทักษิณ แต่ไม่สำเร็จ
การปฏิวัติรัฐประหารจะส่งผลเสียหายต่อรัฐบาลที่บริหารประเทศอยู่ขณะนี้คือ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ
พูดกันอย่างตรงไปตรงมาก็คือ การปฏิวัติรัฐประหารส่งผลเสียหายต่อนักเลือกตั้งทั้งหลายทั้งปวงที่ชนะการเลือกตั้ง และสามารถกุมอำนาจรัฐได้อยู่ในขณะนี้ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการฯ รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ได้กำกับดูแลการบริหารราชการแผ่นดิน กำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดิน ได้แสวงหาประโยชน์จากนโยบายขายข้าว ขายน้ำมันปาล์ม ขายมันสำปะหลัง ขายยางพารา ได้ดูแลงบประมาณสร้างถนนหนทาง อาคารสถานที่ การสัมปทานผูกขาดวิสาหกิจต่างๆ ของรัฐ การสื่อสาร การพลังงาน ได้แต่งตั้งข้าราชการในกระทรวงที่ตัวกำกับดูแล
โอ้ย มันเยอะไปหมดสำหรับผู้ที่สามารถกุมอำนาจรัฐ มันมีอำนาจ มันอิ่มหมีพีมันจริงๆ
ที่สำคัญมันมีหน้ามีตา เพราะนักเลือกตั้งถูกมองว่า เป็นนักประชาธิปไตยมาจากการเลืกตั้งของประชาชน ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับการปฏิวัติรัฐประหารที่มาจากการใช้กำลังทหาร ใช้รถถัง ใช้ปืน
แต่แม้การปฏิวัติรัฐประหารจะเป็นที่น่ารังเกียจ แต่ก็เกิดขึ้นได้เรื่อยมา ครั้งล่าสุดก็ 19 กันยายน 2549 เป็นการปฏิวัติรัฐประหารล้มรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร
การปฏิวัติรัฐประหารแต่ละครั้งส่วนใหญ่แล้ว คณะที่ทำจะพิจารณาหาเงื่อนไขที่ทำแล้วจะต้องสำเร็จ ประชาชนไม่ต่อต้านเพราะไม่มีหนทางอื่นที่จะล้มรัฐบาลที่บริหารประเทศอยู่ขณะนั้นลงได้ แม้จะมีการทุจริตคอร์รัปชันกันขนาดหนัก สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติอย่างรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องคว่ำไปเพราะการปฏิวัติรัฐประหาร
แต่กระแสโลกเป็นกระแสของประชาธิปไตย และประชาธิปไตยที่เรารู้จักกันก็คือการเลือกตั้ง การปฏิวัติรัฐประหารจึงทำได้แต่เพียงการล้มรัฐบาลที่บริหารประเทศอยู่ลงไป แล้วจัดการร่างกติกาที่เรียกกันว่า รัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ แล้วจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว
การรัฐประหาร 2534 การรัฐประหาร 2549 ก็ต้องทำเช่นว่านี้ ซึ่งก็เปิดโอกาสให้นักเลือกตั้งกลับมาได้อีก กลับมาเป็นรองนายกฯ กลับมาเป็นรัฐมนตรีได้อีก ถ้าหากนักการเมือง นักเลือกตั้งติดขัดที่ข้อกฎหมายมาลงเลือกตั้งไม่ได้ ก็ส่งลูก ส่งเมีย ส่งผัว ส่งพ่อมาเป็นรัฐมนตรีว่าการฯ รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ แทน
นี่แหละครับคือสภาพประเทศไทยของเราในปัจจุบัน คือ เดินแนวทางประชาธิปไตยเลือกผู้แทนราษฎร เราก็จะได้นักการเมืองอย่างที่เห็นกันอยู่ในสภาขณะนี้ ได้นักรับเหมาก่อสร้างที่พอเป็นใหญ่กุมกระทรวงทบวงสำคัญได้ มันก็ทำมาหารับประทาน อยู่กระทรวงไหน มันหาทางรับประทานได้ทั้งนั้น เป็นต้น ให้อยู่กระทรวงสาธารณสุข มันก็รับประทานยา รับประทานอุปกรณ์การแพทย์ รถพยาบาล โรงพยาบาล อยู่คมนาคม มันก็สวาปามถนนหนทาง อยู่มหาดไทย มันก็กินบัตรประชาชน อยู่พาณิชย์ ก็กินข้าว กินมัน
มันรับประทานได้ทุกกระทรวง ทบวง กรม แหละครับ
ครั้นปฏิวัติรัฐประหาร กระแสสังคม กระแสโลกก็รับไม่ได้
ซ้ำบางทีทำสำเร็จอย่างเมื่อเดือนกันยายน 2549 ก็ทำซะเสียของ พี่บังเล่นบทบังเละ ส่งผลให้บ้านเมืองของเราปั่นป่วนวุ่นวายอยู่จนทุกวันนี้
“หากนายอภิสิทธิ์คิดว่ารัฐบาลของตัวเองมีไม้ค้ำยันสีเขียวค้ำอยู่ อาจจะต้องคิดใหม่” นายพร้อมพงษ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค กล่าว
ข่าวการปฏิวัติรัฐประหารออกมาจากพรรคเพื่อไทยเป็นระลอก บ้างก็บอกว่า เป็นพลเอก ด. บ้างก็ว่า พลเอก ป. ก็เอาด้วย
กระแสข่าวดังกล่าว รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และนายทหารระดับเสนาธิการต่างออกมาปฏิเสธ สำหรับนายสุเทพ กล่าวว่า คนที่พยายามสร้างข่าวปฏิวัติเป็นพวกเพ้อเจ้อ เพราะเรื่องนี้ไม่มีมูลพื้นฐานหรือความน่าจะเป็น ประเทศไทยนี่ก็แปลก อยู่ดีๆ พยายามสร้างข่าวร้ายๆ ขึ้นมา แล้วก็ตกอกตกใจเชื่อเป็นตุเป็นตะ
การปฏิวัติรัฐประหารเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ไม่มีใครรับรองได้ว่าจะเกิดหรือไม่เกิด แต่การออกมาพูดถึงเรื่องนี้ของพรรคเพื่อไทย น่าจะมาจากการตีปลาหน้าไซ เป็นการดักคอเอาไว้ให้ประชาชนทั้งหลายระมัดระวังหาทางป้องกัน หรือเตรียมการคัดค้าน
เพราะการปฏิวัติรัฐประหารเป็นวิถีของการได้อำนาจรัฐโดยใช้กำลัง เป็นเผด็จการ เสียหายต่อบ้านเมือง เสียหายต่อเศรษฐกิจ ฯลฯ
ที่สำคัญอย่างยิ่งคือ เสียหายต่อพรรคเพื่อไทย เสียหายต่อความหวังของ ทักษิณ ชินวัตร ที่หวังว่าจะกลับมาชนะได้ มีโอกาสที่จะรอดคุก และเผลอๆ อาจจะกลับมาเป็นใหญ่ได้อีกก็แต่หนทางเดียวเท่านั้นคือ การเลือกตั้งเป็นความหวังความฝันเช่นที่เคยมีมาในคราวที่มีการเลือกตั้งทั่วไปคราวก่อนที่พรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้ง ส่งให้นายสมัคร สุนทรเวช ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และนายสมัครก็พยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ทักษิณ แต่ไม่สำเร็จ
การปฏิวัติรัฐประหารจะส่งผลเสียหายต่อรัฐบาลที่บริหารประเทศอยู่ขณะนี้คือ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ
พูดกันอย่างตรงไปตรงมาก็คือ การปฏิวัติรัฐประหารส่งผลเสียหายต่อนักเลือกตั้งทั้งหลายทั้งปวงที่ชนะการเลือกตั้ง และสามารถกุมอำนาจรัฐได้อยู่ในขณะนี้ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการฯ รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ได้กำกับดูแลการบริหารราชการแผ่นดิน กำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดิน ได้แสวงหาประโยชน์จากนโยบายขายข้าว ขายน้ำมันปาล์ม ขายมันสำปะหลัง ขายยางพารา ได้ดูแลงบประมาณสร้างถนนหนทาง อาคารสถานที่ การสัมปทานผูกขาดวิสาหกิจต่างๆ ของรัฐ การสื่อสาร การพลังงาน ได้แต่งตั้งข้าราชการในกระทรวงที่ตัวกำกับดูแล
โอ้ย มันเยอะไปหมดสำหรับผู้ที่สามารถกุมอำนาจรัฐ มันมีอำนาจ มันอิ่มหมีพีมันจริงๆ
ที่สำคัญมันมีหน้ามีตา เพราะนักเลือกตั้งถูกมองว่า เป็นนักประชาธิปไตยมาจากการเลืกตั้งของประชาชน ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับการปฏิวัติรัฐประหารที่มาจากการใช้กำลังทหาร ใช้รถถัง ใช้ปืน
แต่แม้การปฏิวัติรัฐประหารจะเป็นที่น่ารังเกียจ แต่ก็เกิดขึ้นได้เรื่อยมา ครั้งล่าสุดก็ 19 กันยายน 2549 เป็นการปฏิวัติรัฐประหารล้มรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร
การปฏิวัติรัฐประหารแต่ละครั้งส่วนใหญ่แล้ว คณะที่ทำจะพิจารณาหาเงื่อนไขที่ทำแล้วจะต้องสำเร็จ ประชาชนไม่ต่อต้านเพราะไม่มีหนทางอื่นที่จะล้มรัฐบาลที่บริหารประเทศอยู่ขณะนั้นลงได้ แม้จะมีการทุจริตคอร์รัปชันกันขนาดหนัก สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติอย่างรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องคว่ำไปเพราะการปฏิวัติรัฐประหาร
แต่กระแสโลกเป็นกระแสของประชาธิปไตย และประชาธิปไตยที่เรารู้จักกันก็คือการเลือกตั้ง การปฏิวัติรัฐประหารจึงทำได้แต่เพียงการล้มรัฐบาลที่บริหารประเทศอยู่ลงไป แล้วจัดการร่างกติกาที่เรียกกันว่า รัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ แล้วจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว
การรัฐประหาร 2534 การรัฐประหาร 2549 ก็ต้องทำเช่นว่านี้ ซึ่งก็เปิดโอกาสให้นักเลือกตั้งกลับมาได้อีก กลับมาเป็นรองนายกฯ กลับมาเป็นรัฐมนตรีได้อีก ถ้าหากนักการเมือง นักเลือกตั้งติดขัดที่ข้อกฎหมายมาลงเลือกตั้งไม่ได้ ก็ส่งลูก ส่งเมีย ส่งผัว ส่งพ่อมาเป็นรัฐมนตรีว่าการฯ รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ แทน
นี่แหละครับคือสภาพประเทศไทยของเราในปัจจุบัน คือ เดินแนวทางประชาธิปไตยเลือกผู้แทนราษฎร เราก็จะได้นักการเมืองอย่างที่เห็นกันอยู่ในสภาขณะนี้ ได้นักรับเหมาก่อสร้างที่พอเป็นใหญ่กุมกระทรวงทบวงสำคัญได้ มันก็ทำมาหารับประทาน อยู่กระทรวงไหน มันหาทางรับประทานได้ทั้งนั้น เป็นต้น ให้อยู่กระทรวงสาธารณสุข มันก็รับประทานยา รับประทานอุปกรณ์การแพทย์ รถพยาบาล โรงพยาบาล อยู่คมนาคม มันก็สวาปามถนนหนทาง อยู่มหาดไทย มันก็กินบัตรประชาชน อยู่พาณิชย์ ก็กินข้าว กินมัน
มันรับประทานได้ทุกกระทรวง ทบวง กรม แหละครับ
ครั้นปฏิวัติรัฐประหาร กระแสสังคม กระแสโลกก็รับไม่ได้
ซ้ำบางทีทำสำเร็จอย่างเมื่อเดือนกันยายน 2549 ก็ทำซะเสียของ พี่บังเล่นบทบังเละ ส่งผลให้บ้านเมืองของเราปั่นป่วนวุ่นวายอยู่จนทุกวันนี้