ASTVผู้จัดการรายวัน-ในที่สุด บริษัท ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PICNI ก็ผ่านนพ้นอุปสรรคในช่วงแรกสำหรับการฟื้นฟูกิจการไปได้แล้ว เมื่อเจ้าหนี้กว่า79.56% เห็นชอบให้กับแผนฟื้นฟูฯของบริษัทในสูตรที่มี “พิมล ศรีวิกรม์”พร้อมพวกเข้ามาเป็นผู้ใส่เงิน 1,700 ล้านบาท แม้ช่วงต้นการประชุมจะมีการคัดค้านให้เลื่อนการพิจารณาออกไป จากกลุ่มเวิลด์แก๊ส ที่ต้องการนำเสนอแผนฟื้นฟูในฉบับของตน ซึ่งมีกลุ่มผู้เข้าร่วมลงทุน คือ บมจ.สามารถ คอร์ปอเรชั่น (SAMART) ที่พร้อมใส่เงินถึง1,800 ล้านบาทมานำเสนอ
**ภาพรวมไม่น่าเชื่อว่าเรื่องนี้จะมีการตกม้าตายง่ายๆ เพียงเพราะกลุ่มที่มีชื่อใหม่นี้ เปิดตัวช้าเกินไปเพียงแค่ไม่กี่วันก่อนที่จะมีการพิจารณาแผน ทำให้เจ้าหน้ารายอื่นๆไม่ทราบล่วงหน้า อีกทั้งไม่ได้เสนอตัวผ่านกระบวนการนำเสนอให้ถูกต้องนัก การเลื่อนการพิจารณาจึงไม่เกิดขึ้น**
อีกจุด...คือ ข่าวลือการล็อบบี้อุตลุต ในเจ้าหนี้รายใหญ่ธนาคารกรุงไทย ที่ตอนแรกกระแสมาแรงว่าจะไม่โหวตรับแผนฟื้นฟูกิจการของPICNI ก็กลายเป็นหนังคนละม้วนเมื่อท้ายที่สุด....นี่คืออีกหนึ่งเสียงสำคัญในการโหวตมติรองรับให้
ภายใต้การแถลงข่าวที่จัดขึ้นหลังจากการประชุมแล้วเสร็จวันนั้น (27ม.ค.) บ่งบอกอารมณ์และความมุ่งมั่นของคณะกรรมการบริษัทและผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการได้ว่า....เป็นการโล่งอกเพียงชั่วขณะหนึ่ง .....เพราะยังมีเรื่องที่ต้องสะสางรออยู่กองพะเนิน ซึ่งน่าจะแยกออกเป็นเรื่องสำคัญได้ 3 เรื่อง นั่นคือ 1.การกลับมาทวงส่วนแบ่งทางการตลาดที่ซบเซาลงไปจนเหลือเพียง 4-5% เพื่อปั้มรายได้-กำไรเพิ่มขึ้น 2.การเดินหน้าทวงสิทธิ์ของบริษัทในเวิลด์แก๊ส และ3.น่าจะเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ในขณะนี้ นั่นคือ การทวงคืนคลังแก๊สทั้ง 2 แห่งของบริษัทกลับคืนมา
ผู้บริหารแผนฯและกรรมการบริษัท คอยย้ำตลอดเวลาที่แถลงข่าวว่า เชื่อมั่นว่ากระบวนการยุติธรรมมีจริงและPICNI น่าจะได้คลังแก๊สทั้ง2แห่งกลับคืน เมื่อมองในมุมขั้นตอนและแนวทาง ทุกอย่างน่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ถ้ามองทางเชิงปฏิบัติ....ก็ไม่ง่ายเลย **ศึกรอบนี้...แม้จะได้รับคำแนะนำดีๆจากอธิบดีกรมบังคับคดี ให้นำคำสั่งศาลฯส่งไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องหรือผู้ที่ขัดขวางด้วยก็ตาม..........แต่โอกาสที่จะมีการอ้างถึงคนมีสี น่าจะเกิดขึ้นอีก...บนความเป็นไปได้ที่มี**
**อย่างไรก็ตาม...นี่คือด่านสำคัญที่ PICNI ต้องฝ่าไปให้ได้ เพราะมันเกี่ยวโยงถึงโอกาสในการเติบโต และความเสี่ยงทางธุรกิจ ...หากเอาคลังทั้ง 2 คืนมาไม่ได้โดยเร็ว ค่าใช้จ่ายก็ไม่สามารถลดลงได้ง่าย การเพิ่มมาร์เกตแชร์ก็อย่าไปพูดถึง ส่วนประเด็นเรียกร้องค่าเสียหาย1พันกว่าล้านบาท....อย่าเพิ่งไปกังวลถึง**
และเมื่ออุปสรรคด่านนี้ผ่านพ้นไป...สินทรัพย์ที่มีอยู่2,000 ล้านบาทของบริษัท ถูกนำมาใช้ได้เต็มประสิทธิภาพ (หลังได้คลังแก๊ส2แห่งคืน ซึ่งมีมูลค่าสินทรัพย์รวมกันประมาณ 500 – 600 ล้านบาท) โอกาสการเติบโตทางธุรกิจจะเริ่มเกิดขึ้น ควบคู่ไปกับการเดินหน้าในสิทธิ์ของตนเองต่อหุ้นเวิลด์แก๊ส ก็น่าที่จะดำเนินไปต่อ หรือควบคู่กันไป
**จุดนี้หากตัดความกังวลเรื่องนอมินีของกลุ่มศรีวิกรม์ออกไป มองว่าน่าจะเป็นประโยชน์ที่จะได้เห็นเด่นชัดมากขึ้น เพราะเรื่องนี้ เกี่ยวข้องกับอดีตผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ที่ไปเล่นแร่แปรธาตุจนเวิลด์แก๊สไปตกอยู่ในมือของบริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน ซึ่งปีที่ผ่านมามีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ พล.ต.ท. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง โดยการพูดคุยเจรจาระหว่างผู้ถือหุ้นใหม่ – เก่า และแอสเซ็ทฯอาจเกิดขึ้นได้ ด้วยคอนเน็คชั่นที่เชื่อมโยง แต่บทสรุปจะเป็นเช่นไร.....อนาคตเท่านั้นที่เราจะได้รู้คำตอบ**
ภาพรวมที่มองเห็นขณะนี้ คือ บมจ.ปิคนิค ต้องเดินหน้าแผนฟื้นฟูกิจการ ในขั้นตอนต่างๆ บวกกับการใส่เงินเข้ามาลงทุนจริงของ พิมล ศรีวิกรม์ ให้แล้วเสร็จภายใน150 วัน ซึ่งน่าจะควบคู่ไปกับการเดินหน้านำคลังแก๊สทั้ง2แห่งกลับคืน หลังจากนั้นการลงทุนทางธุรกิจน่าจะมีความเด่นชัดมากขึ้น เพราะเจ้าหนี้ยอมแฮร์คัตหนี้ให้กว่า7.5 พันล้านบาท และใช้เงินบางส่วนโป๊ะหนี้ที่เหลือไปแล้ว รายได้และกำไรจะกลับมามีให้เห็น เพราะบริษัทไม่มีขาดทุนสะสมติดค้างอยู่ เป้าหมายเข้าเทรดภายใน 15 เดือน ก็มีความเป็นไปได้
**สงสารก็แต่ผู้ถือหุ้นรายย่อยที่ติดเกาะตั้งแต่ครั้งนั้น จะรู้กันครบทุกรายแล้วหรือไม่ ว่าตามแผนฟื้นฟูฯ จะมีการลดทุนจากเดิมลงเหลือประมาณ 10% และจะมีการเพิ่มทุนใหม่เข้ามา ซึ่งจะทำให้สัดส่วนในการถือหุ้นลดลง เช่นเดียวกับกลุ่มผู้ถือหุ้นเก่าอย่าง ลาภวิสุทธิสิน ที่จะเหลือไม่ถึง1%
ส่วนเมื่อกลับมาเทรดได้จริง ใครจะเทขายถอนทุนหลังติดยาว หรือถือยาวเพราะเห็นประโยชน์ ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจส่วนบุคคล เช่นเดียวกับสิทธิในการเข้าซื้อขายบนกระดานของผู้ถือหุ้นกลุ่มเก่าด้วย................!!! **
**ภาพรวมไม่น่าเชื่อว่าเรื่องนี้จะมีการตกม้าตายง่ายๆ เพียงเพราะกลุ่มที่มีชื่อใหม่นี้ เปิดตัวช้าเกินไปเพียงแค่ไม่กี่วันก่อนที่จะมีการพิจารณาแผน ทำให้เจ้าหน้ารายอื่นๆไม่ทราบล่วงหน้า อีกทั้งไม่ได้เสนอตัวผ่านกระบวนการนำเสนอให้ถูกต้องนัก การเลื่อนการพิจารณาจึงไม่เกิดขึ้น**
อีกจุด...คือ ข่าวลือการล็อบบี้อุตลุต ในเจ้าหนี้รายใหญ่ธนาคารกรุงไทย ที่ตอนแรกกระแสมาแรงว่าจะไม่โหวตรับแผนฟื้นฟูกิจการของPICNI ก็กลายเป็นหนังคนละม้วนเมื่อท้ายที่สุด....นี่คืออีกหนึ่งเสียงสำคัญในการโหวตมติรองรับให้
ภายใต้การแถลงข่าวที่จัดขึ้นหลังจากการประชุมแล้วเสร็จวันนั้น (27ม.ค.) บ่งบอกอารมณ์และความมุ่งมั่นของคณะกรรมการบริษัทและผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการได้ว่า....เป็นการโล่งอกเพียงชั่วขณะหนึ่ง .....เพราะยังมีเรื่องที่ต้องสะสางรออยู่กองพะเนิน ซึ่งน่าจะแยกออกเป็นเรื่องสำคัญได้ 3 เรื่อง นั่นคือ 1.การกลับมาทวงส่วนแบ่งทางการตลาดที่ซบเซาลงไปจนเหลือเพียง 4-5% เพื่อปั้มรายได้-กำไรเพิ่มขึ้น 2.การเดินหน้าทวงสิทธิ์ของบริษัทในเวิลด์แก๊ส และ3.น่าจะเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ในขณะนี้ นั่นคือ การทวงคืนคลังแก๊สทั้ง 2 แห่งของบริษัทกลับคืนมา
ผู้บริหารแผนฯและกรรมการบริษัท คอยย้ำตลอดเวลาที่แถลงข่าวว่า เชื่อมั่นว่ากระบวนการยุติธรรมมีจริงและPICNI น่าจะได้คลังแก๊สทั้ง2แห่งกลับคืน เมื่อมองในมุมขั้นตอนและแนวทาง ทุกอย่างน่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ถ้ามองทางเชิงปฏิบัติ....ก็ไม่ง่ายเลย **ศึกรอบนี้...แม้จะได้รับคำแนะนำดีๆจากอธิบดีกรมบังคับคดี ให้นำคำสั่งศาลฯส่งไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องหรือผู้ที่ขัดขวางด้วยก็ตาม..........แต่โอกาสที่จะมีการอ้างถึงคนมีสี น่าจะเกิดขึ้นอีก...บนความเป็นไปได้ที่มี**
**อย่างไรก็ตาม...นี่คือด่านสำคัญที่ PICNI ต้องฝ่าไปให้ได้ เพราะมันเกี่ยวโยงถึงโอกาสในการเติบโต และความเสี่ยงทางธุรกิจ ...หากเอาคลังทั้ง 2 คืนมาไม่ได้โดยเร็ว ค่าใช้จ่ายก็ไม่สามารถลดลงได้ง่าย การเพิ่มมาร์เกตแชร์ก็อย่าไปพูดถึง ส่วนประเด็นเรียกร้องค่าเสียหาย1พันกว่าล้านบาท....อย่าเพิ่งไปกังวลถึง**
และเมื่ออุปสรรคด่านนี้ผ่านพ้นไป...สินทรัพย์ที่มีอยู่2,000 ล้านบาทของบริษัท ถูกนำมาใช้ได้เต็มประสิทธิภาพ (หลังได้คลังแก๊ส2แห่งคืน ซึ่งมีมูลค่าสินทรัพย์รวมกันประมาณ 500 – 600 ล้านบาท) โอกาสการเติบโตทางธุรกิจจะเริ่มเกิดขึ้น ควบคู่ไปกับการเดินหน้าในสิทธิ์ของตนเองต่อหุ้นเวิลด์แก๊ส ก็น่าที่จะดำเนินไปต่อ หรือควบคู่กันไป
**จุดนี้หากตัดความกังวลเรื่องนอมินีของกลุ่มศรีวิกรม์ออกไป มองว่าน่าจะเป็นประโยชน์ที่จะได้เห็นเด่นชัดมากขึ้น เพราะเรื่องนี้ เกี่ยวข้องกับอดีตผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ที่ไปเล่นแร่แปรธาตุจนเวิลด์แก๊สไปตกอยู่ในมือของบริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน ซึ่งปีที่ผ่านมามีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ พล.ต.ท. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง โดยการพูดคุยเจรจาระหว่างผู้ถือหุ้นใหม่ – เก่า และแอสเซ็ทฯอาจเกิดขึ้นได้ ด้วยคอนเน็คชั่นที่เชื่อมโยง แต่บทสรุปจะเป็นเช่นไร.....อนาคตเท่านั้นที่เราจะได้รู้คำตอบ**
ภาพรวมที่มองเห็นขณะนี้ คือ บมจ.ปิคนิค ต้องเดินหน้าแผนฟื้นฟูกิจการ ในขั้นตอนต่างๆ บวกกับการใส่เงินเข้ามาลงทุนจริงของ พิมล ศรีวิกรม์ ให้แล้วเสร็จภายใน150 วัน ซึ่งน่าจะควบคู่ไปกับการเดินหน้านำคลังแก๊สทั้ง2แห่งกลับคืน หลังจากนั้นการลงทุนทางธุรกิจน่าจะมีความเด่นชัดมากขึ้น เพราะเจ้าหนี้ยอมแฮร์คัตหนี้ให้กว่า7.5 พันล้านบาท และใช้เงินบางส่วนโป๊ะหนี้ที่เหลือไปแล้ว รายได้และกำไรจะกลับมามีให้เห็น เพราะบริษัทไม่มีขาดทุนสะสมติดค้างอยู่ เป้าหมายเข้าเทรดภายใน 15 เดือน ก็มีความเป็นไปได้
**สงสารก็แต่ผู้ถือหุ้นรายย่อยที่ติดเกาะตั้งแต่ครั้งนั้น จะรู้กันครบทุกรายแล้วหรือไม่ ว่าตามแผนฟื้นฟูฯ จะมีการลดทุนจากเดิมลงเหลือประมาณ 10% และจะมีการเพิ่มทุนใหม่เข้ามา ซึ่งจะทำให้สัดส่วนในการถือหุ้นลดลง เช่นเดียวกับกลุ่มผู้ถือหุ้นเก่าอย่าง ลาภวิสุทธิสิน ที่จะเหลือไม่ถึง1%
ส่วนเมื่อกลับมาเทรดได้จริง ใครจะเทขายถอนทุนหลังติดยาว หรือถือยาวเพราะเห็นประโยชน์ ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจส่วนบุคคล เช่นเดียวกับสิทธิในการเข้าซื้อขายบนกระดานของผู้ถือหุ้นกลุ่มเก่าด้วย................!!! **