ASTVผู้จัดการรายวัน/ศรีสะเกษ - รถถังเขมรประชิดชายแดนไทย ร้านค้าชายแดนปิดหวั่นสงคราม “เขมร” กร้าวถ้าเข้าเขตวัดมีปะทะ ลูกคนโตฮุนเซนนำทัพเอง สภาเขมรขู่มีงบรบไทย “บัวแก้ว-มาร์ค” ทำได้แค่ทำหนังสือโต้“เพื่อนบ้านยุติยั่วยุ” ส่วนการชุมนุมวันที่ 6 พันธมิตร ประกาศแตกหัก จี้รัฐบาลกำหนดวัน-เวลาชัดเจนถอนธงเขมร “แซมดิน-ตายแน่”ยื่นฟ้องนายกฯวันนี้ ข้อหาทำติดคุกเขมร "ประวิตร" ยังอ้างธงงานวัด อันเล็กนิดเดียว
วานนี้ (30 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ล่าสุดขณะนี้จากกรณีปัญหาที่ไทยเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาปลดธงชาติกัมพูชาลงจากบริเวณทางเข้าวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ด้านทิศตะวันตกของเขาพระวิหารในพื้นที่อ้างสิทธิ์ 4.6 ตารางกิโลเมตร (ตร.กม.) ทำให้ฝ่ายกัมพูชาเกิดความไม่พอใจไทยเป็นอย่างมากและไม่มีท่าทียอมดำเนินการง่ายๆ หลังจากก่อนหน้านี้ได้ยอมทุบป้ายแผ่นหิน “ที่นี่ คือ กัมพูชา” ทิ้งไปแล้ว
ดังนั้น กัมพูชาจึงได้มีการระดมกำลังทหารจากทุกหน่วยพร้อมอาวุธประจำกายและอาวุธหนัก เข้ามาตรึงกำลังตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชาด้าน จ.ศรีสะเกษ รวมถึง จ.สุรินทร์ พร้อมมีคำสั่งยกเลิกการลาพักของทหารกัมพูชาทุกนาย เพื่อให้กลับมาประจำการที่บริเวณเขาพระวิหารทั้งหมด ขณะเดียวกันได้มีการเคลื่อนรถถังที่มีอยู่ประมาณ 6 คันที่ฐานปฏิบัติการบ้านโกมุย ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการทหารกัมพูชาติดกับอยู่ติดเขาพระวิหารให้หันปากกระบอกปืนรถถังมาทางด้านเขตแดนไทย เพื่อเป็นการพร้อมรบกับทหารไทยอย่างเต็มที่
ขณะทหารไทยยังคงตรึงกำลังตามปกติ ไม่ได้มีการเสริมกำลังทหารเพิ่มเติมแต่อย่างใด แต่ได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อมตลอดเวลา และเฝ้าจับตาติดตามความเคลื่อนไหวฝ่ายทหารกัมพูชาอย่างใกล้ชิด
ขณะที่จุดผ่านแดนถาวรไทย-กัมพูชา ช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งวานนี้ เป็นวันที่เปิดให้มีตลาดนัดชายแดนไทย-กัมพูชา ในฝั่งประเทศไทย ปรากฏว่า บรรยากาศการซื้อขายสินค้าเงียบเหงามากที่สุดในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งและสถานการณ์ตึงเครียดที่บริเวณชายแดนเขาพระวิหารทำให้ประชาชนพ่อค้าแม่ค้าชาวกัมพูชาไม่ค่อยกล้าเดินทางเข้ามาซื้อสินค้าในเขตแดนไทย ส่งผลให้ตลาดนัดชายแดนที่พ่อค้า แม่ค้าชาวไทยนำเอาสินค้ามาวางขายไม่มากนักแต่ก็ยังขายไม่หมด
ส่วนร้านค้าเครื่องอุปโภค บริโภค และร้านขายอาหารต่าง ๆ ที่บริเวณตลาดชายแดนช่องสะงำแห่งนี้ได้ปิดตัวไปแล้วกว่า 20 ร้านมานานกว่า 3 สัปดาห์แล้ว ทั้งนี้เนื่องจากร้านอาหารที่เปิดจำหน่ายอาหาร เมื่อซื้ออาหารมาเพื่อเตรียมขาย แต่เมื่อไม่มีคนซื้อเพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวกัมพูชาที่เข้ามาหารับประทานอาหารไทยในเขตแดนไทย ทำให้อาหารที่ซื้อมาเตรียมไว้ขายเน่าเสีย และขาดทุนทุกวัน จึงจำต้องพากันปิดร้านเกือบหมดทุกร้านแล้วในขณะนี้
**แตกตื่นภาพข่าวรถถังประชิดไทย
ขณะที่ชาวเขมรในตลาดปอยเปต ประเทศกัมพูชา แตกตื่นอีกครั้งเมื่อหนังสือพิมพ์กัมพูชาทะมัย ฉบับประจำวันที่ 30 ม.ค. 54 ได้ลงภาพขบวนทัพรถถัง และรถหุ้มเกราะ ของกองทัพกัมพูชา จำนวน 2 ภาพใหญ่ขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ฯ โดยภาพแรกเป็นภาพขบวนรถหุ้มเกราะล้อยาง หรือ V-150 ติดธงชาติกัมพูชา โดยมีทหารกัมพูชาโบกมืออยู่บนรถ และขบวนรถถังติดเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้องรุ่น BM-21 โดยได้บรรยายใต้ภาพแรกว่า”เคลื่อนทัพไปป้องกันชายแดนไม่ยอมสูญเสียแม้ 1 มิลลิเมตร” และภาพที่สองบรรยายใต้ภาพว่า” เตรียมต่อสู้กับผู้รุกราน” รวมทั้งมีการเคลื่อนยานลำเลียงพลหุ้มเกราะ และรถถังรุ่น ที-55 สภาพใหม่เอี่ยม ที่เพิ่งสั่งซื้อจากสาธารณรัฐยูเครนมาในครั้งนี้
อ้างว่า กองทัพกัมพูชาพร้อมที่จะสู้รบกับผู้รุกรานแล้ว 100% โดยโอ้อวดว่า ทหารกัมพูชาที่ประจำรถถังทุกคัน ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีและมีประสบการณ์จากสงครามภายในประเทศมาแล้ว นอกจากนี้บางส่วนยังได้รับการฝึกมาจากต่างประเทศ และอ้างว่าได้เคลื่อนทัพมาจากศูนย์ฝึกรถถัง จ.กัมปงชะนัง ทางทิศตะวันตก ของกรุงพนมเปญ เพื่อไปป้องกันเขตแดนด้านชายแดนปราสาทพระวิหาร
**“เขมร” กร้าวถ้าเข้าเขตวัดมีปะทะ
รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา วิทยุปลดปล่อยเอเชียรายงานความตึงเครียดพื้นที่ปราสาทพระวิหารว่า ไทยและกัมพูชาเกิดการเผชิญหน้าทางทหารขึ้นอีกครั้งหลังทหารไทยคุกคามโดยเตรียมเคลื่อนกำลังเข้าทำลายซุ้มประตูวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระและปลดธงกัมพูชาหากทางการกัมพูชาปฏิเสธที่จะนำธงลง
กระทรวงกลาโหมกัมพูชาส่งยานเกราะลำเลียงพลและรถถังหลายร้อยคันไปยังพื้นที่ใกล้ปราสาทพระวิหารเพื่อป้องกันไม่ให้ทหารไทยเข้ามาปลดธง เจ้าหน้าที่ทางทหารกัมพูชารายหนึ่งเปิดเผยว่าทหารกัมพูชาและไทยเผชิญหน้ากันตั้งเมื่อช่วงเช้าของวันที่29 ม.ค.
มีการอ้างว่า “ได้มีการขนกำลังทหารไทยหลายร้อยนายเข้ามายังพื้นที่ในค่ำวันพฤหัสบดี เพื่อที่จะเคลื่อนกำลังเข้าบีบบังคับปลดธงกัมพูชา สถานการณ์ตึงเครียดมากและหากทหารไทยยังคงล่วงละเมิดและบุกรุกพื้นที่ห้วงห้ามจะต้องมีการปะทะกันด้วยอาวุธ แต่ถ้าทหารไทยไม่รุกล้ำพื้นที่หวงห้ามก็ไม่มีการปะทะ”
รายงานข่าวแจ้งว่า ผู้บัญชาการที่นำทัพมาครั้งนี้ คือพล.ต.ฮุน มาเนต ผู้บัญชาการกองพล 70 ต่อต้านการก่อการร้าย และ ผบ.กองกำลังอารักขานายกฯ พร้อมด้วย พล.จ.ฮุน มณี ซึ่งเป็นบุตรชายคนโต และคนรองตามลำดับ เดินทางไปควบคุมสถานการณ์ ที่บริเวณวัดแก้วฯ
**สภาเขมร ขู่มีงบประมาณรบไทย
นายเจียม เยียบ (Mr. Cheam Yeap) ประธานกรรมาธิการการเงินและตรวจเงินแผ่นดิน ระบุว่ารัฐสภากัมพูชาได้จัดสรรเงินงบประมาณไว้เพียงพอเพื่อใช้ในการป้องกันแผ่นดินกัมพูชาในกรณีที่ไทยทำสงครามกับกัมพูชา เขาระบุอีกว่า “เราไม่กล่าวว่าดีกว่าหรือเข้มแข็งกว่า แต่เราเป็นเหยื่อซึ่งถูกรุกรานจากบางคน เมื่อเราถูกทำให้เจ็บปวดก่อน เรามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะปกป้องตัวเอง ปกป้องบูรณภาพเหนือดินแดนของเรากว่าพวกที่รุกรานเรา พวกนั้นที่รุกรานเรามีความปรารถนาที่จะต่อสู้ไม่เท่าเรา”
กระทรวงกลาโหมกัมพูชาจัดซื้อยานเกราะลำเลียงพลและรถถัง 96 คันจากประเทศยุโรปตะวันออกเมื่อเดือนกันยายน 2553 อย่างไรก็ตามขีดความสามารถทางทหารกัมพูชาอ่อนแอกว่าขีดความสามารถทางทหารของไทยมาก
**ป้อมอ้างเขมรแค่ป้องกันตัวเอง
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ว่า ทหารกัมพูชาอาจแค่เตรียมป้องกันประเทศซึ่งทางกองทัพไทยก็เตรียม ป้องกันชายแดนประเทศไทยเหมือน ซึ่งต่างคนต่าง ป้องกันในพื้นที่ของตนเองไม่มีปัญหาอะไร และกำลังทหารกับยุทโธปกรณ์ของกัมพูชาที่เสริมกำลังก็อยู่ในประเทศกัมพูชา ส่วนกำลังทหารไทยเราพร้อมเต็มที่ในการดูแลอธิปไตยของไทย
“เชื่อ ว่าคงไม่มีปัญหาอะไรร้ายแรง ทุกอย่างต้องพูดจากัน ที่สำคัญไทยกับกัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านกัน เราจะรบกันเพราะเรื่องอะไร” พล.อ.ประวิตร ระบุ
**ธงงานวัด อันเล็กนิดเดียว
ส่วนที่นายอภิสิทธิ์ ระบุให้เอาธงลงมา พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ธงที่ระบุนั้นเป็นธงของวัดฯที่อยู่หน้าทางเข้าวัดฯ ซึ่งธงนั้นอันนิดเดียวเอง อย่างไรก็ดี ทางนายกฯกับทางกระทรวงต่างประเทศคงจะมีการหารือทางกัมพูชาซึ่งไม่น่ามีปัญหา
เมื่อถามว่าดูเหมือนท่าทีกัมพูชาแข็งกร้าว พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ถ้ากัมพูชาแข็งกร้าวต่อไทยคงไม่รื้อป้ายที่มีข้อความประณามทหารไทย เห็นได้ว่าเขาให้ความร่วมมือต่อเราเป็นอย่างดี ดังนั้น เราจะไปเอาอะไรกับเขาอีกแต่สถานการณ์จะร้อนแรงหรือไม่อยู่ที่การนำเสนอของสื่อมวลชนที่นำเสนอข่าวที่เป็นการยั่วยุ
** มทภ.1 ยันเขมร ไม่ได้เพิ่มกำลังฝั่งบูรพา
พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ตามแนวชายแดนประเทศไทย-กัมพูชา ด้านทิศตะวันออก ว่า สถานการณ์ในพื้นที่ความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 1 ที่ติดชายแดนไทย-กัมพูชาเหตุการณ์ยังเป็นปกติ ไม่มีปัญหา ซึ่งหน่วยข่าวในพื้นที่ได้รายงานยืนยันว่าทางกัมพูชาไม่ได้เพิ่มเติมกำลังทหารหรือเคลื่อนยุทโธปกรณ์เข้ามาในพื้นที่ด้านนี้ อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้เน้นย้ำให้ทหารทุกคนดูแลพื้นที่ตามแนวชายแดนให้เรียบร้อย ซึ่งได้สั่งการให้กองกำลังบูรพาปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มงวดในทุกเรื่อง ทั้งในเรื่องการรักษาความมั่นคงของประเทศ ยาเสพติด และแรงงานต่างด้าว ดังนั้น ขอยืนยันว่าทหารไทยกับกัมพูชาในพื้นที่ยังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
**มทภ.2 เผยสื่อเขมรตีข่าวเรียกคะแนนนิยม
พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์เกี่ยวกับกรณีที่สื่อกัมพูชาออกมาตีข่าวเรื่องการพร้อมรบและทำสงครามกับประเทศไทยว่า เป็นเพียงการสร้างคะแนนนิยมให้ประชาชนชาวกัมพูชามีกำลังใจและความสบายใจ คงไม่มีใครอยากจะทำการสู้รบจริงๆ ซึ่งทั้งไทยและกัมพูชาต่างก็ต้องทำเพื่อรักษาสถานภาพ รักษาอธิปไตยของตนเองเท่านั้น ซึ่งขณะนี้สถานการณ์ตามแนวชายแดนก็ยังเป็นปกติกองทัพไทยไม่ได้มีการเพิ่มกำลังเข้าไปในพื้นที่แต่อย่างใด
ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลว่าการที่สื่อกัมพูชาออกมาตีข่าวและเสนอรูปขบวนรถถัง เพื่อแสดงถึงความพร้อมในการสู้รบนั้นจะทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวชาย แดนแตกตื่นนั้น พล.ท.ธวัชชัย กล่าวว่า คงไม่มีปัญหา เพราะชาวบ้านที่อาศัยอยู่ห่างจากพื้นที่ชายแดนถึงประมาณ 5-10 กิโลเมตร คงไม่มีปัญหาอะไร ทั้งนี้ยืนยันว่าทั้งไทยและกัมพูชายังสามารถพูดคุยกันได้ ยังไม่ถึงกับต้องทำการสู้รบกันอย่างที่หลายฝ่ายกังวล
**กต.แถลงโต้จี้เพื่อนบ้านยุติยั่วยุ
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวภายหลังนายเขียว กันหะริด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโฆษณาข่าวสารกัมพูชา เปิดเผยว่ากัมพูชาเตรียมกำลังพร้อมรบกับไทยฐานมีเจตนารุกดินแดนกัมพูชา พร้อมทั้งกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาออกแถลงการณ์ปฏิเสธความต้องการของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้กัมพูชาปลดธงชาติออกจากวัดแก้วสิขาคีรีสวาระ ใกล้กับปราสาทพระวิหาร โดยอ้างเป็นพื้นที่กัมพูชาว่า ทางกระทรวงฯ ได้ออกแถลงการณ์โต้แย้งแถลงการณ์ของกัมพูชาแล้ว โดยยืนยันว่าไม่ควรมีใครไปอ้างสิทธิในพื้นที่นั้น และขอให้กัมพูชาหยุดพฤติกรรมใดๆ ที่จะเป็นการยั่วยุ หรือออกแถลงการณ์ที่จะทำให้เกิดความขัดแย้ง ขณะที่บันทึกข้อตกลง MOU 2543 เป็นเพียงบันทึกความเข้าใจให้สองประเทศมีกลไกและกรอบการเจรจา ไม่ได้มีผลผูกพันฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตามที่รัฐบาลกัมพูชากล่าวอ้างในแถลงการณ์ดังกล่าว
**พธม.ปัดไม่ร่วมงานเสื้อแดงแน่
อีกด้านที่บริเวณสะพานฆัมวานรังสรรค์ พันธมิตรฯ ชุมนุมเป็นวันที่ 6 โดยพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตร นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกกลุ่ม พธม.และนายประพันธ์ คุณมี อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ร่วมกันแถลงข่าวที่ บริเวณด้านหน้ากระทรวงศึกษาธิการ
นายปานเทพ กล่าวว่า กรณีกระแสข่าวว่ากลุ่มพันธมิตรกับกลุ่ม นปช.หรือกลุ่มคนเสื้อแดงจะมาร่วมชุมนุมด้วยกันนั้น ตนเห็นว่าการปล่อบข่าวลักษณะเช่นนี้น่าจะเป็นววิธีการของรัฐบาลที่มีความมุ่งหมายที่จะลดความน่าเชื่อถือของกลุ่มผู้ชุมนุม ทั้งนี้ตนยืนยันว่าจะไม่มีการวมตัวกันของกลุ่มคนเสื้อแดงและเสื้อเหลืองอย่างแน่นอน เนื่องจากว่ากลุ่มพันธมิตรมีจุดมุ่งหมายในการชุมนุมอย่างชัดเจน คือการปกป้องแผ่นดินไทย ซึ่งแตกต่างจากทางกลุ่มคนเสื้อแดงที่มีเป้าประสงค์เพื่อช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเท่านั้น
**ย้ำพธม.แตกหักทางความคิดกับปชป.
นายประพันธ์ กล่าวว่า กระแสข่าวนี้เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นส่วนบุคคลของนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เท่านั้น ไม่ได้เป็นความเห็นของคนส่วนรวมแต่อย่างใด โดยเมื่อมีแกนนำบางคนขึ้นเวทีปราศรัย และพูดจาเช่นนี้ตนก็จะต้องรีบทักท้วงทันที ขณะเดียวกันในอดีตตนได้รู้จักกับคนในพรรคประชาธิปัตย์เป็นอย่างดี เพราะเมื่อครั้งที่พันธมิตรชุมนุมกัน คนในพรรคประชาธิปัตย์ยังเกณฑ์คนเพื่อให้มารวมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรอยู่เลย ในตอนนี้รัฐบาลรู้สึกหวาดกลัวกลุ่มพันธมิตร เนื่องจากว่าเป็นการชุมนุมที่มีแนวทางที่ชัดเจน ทั้งนี้ตนเห็นว่าการทำงานของรัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศเป็นความล้มเหลว เพราะทั้ง 2 ฝ่ายละเลยในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้นายประพันธ์ยังระบุว่า ตอนนี้กลุ่มพันธมิตรและพรรคประชาธิปัตย์ถือว่าแตกหักกันในเรื่องของความคิดเห็นไปแล้ว
**สิบโมง“ตายแน่”ยื่นฟ้องนายกฯ
พล.ต.จำลอง กล่าวว่า การชุมนุมครั้งนี้จะไม่มีความรุนแรงเกินขึ้น แต่หากรัฐบาลไม่ทำตามข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตร ทางกลุ่มก็จะปักหลักชุมนุมยืดเยื้อเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ส่วนกรณีของปริมาณกลุ่มผู้ชุมนุม ตนไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะของเพียงแค่คนที่มาเข้าร่วมการชุมนุมเป็นคนที่มีความคิดเห็นแบบเดียวกันก็พอแล้ว
ส่วนกรณีข้อเสนอให้มีการจัดเวทีดีเบตระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มพันธมิตรนั้น พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องมีเวทีใด ๆ เกิดขึ้นทั้งนั้น เพราะข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรถือว่าเข้าใจง่ายที่สุดแล้ว จึงไม่ต้องมานั่งพูดคุยเพื่อทำให้เสียเวลามากขึ้นไปอีก ทางทีดีรัฐบาลควรที่จะเอาเวลาไปทำตามข้อเรียกร้องดีกว่า
ทั้งนี้ในวันนี้(31 ม.ค.) ช่วงเวลา 10.00 น. กลุ่มพันธมิตรฯจะยื่นเรื่องฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีร่วมคณะ โดยร.ต.แซมดิน เลิศบุตย์ และนายตายแน่ มุ่งมาจน 2ใน 7 คนไทย จะเดินทางไปยื่นฟ้องข้อหาที่ทำให้ 7 คนไทยเสียโอกาสภายหลังถูกทางการกัมพูชาควบคุมตัว
**ปานเทพจี้กำหนดวันเวลาถอนธงเขมร
ก่อนหน้านั้นช่วงเช้า นายปานเทพ กล่าวว่า ประเด็นภาพที่ปรากฎเป็นธงชาติของกัมพูชา บนซุ้มหน้าประตูวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ โดยได้เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งกดดันทางการกัมพูชา ให้มีการปลดธงดังกล่าวลง พร้อมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี กำหนดวันและเวลาที่แน่ชัด สำหรับการดำเนินการดังกล่าว โดยเร็วด้วย เพราะในตอนนี้ทางรัฐบาลกำลังมีการเปิดเผยต่อสาธารณชนแบบขัดแย้งกันเอง เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ออกมาระบุว่ากำลังเร่งดำเนินการให้ทางกัมพูชาปลดธงชาติลงจากบริเวณดังกล่าว แต่นายสุเทพกลับออกมาโกหกประชาชนว่า เป็นเพียงธงที่ใช้จัดงานวัดเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ทางกัมพูชา กลับออกมาระบุว่าธงชาติดังกล่าวเป็นของกัมพูชา เพราะพื้นที่บริเวณนั้นเป็นของกัมพูชา ซึ่งถือเป็นการแสดงอำนาจในพื้นที่นั้นอย่างเต็มที่ เพราะทางกัมพูชาถือเอาสัญญา MOU ปี 43 มาอ้างสิทธิ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าสัญญาดังกล่าวทำให้ประเทศไทยกำลังเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งนี้ ทางประเทศไทยสามารถดำเนินการจัดการเรื่องนี้ได้ทันที โดยการประกาศว่าพร้อมที่จะใช้กำลังทารทหารในการปะทะ ซึ่งจะทำให้แปนการจัดการมรดกโลกยุติลงทันที แต่รัฐบาลกลับนื่งเฉย ส่วนกรณีของนายสุเทพที่กำลังให้ความเท็จต่อสาธารณชนนั้น ตนคิดว่าคนในระดับนี้น่าจะมีความรับผิดชอบในคำพูดของตัวเอง และการที่ออกมาข่มขู่พันธมิตรอยู่ตลอดเวลานั้น ตนอยากจะเบอกนายสุเทพว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นการดำเนินการตามกฎหมานรัฐธรรมนูญมาตรา 63 ที่สามารถมีสิทธิชุมนุมได้ตามระบอบประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นรัฐบาลไท่มีสิทธิที่จะออกมาช่มขู่พันธมิตร ทั้งนี้หากรัฐบาลกำลังพยายาที่จะหาทางสลายการชุมนุมของกุล่มพันธมิตร ตนคิดว่ารัฐบาลน่าจะเอาเวลาไปแก้ไขปัญหาดินแดนกับทางกัมพูชาน่าจะมีประโยชน์กว่า
**ชี้ไม่เสียเปรียบถอนตัวมรดกโลก
ตนคิดว่าแสงยานุภาพทางการทหารของประเทศไทยนั้นดีกว่าทางกัมพูชาแน่นอน เพราะแสนยานุภาพทางการทหารของประเทศไทยอยู่ลำดับที่ 28 ของโลก และอยู่ลำดับที่ 2 ของอาเซียน ซึ่งทางกัมพูชาไม่อยู่ในสารบบที่จะเทียบกับไทยได้ ดังนั้นแสนยานุภาพทางการทหารสามารถใช้ได้ โดยไม่ต้องมีการรบจริง รวมทั้งการผลักดันไม่จำเป็นต้องใช้กำลังทางสงครามเสมอไป และในความเป็นจริงแล้วการที่รัฐบาลกลัวที่เกิดสงครามนั้นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะประเทศไทยไม่ได้ไปรุกรานดินแดนของกัมพูชา ซึ่งเราก็มีหลักฐานมามากแล้ว ดังนั้นการเกิดสงครามไม่สามารถเป็นไปได้แน่นอน อีกทั้งนายกรัฐมนตรียังกังวลว่าหากประเทศไทยถอนตัวออกจากคณะกรรมาการมรดกโลกจะทำให้กัมพูชาได้เปรียบนั้น ตนคิดว่านายอภิสิทธิ์กำลังเข้าใจผิด เพราะการที่ไทยยังอยู่ในที่ประชุมของมรดกโลกทำให้ไทยต้องรับฟังเสียงจากประเทศส่วนใหญ่ และทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบอยู่ในขณะนี้ต่างหาก
**ตั้งฉายาเทือก“ฝ่ายความง่อนแง่น”
ด้านพล.ต.จำลอง กล่าวว่า หากรัฐบาลทำการสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรในวันนี้ พรุ่งนี้กลุ่มพันธมิตรก็จะกลับมาใหม่ เพราะฉะนั้นตนติดว่ารัฐบาลอย่ามาเสียเวลาจะดีกว่า เพราะรัฐบาลไม่สามารถทำได้สำเร็จอย่างแน่นอน เพราะแผ่นดินนี้คือของคนไทย ไม่ใช่ของกัมพูชา ซึ่งการกระทำของนายสุเทพตนคิดว่าน่าจะเปลี่ยนเป็นตำแนห่ง รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความง่อนแง่นมากกว่า ซึ่งข้อเรียกร้องของพันธมิตรทำเพื่อปกป้องแผนดินของประเทศไทย เมื่อเห็นว่ารัฐบาลทำไม่ถูก ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่ปกป้องประเทศชาติแต่ทำไม่ได้ การชุมนุมจึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการกดดันการทำงานของรัฐบาล ทั้งนี้หากนายอภิสิทธิ์ทำตามข้อเรียกร้องได้เมื่อใด พวกตนก็พร้อมที่จะเดินทางกลับบ้านทันที แต่ถ้านายอภิสิทธิ์ยังไม่ยอมรับข้อเรียกร้องของพวกตน กลุ่มพันธมิตรก็จะปักหลักอยู่ที่นี้ต่อไป อีกทั้งพวกตนยังมีความไม่มืออาชีพที่หากตัดสินใจเข้าทำเนียบเมื่อใด นายกรัฐมนตรีก็จะอยู่ไม่ได้เมื่อนั้น กลุ่มพันธมิตรไม่อยากที่จะข่มขู่รัฐบาล แต่รัฐบาลข่มขู่พวกเรามาโดยตลอด
ทั้งนี้ข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรมาจากการปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญแล้วว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพื่อไม่ให้ประเทศไทยเสียดินแดนไปมากกว่านี้ คนที่เป็นนายกฯมีหน้าที่แกไขปัญหา แต่หากไม่ต้องการแก้ก็ให้ออกไปทำอย่างอื่นแทน
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการยกระดับการชุมนุมเมื่อใดนั้น พล.ต.จำลอง กล่าวว่า คงจะต้องพิจารณาไปในที่ละวัน ว่ามีความคืบหน้าอย่างใด ซึ่งคงยังไม่สามารถกำหนดได้ในตอนนี้
**เทือกไม่กังวลเขมรขนทหาร-รถถัง
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง รักษาการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายเขียว กันหาริด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโฆษณา ข่าวสารกัมพูชาและโฆษกรัฐบาลกัมพูชา ออกมาให้แถลงด้วยท่าทีแข็งกร้าวว่ากัมพูชาพร้อมรบกับไทย โดยมีการขนทหารพร้อมรถถังและอาวุธหนักประชิดชายแดนไทย ว่า พยายามจะพูดจาให้พี่น้องคนไทยได้สบายใจ ไม่รู้สึกที่จะวิตกกังวลเคร่งเครียด เพราะว่าในสถานการณ์ปัจจุบันมีแต่คนพยายามที่จะยุยงให้เราทะเลาะกับเพื่อนบ้านมันไม่มีประโยชน์ ไม่มีใครเขาทำกันในโลกนี้ มีแต่ต้องหาทางอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านให้สันติมีอะไรก็ปรึกษาหารือกัน นี่คือวิธีการปฏิบัติกันทั่วไป และการเสนอข่าวก็เหมือนกันไม่ใช่ว่าข้างเราพูดอย่างนี้ข้างเขาพูดอย่างนั้น ยุกันอยู่ทุกวันก็ไม่สงบเรียบร้อย
“ยืนยันว่าประการที่ 1 กำลังของกองทัพไทยเราเข้มแข็งพอ และมีความพร้อมที่จะปกป้องอธิปไตยของประเทศ ประการที่ 2 เจ้าหน้าที่ทางกองทัพได้รับมอบนโยบายไปชัดเจนว่า จะไม่เพิ่มความตึงเครียดให้เกิดขึ้นในบริเวณแนวชายแดนทุกด้าน ประการที่ 3 ทิศทางของรัฐบาล รัฐบาลเดินหน้าที่จะเจรจาพูดคุยกับเพื่อนบ้านในทุกเรื่องทุกประเด็น บางเรื่องเจรจาเสร็จเร็ว เสร็จช้า ไม่เป็นไรยังเจรจากันต่อไป และยืนยันกับพี่น้องประชาชนว่า รัฐบาลจะไม่ยอมให้สูญเสียพื้นที่อาณาเขตใดๆ ทั้งสิ้น” นายสุเทพกล่าว.
วานนี้ (30 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ล่าสุดขณะนี้จากกรณีปัญหาที่ไทยเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาปลดธงชาติกัมพูชาลงจากบริเวณทางเข้าวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ด้านทิศตะวันตกของเขาพระวิหารในพื้นที่อ้างสิทธิ์ 4.6 ตารางกิโลเมตร (ตร.กม.) ทำให้ฝ่ายกัมพูชาเกิดความไม่พอใจไทยเป็นอย่างมากและไม่มีท่าทียอมดำเนินการง่ายๆ หลังจากก่อนหน้านี้ได้ยอมทุบป้ายแผ่นหิน “ที่นี่ คือ กัมพูชา” ทิ้งไปแล้ว
ดังนั้น กัมพูชาจึงได้มีการระดมกำลังทหารจากทุกหน่วยพร้อมอาวุธประจำกายและอาวุธหนัก เข้ามาตรึงกำลังตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชาด้าน จ.ศรีสะเกษ รวมถึง จ.สุรินทร์ พร้อมมีคำสั่งยกเลิกการลาพักของทหารกัมพูชาทุกนาย เพื่อให้กลับมาประจำการที่บริเวณเขาพระวิหารทั้งหมด ขณะเดียวกันได้มีการเคลื่อนรถถังที่มีอยู่ประมาณ 6 คันที่ฐานปฏิบัติการบ้านโกมุย ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการทหารกัมพูชาติดกับอยู่ติดเขาพระวิหารให้หันปากกระบอกปืนรถถังมาทางด้านเขตแดนไทย เพื่อเป็นการพร้อมรบกับทหารไทยอย่างเต็มที่
ขณะทหารไทยยังคงตรึงกำลังตามปกติ ไม่ได้มีการเสริมกำลังทหารเพิ่มเติมแต่อย่างใด แต่ได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อมตลอดเวลา และเฝ้าจับตาติดตามความเคลื่อนไหวฝ่ายทหารกัมพูชาอย่างใกล้ชิด
ขณะที่จุดผ่านแดนถาวรไทย-กัมพูชา ช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งวานนี้ เป็นวันที่เปิดให้มีตลาดนัดชายแดนไทย-กัมพูชา ในฝั่งประเทศไทย ปรากฏว่า บรรยากาศการซื้อขายสินค้าเงียบเหงามากที่สุดในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งและสถานการณ์ตึงเครียดที่บริเวณชายแดนเขาพระวิหารทำให้ประชาชนพ่อค้าแม่ค้าชาวกัมพูชาไม่ค่อยกล้าเดินทางเข้ามาซื้อสินค้าในเขตแดนไทย ส่งผลให้ตลาดนัดชายแดนที่พ่อค้า แม่ค้าชาวไทยนำเอาสินค้ามาวางขายไม่มากนักแต่ก็ยังขายไม่หมด
ส่วนร้านค้าเครื่องอุปโภค บริโภค และร้านขายอาหารต่าง ๆ ที่บริเวณตลาดชายแดนช่องสะงำแห่งนี้ได้ปิดตัวไปแล้วกว่า 20 ร้านมานานกว่า 3 สัปดาห์แล้ว ทั้งนี้เนื่องจากร้านอาหารที่เปิดจำหน่ายอาหาร เมื่อซื้ออาหารมาเพื่อเตรียมขาย แต่เมื่อไม่มีคนซื้อเพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวกัมพูชาที่เข้ามาหารับประทานอาหารไทยในเขตแดนไทย ทำให้อาหารที่ซื้อมาเตรียมไว้ขายเน่าเสีย และขาดทุนทุกวัน จึงจำต้องพากันปิดร้านเกือบหมดทุกร้านแล้วในขณะนี้
**แตกตื่นภาพข่าวรถถังประชิดไทย
ขณะที่ชาวเขมรในตลาดปอยเปต ประเทศกัมพูชา แตกตื่นอีกครั้งเมื่อหนังสือพิมพ์กัมพูชาทะมัย ฉบับประจำวันที่ 30 ม.ค. 54 ได้ลงภาพขบวนทัพรถถัง และรถหุ้มเกราะ ของกองทัพกัมพูชา จำนวน 2 ภาพใหญ่ขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ฯ โดยภาพแรกเป็นภาพขบวนรถหุ้มเกราะล้อยาง หรือ V-150 ติดธงชาติกัมพูชา โดยมีทหารกัมพูชาโบกมืออยู่บนรถ และขบวนรถถังติดเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้องรุ่น BM-21 โดยได้บรรยายใต้ภาพแรกว่า”เคลื่อนทัพไปป้องกันชายแดนไม่ยอมสูญเสียแม้ 1 มิลลิเมตร” และภาพที่สองบรรยายใต้ภาพว่า” เตรียมต่อสู้กับผู้รุกราน” รวมทั้งมีการเคลื่อนยานลำเลียงพลหุ้มเกราะ และรถถังรุ่น ที-55 สภาพใหม่เอี่ยม ที่เพิ่งสั่งซื้อจากสาธารณรัฐยูเครนมาในครั้งนี้
อ้างว่า กองทัพกัมพูชาพร้อมที่จะสู้รบกับผู้รุกรานแล้ว 100% โดยโอ้อวดว่า ทหารกัมพูชาที่ประจำรถถังทุกคัน ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีและมีประสบการณ์จากสงครามภายในประเทศมาแล้ว นอกจากนี้บางส่วนยังได้รับการฝึกมาจากต่างประเทศ และอ้างว่าได้เคลื่อนทัพมาจากศูนย์ฝึกรถถัง จ.กัมปงชะนัง ทางทิศตะวันตก ของกรุงพนมเปญ เพื่อไปป้องกันเขตแดนด้านชายแดนปราสาทพระวิหาร
**“เขมร” กร้าวถ้าเข้าเขตวัดมีปะทะ
รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา วิทยุปลดปล่อยเอเชียรายงานความตึงเครียดพื้นที่ปราสาทพระวิหารว่า ไทยและกัมพูชาเกิดการเผชิญหน้าทางทหารขึ้นอีกครั้งหลังทหารไทยคุกคามโดยเตรียมเคลื่อนกำลังเข้าทำลายซุ้มประตูวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระและปลดธงกัมพูชาหากทางการกัมพูชาปฏิเสธที่จะนำธงลง
กระทรวงกลาโหมกัมพูชาส่งยานเกราะลำเลียงพลและรถถังหลายร้อยคันไปยังพื้นที่ใกล้ปราสาทพระวิหารเพื่อป้องกันไม่ให้ทหารไทยเข้ามาปลดธง เจ้าหน้าที่ทางทหารกัมพูชารายหนึ่งเปิดเผยว่าทหารกัมพูชาและไทยเผชิญหน้ากันตั้งเมื่อช่วงเช้าของวันที่29 ม.ค.
มีการอ้างว่า “ได้มีการขนกำลังทหารไทยหลายร้อยนายเข้ามายังพื้นที่ในค่ำวันพฤหัสบดี เพื่อที่จะเคลื่อนกำลังเข้าบีบบังคับปลดธงกัมพูชา สถานการณ์ตึงเครียดมากและหากทหารไทยยังคงล่วงละเมิดและบุกรุกพื้นที่ห้วงห้ามจะต้องมีการปะทะกันด้วยอาวุธ แต่ถ้าทหารไทยไม่รุกล้ำพื้นที่หวงห้ามก็ไม่มีการปะทะ”
รายงานข่าวแจ้งว่า ผู้บัญชาการที่นำทัพมาครั้งนี้ คือพล.ต.ฮุน มาเนต ผู้บัญชาการกองพล 70 ต่อต้านการก่อการร้าย และ ผบ.กองกำลังอารักขานายกฯ พร้อมด้วย พล.จ.ฮุน มณี ซึ่งเป็นบุตรชายคนโต และคนรองตามลำดับ เดินทางไปควบคุมสถานการณ์ ที่บริเวณวัดแก้วฯ
**สภาเขมร ขู่มีงบประมาณรบไทย
นายเจียม เยียบ (Mr. Cheam Yeap) ประธานกรรมาธิการการเงินและตรวจเงินแผ่นดิน ระบุว่ารัฐสภากัมพูชาได้จัดสรรเงินงบประมาณไว้เพียงพอเพื่อใช้ในการป้องกันแผ่นดินกัมพูชาในกรณีที่ไทยทำสงครามกับกัมพูชา เขาระบุอีกว่า “เราไม่กล่าวว่าดีกว่าหรือเข้มแข็งกว่า แต่เราเป็นเหยื่อซึ่งถูกรุกรานจากบางคน เมื่อเราถูกทำให้เจ็บปวดก่อน เรามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะปกป้องตัวเอง ปกป้องบูรณภาพเหนือดินแดนของเรากว่าพวกที่รุกรานเรา พวกนั้นที่รุกรานเรามีความปรารถนาที่จะต่อสู้ไม่เท่าเรา”
กระทรวงกลาโหมกัมพูชาจัดซื้อยานเกราะลำเลียงพลและรถถัง 96 คันจากประเทศยุโรปตะวันออกเมื่อเดือนกันยายน 2553 อย่างไรก็ตามขีดความสามารถทางทหารกัมพูชาอ่อนแอกว่าขีดความสามารถทางทหารของไทยมาก
**ป้อมอ้างเขมรแค่ป้องกันตัวเอง
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ว่า ทหารกัมพูชาอาจแค่เตรียมป้องกันประเทศซึ่งทางกองทัพไทยก็เตรียม ป้องกันชายแดนประเทศไทยเหมือน ซึ่งต่างคนต่าง ป้องกันในพื้นที่ของตนเองไม่มีปัญหาอะไร และกำลังทหารกับยุทโธปกรณ์ของกัมพูชาที่เสริมกำลังก็อยู่ในประเทศกัมพูชา ส่วนกำลังทหารไทยเราพร้อมเต็มที่ในการดูแลอธิปไตยของไทย
“เชื่อ ว่าคงไม่มีปัญหาอะไรร้ายแรง ทุกอย่างต้องพูดจากัน ที่สำคัญไทยกับกัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านกัน เราจะรบกันเพราะเรื่องอะไร” พล.อ.ประวิตร ระบุ
**ธงงานวัด อันเล็กนิดเดียว
ส่วนที่นายอภิสิทธิ์ ระบุให้เอาธงลงมา พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ธงที่ระบุนั้นเป็นธงของวัดฯที่อยู่หน้าทางเข้าวัดฯ ซึ่งธงนั้นอันนิดเดียวเอง อย่างไรก็ดี ทางนายกฯกับทางกระทรวงต่างประเทศคงจะมีการหารือทางกัมพูชาซึ่งไม่น่ามีปัญหา
เมื่อถามว่าดูเหมือนท่าทีกัมพูชาแข็งกร้าว พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ถ้ากัมพูชาแข็งกร้าวต่อไทยคงไม่รื้อป้ายที่มีข้อความประณามทหารไทย เห็นได้ว่าเขาให้ความร่วมมือต่อเราเป็นอย่างดี ดังนั้น เราจะไปเอาอะไรกับเขาอีกแต่สถานการณ์จะร้อนแรงหรือไม่อยู่ที่การนำเสนอของสื่อมวลชนที่นำเสนอข่าวที่เป็นการยั่วยุ
** มทภ.1 ยันเขมร ไม่ได้เพิ่มกำลังฝั่งบูรพา
พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ตามแนวชายแดนประเทศไทย-กัมพูชา ด้านทิศตะวันออก ว่า สถานการณ์ในพื้นที่ความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 1 ที่ติดชายแดนไทย-กัมพูชาเหตุการณ์ยังเป็นปกติ ไม่มีปัญหา ซึ่งหน่วยข่าวในพื้นที่ได้รายงานยืนยันว่าทางกัมพูชาไม่ได้เพิ่มเติมกำลังทหารหรือเคลื่อนยุทโธปกรณ์เข้ามาในพื้นที่ด้านนี้ อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้เน้นย้ำให้ทหารทุกคนดูแลพื้นที่ตามแนวชายแดนให้เรียบร้อย ซึ่งได้สั่งการให้กองกำลังบูรพาปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มงวดในทุกเรื่อง ทั้งในเรื่องการรักษาความมั่นคงของประเทศ ยาเสพติด และแรงงานต่างด้าว ดังนั้น ขอยืนยันว่าทหารไทยกับกัมพูชาในพื้นที่ยังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
**มทภ.2 เผยสื่อเขมรตีข่าวเรียกคะแนนนิยม
พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์เกี่ยวกับกรณีที่สื่อกัมพูชาออกมาตีข่าวเรื่องการพร้อมรบและทำสงครามกับประเทศไทยว่า เป็นเพียงการสร้างคะแนนนิยมให้ประชาชนชาวกัมพูชามีกำลังใจและความสบายใจ คงไม่มีใครอยากจะทำการสู้รบจริงๆ ซึ่งทั้งไทยและกัมพูชาต่างก็ต้องทำเพื่อรักษาสถานภาพ รักษาอธิปไตยของตนเองเท่านั้น ซึ่งขณะนี้สถานการณ์ตามแนวชายแดนก็ยังเป็นปกติกองทัพไทยไม่ได้มีการเพิ่มกำลังเข้าไปในพื้นที่แต่อย่างใด
ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลว่าการที่สื่อกัมพูชาออกมาตีข่าวและเสนอรูปขบวนรถถัง เพื่อแสดงถึงความพร้อมในการสู้รบนั้นจะทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวชาย แดนแตกตื่นนั้น พล.ท.ธวัชชัย กล่าวว่า คงไม่มีปัญหา เพราะชาวบ้านที่อาศัยอยู่ห่างจากพื้นที่ชายแดนถึงประมาณ 5-10 กิโลเมตร คงไม่มีปัญหาอะไร ทั้งนี้ยืนยันว่าทั้งไทยและกัมพูชายังสามารถพูดคุยกันได้ ยังไม่ถึงกับต้องทำการสู้รบกันอย่างที่หลายฝ่ายกังวล
**กต.แถลงโต้จี้เพื่อนบ้านยุติยั่วยุ
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวภายหลังนายเขียว กันหะริด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโฆษณาข่าวสารกัมพูชา เปิดเผยว่ากัมพูชาเตรียมกำลังพร้อมรบกับไทยฐานมีเจตนารุกดินแดนกัมพูชา พร้อมทั้งกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาออกแถลงการณ์ปฏิเสธความต้องการของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้กัมพูชาปลดธงชาติออกจากวัดแก้วสิขาคีรีสวาระ ใกล้กับปราสาทพระวิหาร โดยอ้างเป็นพื้นที่กัมพูชาว่า ทางกระทรวงฯ ได้ออกแถลงการณ์โต้แย้งแถลงการณ์ของกัมพูชาแล้ว โดยยืนยันว่าไม่ควรมีใครไปอ้างสิทธิในพื้นที่นั้น และขอให้กัมพูชาหยุดพฤติกรรมใดๆ ที่จะเป็นการยั่วยุ หรือออกแถลงการณ์ที่จะทำให้เกิดความขัดแย้ง ขณะที่บันทึกข้อตกลง MOU 2543 เป็นเพียงบันทึกความเข้าใจให้สองประเทศมีกลไกและกรอบการเจรจา ไม่ได้มีผลผูกพันฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตามที่รัฐบาลกัมพูชากล่าวอ้างในแถลงการณ์ดังกล่าว
**พธม.ปัดไม่ร่วมงานเสื้อแดงแน่
อีกด้านที่บริเวณสะพานฆัมวานรังสรรค์ พันธมิตรฯ ชุมนุมเป็นวันที่ 6 โดยพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตร นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกกลุ่ม พธม.และนายประพันธ์ คุณมี อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ร่วมกันแถลงข่าวที่ บริเวณด้านหน้ากระทรวงศึกษาธิการ
นายปานเทพ กล่าวว่า กรณีกระแสข่าวว่ากลุ่มพันธมิตรกับกลุ่ม นปช.หรือกลุ่มคนเสื้อแดงจะมาร่วมชุมนุมด้วยกันนั้น ตนเห็นว่าการปล่อบข่าวลักษณะเช่นนี้น่าจะเป็นววิธีการของรัฐบาลที่มีความมุ่งหมายที่จะลดความน่าเชื่อถือของกลุ่มผู้ชุมนุม ทั้งนี้ตนยืนยันว่าจะไม่มีการวมตัวกันของกลุ่มคนเสื้อแดงและเสื้อเหลืองอย่างแน่นอน เนื่องจากว่ากลุ่มพันธมิตรมีจุดมุ่งหมายในการชุมนุมอย่างชัดเจน คือการปกป้องแผ่นดินไทย ซึ่งแตกต่างจากทางกลุ่มคนเสื้อแดงที่มีเป้าประสงค์เพื่อช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเท่านั้น
**ย้ำพธม.แตกหักทางความคิดกับปชป.
นายประพันธ์ กล่าวว่า กระแสข่าวนี้เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นส่วนบุคคลของนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เท่านั้น ไม่ได้เป็นความเห็นของคนส่วนรวมแต่อย่างใด โดยเมื่อมีแกนนำบางคนขึ้นเวทีปราศรัย และพูดจาเช่นนี้ตนก็จะต้องรีบทักท้วงทันที ขณะเดียวกันในอดีตตนได้รู้จักกับคนในพรรคประชาธิปัตย์เป็นอย่างดี เพราะเมื่อครั้งที่พันธมิตรชุมนุมกัน คนในพรรคประชาธิปัตย์ยังเกณฑ์คนเพื่อให้มารวมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรอยู่เลย ในตอนนี้รัฐบาลรู้สึกหวาดกลัวกลุ่มพันธมิตร เนื่องจากว่าเป็นการชุมนุมที่มีแนวทางที่ชัดเจน ทั้งนี้ตนเห็นว่าการทำงานของรัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศเป็นความล้มเหลว เพราะทั้ง 2 ฝ่ายละเลยในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้นายประพันธ์ยังระบุว่า ตอนนี้กลุ่มพันธมิตรและพรรคประชาธิปัตย์ถือว่าแตกหักกันในเรื่องของความคิดเห็นไปแล้ว
**สิบโมง“ตายแน่”ยื่นฟ้องนายกฯ
พล.ต.จำลอง กล่าวว่า การชุมนุมครั้งนี้จะไม่มีความรุนแรงเกินขึ้น แต่หากรัฐบาลไม่ทำตามข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตร ทางกลุ่มก็จะปักหลักชุมนุมยืดเยื้อเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ส่วนกรณีของปริมาณกลุ่มผู้ชุมนุม ตนไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะของเพียงแค่คนที่มาเข้าร่วมการชุมนุมเป็นคนที่มีความคิดเห็นแบบเดียวกันก็พอแล้ว
ส่วนกรณีข้อเสนอให้มีการจัดเวทีดีเบตระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มพันธมิตรนั้น พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องมีเวทีใด ๆ เกิดขึ้นทั้งนั้น เพราะข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรถือว่าเข้าใจง่ายที่สุดแล้ว จึงไม่ต้องมานั่งพูดคุยเพื่อทำให้เสียเวลามากขึ้นไปอีก ทางทีดีรัฐบาลควรที่จะเอาเวลาไปทำตามข้อเรียกร้องดีกว่า
ทั้งนี้ในวันนี้(31 ม.ค.) ช่วงเวลา 10.00 น. กลุ่มพันธมิตรฯจะยื่นเรื่องฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีร่วมคณะ โดยร.ต.แซมดิน เลิศบุตย์ และนายตายแน่ มุ่งมาจน 2ใน 7 คนไทย จะเดินทางไปยื่นฟ้องข้อหาที่ทำให้ 7 คนไทยเสียโอกาสภายหลังถูกทางการกัมพูชาควบคุมตัว
**ปานเทพจี้กำหนดวันเวลาถอนธงเขมร
ก่อนหน้านั้นช่วงเช้า นายปานเทพ กล่าวว่า ประเด็นภาพที่ปรากฎเป็นธงชาติของกัมพูชา บนซุ้มหน้าประตูวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ โดยได้เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งกดดันทางการกัมพูชา ให้มีการปลดธงดังกล่าวลง พร้อมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี กำหนดวันและเวลาที่แน่ชัด สำหรับการดำเนินการดังกล่าว โดยเร็วด้วย เพราะในตอนนี้ทางรัฐบาลกำลังมีการเปิดเผยต่อสาธารณชนแบบขัดแย้งกันเอง เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ออกมาระบุว่ากำลังเร่งดำเนินการให้ทางกัมพูชาปลดธงชาติลงจากบริเวณดังกล่าว แต่นายสุเทพกลับออกมาโกหกประชาชนว่า เป็นเพียงธงที่ใช้จัดงานวัดเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ทางกัมพูชา กลับออกมาระบุว่าธงชาติดังกล่าวเป็นของกัมพูชา เพราะพื้นที่บริเวณนั้นเป็นของกัมพูชา ซึ่งถือเป็นการแสดงอำนาจในพื้นที่นั้นอย่างเต็มที่ เพราะทางกัมพูชาถือเอาสัญญา MOU ปี 43 มาอ้างสิทธิ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าสัญญาดังกล่าวทำให้ประเทศไทยกำลังเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งนี้ ทางประเทศไทยสามารถดำเนินการจัดการเรื่องนี้ได้ทันที โดยการประกาศว่าพร้อมที่จะใช้กำลังทารทหารในการปะทะ ซึ่งจะทำให้แปนการจัดการมรดกโลกยุติลงทันที แต่รัฐบาลกลับนื่งเฉย ส่วนกรณีของนายสุเทพที่กำลังให้ความเท็จต่อสาธารณชนนั้น ตนคิดว่าคนในระดับนี้น่าจะมีความรับผิดชอบในคำพูดของตัวเอง และการที่ออกมาข่มขู่พันธมิตรอยู่ตลอดเวลานั้น ตนอยากจะเบอกนายสุเทพว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นการดำเนินการตามกฎหมานรัฐธรรมนูญมาตรา 63 ที่สามารถมีสิทธิชุมนุมได้ตามระบอบประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นรัฐบาลไท่มีสิทธิที่จะออกมาช่มขู่พันธมิตร ทั้งนี้หากรัฐบาลกำลังพยายาที่จะหาทางสลายการชุมนุมของกุล่มพันธมิตร ตนคิดว่ารัฐบาลน่าจะเอาเวลาไปแก้ไขปัญหาดินแดนกับทางกัมพูชาน่าจะมีประโยชน์กว่า
**ชี้ไม่เสียเปรียบถอนตัวมรดกโลก
ตนคิดว่าแสงยานุภาพทางการทหารของประเทศไทยนั้นดีกว่าทางกัมพูชาแน่นอน เพราะแสนยานุภาพทางการทหารของประเทศไทยอยู่ลำดับที่ 28 ของโลก และอยู่ลำดับที่ 2 ของอาเซียน ซึ่งทางกัมพูชาไม่อยู่ในสารบบที่จะเทียบกับไทยได้ ดังนั้นแสนยานุภาพทางการทหารสามารถใช้ได้ โดยไม่ต้องมีการรบจริง รวมทั้งการผลักดันไม่จำเป็นต้องใช้กำลังทางสงครามเสมอไป และในความเป็นจริงแล้วการที่รัฐบาลกลัวที่เกิดสงครามนั้นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะประเทศไทยไม่ได้ไปรุกรานดินแดนของกัมพูชา ซึ่งเราก็มีหลักฐานมามากแล้ว ดังนั้นการเกิดสงครามไม่สามารถเป็นไปได้แน่นอน อีกทั้งนายกรัฐมนตรียังกังวลว่าหากประเทศไทยถอนตัวออกจากคณะกรรมาการมรดกโลกจะทำให้กัมพูชาได้เปรียบนั้น ตนคิดว่านายอภิสิทธิ์กำลังเข้าใจผิด เพราะการที่ไทยยังอยู่ในที่ประชุมของมรดกโลกทำให้ไทยต้องรับฟังเสียงจากประเทศส่วนใหญ่ และทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบอยู่ในขณะนี้ต่างหาก
**ตั้งฉายาเทือก“ฝ่ายความง่อนแง่น”
ด้านพล.ต.จำลอง กล่าวว่า หากรัฐบาลทำการสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรในวันนี้ พรุ่งนี้กลุ่มพันธมิตรก็จะกลับมาใหม่ เพราะฉะนั้นตนติดว่ารัฐบาลอย่ามาเสียเวลาจะดีกว่า เพราะรัฐบาลไม่สามารถทำได้สำเร็จอย่างแน่นอน เพราะแผ่นดินนี้คือของคนไทย ไม่ใช่ของกัมพูชา ซึ่งการกระทำของนายสุเทพตนคิดว่าน่าจะเปลี่ยนเป็นตำแนห่ง รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความง่อนแง่นมากกว่า ซึ่งข้อเรียกร้องของพันธมิตรทำเพื่อปกป้องแผนดินของประเทศไทย เมื่อเห็นว่ารัฐบาลทำไม่ถูก ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่ปกป้องประเทศชาติแต่ทำไม่ได้ การชุมนุมจึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการกดดันการทำงานของรัฐบาล ทั้งนี้หากนายอภิสิทธิ์ทำตามข้อเรียกร้องได้เมื่อใด พวกตนก็พร้อมที่จะเดินทางกลับบ้านทันที แต่ถ้านายอภิสิทธิ์ยังไม่ยอมรับข้อเรียกร้องของพวกตน กลุ่มพันธมิตรก็จะปักหลักอยู่ที่นี้ต่อไป อีกทั้งพวกตนยังมีความไม่มืออาชีพที่หากตัดสินใจเข้าทำเนียบเมื่อใด นายกรัฐมนตรีก็จะอยู่ไม่ได้เมื่อนั้น กลุ่มพันธมิตรไม่อยากที่จะข่มขู่รัฐบาล แต่รัฐบาลข่มขู่พวกเรามาโดยตลอด
ทั้งนี้ข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรมาจากการปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญแล้วว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพื่อไม่ให้ประเทศไทยเสียดินแดนไปมากกว่านี้ คนที่เป็นนายกฯมีหน้าที่แกไขปัญหา แต่หากไม่ต้องการแก้ก็ให้ออกไปทำอย่างอื่นแทน
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการยกระดับการชุมนุมเมื่อใดนั้น พล.ต.จำลอง กล่าวว่า คงจะต้องพิจารณาไปในที่ละวัน ว่ามีความคืบหน้าอย่างใด ซึ่งคงยังไม่สามารถกำหนดได้ในตอนนี้
**เทือกไม่กังวลเขมรขนทหาร-รถถัง
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง รักษาการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายเขียว กันหาริด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโฆษณา ข่าวสารกัมพูชาและโฆษกรัฐบาลกัมพูชา ออกมาให้แถลงด้วยท่าทีแข็งกร้าวว่ากัมพูชาพร้อมรบกับไทย โดยมีการขนทหารพร้อมรถถังและอาวุธหนักประชิดชายแดนไทย ว่า พยายามจะพูดจาให้พี่น้องคนไทยได้สบายใจ ไม่รู้สึกที่จะวิตกกังวลเคร่งเครียด เพราะว่าในสถานการณ์ปัจจุบันมีแต่คนพยายามที่จะยุยงให้เราทะเลาะกับเพื่อนบ้านมันไม่มีประโยชน์ ไม่มีใครเขาทำกันในโลกนี้ มีแต่ต้องหาทางอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านให้สันติมีอะไรก็ปรึกษาหารือกัน นี่คือวิธีการปฏิบัติกันทั่วไป และการเสนอข่าวก็เหมือนกันไม่ใช่ว่าข้างเราพูดอย่างนี้ข้างเขาพูดอย่างนั้น ยุกันอยู่ทุกวันก็ไม่สงบเรียบร้อย
“ยืนยันว่าประการที่ 1 กำลังของกองทัพไทยเราเข้มแข็งพอ และมีความพร้อมที่จะปกป้องอธิปไตยของประเทศ ประการที่ 2 เจ้าหน้าที่ทางกองทัพได้รับมอบนโยบายไปชัดเจนว่า จะไม่เพิ่มความตึงเครียดให้เกิดขึ้นในบริเวณแนวชายแดนทุกด้าน ประการที่ 3 ทิศทางของรัฐบาล รัฐบาลเดินหน้าที่จะเจรจาพูดคุยกับเพื่อนบ้านในทุกเรื่องทุกประเด็น บางเรื่องเจรจาเสร็จเร็ว เสร็จช้า ไม่เป็นไรยังเจรจากันต่อไป และยืนยันกับพี่น้องประชาชนว่า รัฐบาลจะไม่ยอมให้สูญเสียพื้นที่อาณาเขตใดๆ ทั้งสิ้น” นายสุเทพกล่าว.