ผมได้รู้จักและพบปะพูดคุยกับนายกษิต ภิรมย์ ก็ในช่วงเวลาที่มีการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ภาคสอง ที่ใช้เวลาต่อสู้กับระบอบทักษิณ อย่างยืดเยื้อยาวนานที่สุดถึง 193 วัน รู้จักท่านในฐานะที่ท่านเป็นอดีตเอกอัครราชทูตไทย ที่มาขึ้นเวทีปราศรัยของการชุมนุมในฐานะวิทยากรผู้มีความรู้ด้านการเมือง การทูตระหว่างประเทศ ที่แสดงจุดยืนต่อต้านและคัดค้านระบอบทักษิณอย่างเอาจริงเอาจังคนหนึ่ง ผมรู้สึกชื่นชมและดีใจที่ได้เห็นบุคคลระดับนี้ กล้าหาญออกมาแสดงจุดยืนต่อสาธารณชน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพันธมิตรฯ ได้ยกประเด็นข้อพิพาทเรื่องดินแดนและอธิปไตยของประเทศ กรณีปราสาทพระวิหาร และปัญหาตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นมาเป็นประเด็น เรียกร้องให้รัฐบาลทักษิณ-สมัคร-สมชาย ยุติพฤติกรรมที่จะทำให้ไทยต้องสูญเสียดินแดน นายกษิต ภิรมย์ ก็เป็นคนหนึ่ง ที่เป็นหัวหอกสำคัญในการที่จะให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง และความรู้ อันเป็นจุดยืนที่ถูกต้องกับประชาชนที่เข้าร่วมต่อสู้ ทั้งยังได้แสดงจุดยืนกล่าวประณามรัฐบาลทักษิณ สมัคร สมชาย รวมถึงวิพากษ์วิจารณ์โจมตี นายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา อย่างรุนแรง ถึงขนาดกล่าวประณามว่านายฮุนเซน เป็นกุ๊ย นักเลงอันธพาล
บทบาทของท่านบนเวทีพันธมิตรฯ ยังติดตาคนไทยไม่รู้เลือน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถึงกับประกาศจะติดตามไล่ล่าเอาตัวทักษิณมาลงโทษ หรือพร้อมจะยืนชดหมัดกับฮุนเซน ถึงไหนถึงกันเพื่อปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรีของประเทศชาติ ทำให้ผมมีความประทับใจและมีความรู้สึกที่ดีต่อท่านมาโดยตลอด รวมถึงภรรยาของท่าน ซึ่งก็เป็นผู้หนึ่งที่ชื่นชมบทบาทการต่อสู้ของพี่น้องพันธมิตรฯ และเป็นผู้สนับสนุนที่เข้มแข็งคนหนึ่ง แม้จะมีคนมาบอกผมว่าคุณกษิต ภิรมย์ ที่ออกมาแสดงบทบาทร่วมการต่อสู้กับพี่น้องพันธมิตรฯ ในขณะนั้น ความจริงแล้วก็หวังมาเกาะกระแสประชาชน ที่กำลังขึ้นสู่กระแสสูง ถนนทุกสายมุ่งสู่เวทีพันธมิตรฯ เป็นลมหายใจของประเทศ
ในขณะการต่อสู้กับระบอบทักษิณ เขาบอกว่าคุณกษิต ต้องการมาสร้างภาพ สร้างความนิยมให้แก่ตนเอง โดยหวังจะปูทางไปสู่การเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม. และมีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แต่ผมก็ไม่ค่อยเชื่อและไม่ได้สนใจ เพราะถือว่าพวกเรามาชุมนุมร่วมกันต่อสู้ ก็เพื่อต้องการขับไล่ทักษิณและระบอบทักษิณให้ออกไป เอาประเทศไทยของเราคืนมาเท่านั้น
แม้ขณะนั้น ผมจะยังอยู่เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เดินเข้าออกที่ทำการพรรคและเห็นคุณกษิต มีความสนิทสนมใกล้ชิดกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ โดยเข้ามาทำงานเป็นสตาฟและทีมงานให้กับนายสุเทพ ซึ่งเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ แต่ผมก็ไม่ทราบถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งของบุคคลทั้งสอง เพิ่งมาทราบภายหลังว่าสองท่านนี้ เขามีความสนิทสนมกันมายาวนาน ตั้งแต่สมัยที่คุณสุเทพ ยังเป็นนักศึกษา มีความสนิทสนมคุ้นเคยกับครอบครัวคุณกษิต เป็นอย่างดี เรียกว่า เป็นเพื่อนกินนอนอยู่บ้านคุณกษิตในระหว่างเป็นนักศึกษา
แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังเคารพและให้ความนับถือต่อคุณกษิต เป็นส่วนตัว ด้วยความให้เกียรติในตัวท่าน และภรรยาของท่านมาโดยตลอด วันนี้ผมได้อ่านบทสัมภาษณ์ของคุณกษิต ที่ให้สัมภาษณ์ “เนชั่นแชนแนล” แล้วทุกถ้อยคำผมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ว่าจะได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นหลุดออกมาจากปากของนายกษิต ภิรมย์
1. นายกษิต ได้กล่าวด้วยอารมณ์ด่าประณามประชาชน และพี่น้องพันธมิตรฯ ที่เรียกร้องให้ยกเลิกบันทึกความตกลง MOU 2543 หาว่าทำตัวเป็นทารก เรียกร้องด้วยอารมณ์ ขัดขวางการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หาว่าพันธมิตรฯ ต้องการให้เกิดการรบราฆ่าฟัน ต้องการปิดพรมแดนไม่ต้องมีการค้าขาย ไม่ต้องมีการท่องเที่ยวไปมาหาสู่กัน คุณกษิต พูดเหมือนคนบ้าน้ำลายฟูมปาก อ้างประโยชน์ MOU 2543 สารพัด ประหนึ่งว่าตนกำลังจะทำให้ชายแดนกัมพูชาเป็นเหมือนอย่างสหภาพยุโรปไปโน่น ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงก็เห็นอยู่โทนโท่ว่าปัญหาชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชานั้น รัฐบาลไทยปล่อยให้ทหารและคนกัมพูชาเข้าบุกรุกยึดครองพื้นที่ตลอดแนวชายแดนหลายแห่ง ไม่เฉพาะพื้นที่ที่ 7 คนไทยถูกจับ หรือบริเวณปราสาทพระวิหารเท่านั้น
นายกษิต ภิรมย์ ก็รู้เรื่องนี้และปัญหานี้เป็นอย่างดี ไฉนจึงพูดกลับกลอกและกลืนน้ำลายตัวเอง แล้วแกร่งปากให้ร้ายประชาชนผู้มาชุมนุม MOU 2543 ทำให้ประเทศไทย คนไทย เสียเปรียบ เสียดินแดน และเสียอธิปไตยอย่างไร ข้อเท็จจริงก็เป็นที่ประจักษ์ โดยที่รัฐบาล และตัวนายกษิตเองโต้แย้งภาคประชาชนไม่ได้เลย การเรียกร้องให้ยกเลิก MOU 2543 และขอให้รัฐบาลทำหน้าที่ปกป้องดินแดนของตน มันเป็นความผิดเลวร้ายตรงไหน เราไม่เคยเรียกร้องให้รัฐบาลทำลายความสัมพันธ์ที่ดี มีความเสมอภาค เคารพในบูรณภาพเหนือดินแดนซึ่งกันและกัน แต่อย่างใด เราไม่เคยเรียกร้องให้รัฐไทยต้องก่อสงครามรบราฆ่าฟันกับใครอย่างป่าเถื่อนหรือไร้เหตุผล เพียงแต่เรียกร้องให้รัฐบาลและกองทัพทำหน้าที่ปกป้องดินแดนและอธิปไตยของตน อันเป็นสิทธิโดยชอบของรัฐเอกราชทั้งหลายทั่วโลก ที่รัฐบาลมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ
ข้อเรียกร้องและเหตุผลนี้ เป็นข้อเรียกร้องของพลเมือง ผู้มีวุฒิภาวะ มีสติปัญญา มีความรักชาติเปี่ยมไปด้วยเหตุผล แต่นายกษิต กลับมองว่า เป็นความคิดแบบทารก ตรงกันข้ามกับการที่นายกษิต เคยกล่าวประณามนายฮุนเซน ว่าเป็นกุ๊ย วันนี้ต้องไปกราบไหว้อ้อนวอน ขอความช่วยเหลือจากเขา ตัวเองเป็นรัฐมนตรีมีหน้าที่ปกป้องเอกราชอธิปไตยของชาติ คุ้มครองสิทธิของพลเมืองไทย กลับผลักไสยัดเยียดให้คนไทยไปขึ้นศาลกัมพูชา กล่าวหาคนในชาติเดียวกันว่า กระทำผิดทั้งๆ ที่คนเหล่านั้นถูกจับอยู่ในแผ่นดินไทย อย่างนี้คุณเป็นทารกก็ยังไม่ได้ เสียชาติเกิด ไม่ควรได้ผุดได้เกิดเป็นทารกด้วยซ้ำไป
2. วันนี้ คุณกษิต ภิรมย์ ไม่ใช่นายกษิต ภิรมย์ ที่ผมเคยรู้จักต่อไปอีกแล้ว เขาไม่ต่างจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เลย เพราะทั้งสองคนต่างก็ได้ทรยศและเนรคุณพี่น้องพันธมิตรฯ เหมือนกัน เหยียบชีวิตเลือดเนื้อ และก้าวข้ามศพของวีรชนพันธมิตรฯ ขึ้นสู่อำนาจ แล้วบังอาจประณามประชาชน ผมเชื่อว่า คุณคงไม่ฟังเสียงประชาชนหรอก เพราะคนที่คุณกษิต ต้องฟังและปฏิบัติตามคือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เท่านั้น คำว่า ประชาชนไม่ได้อยู่ในความคิดและหัวสมองของคุณมาแต่แรก คุณหวังเพียงแต่ฉกฉวยโอกาสให้กับความทะเยอทะยานของตนเท่านั้น
3. คุณกษิต ภิรมย์ คุณคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ล้มเหลวที่สุด นับแต่มีกระทรวงการต่างประเทศ ผลงานของคุณ ล้วนแต่เป็นความอัปยศ ประจานตัวคุณทั้งสิ้น ผมขอเตือนด้วยความปรารถนาดีเป็นครั้งสุดท้ายว่า จุดจบของคนทรยศประชาชนมีให้เห็นแล้ว กลับตัววันนี้ยังไม่สาย ลาภยศตำแหน่งเป็นสิ่งไม่เที่ยงแน่นอน มียศ เสื่อมยศ มีลาภ ก็เสื่อมลาภได้ เมื่อวันนั้นมาถึงคุณจะอยู่อย่างไรในแผ่นดิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพันธมิตรฯ ได้ยกประเด็นข้อพิพาทเรื่องดินแดนและอธิปไตยของประเทศ กรณีปราสาทพระวิหาร และปัญหาตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นมาเป็นประเด็น เรียกร้องให้รัฐบาลทักษิณ-สมัคร-สมชาย ยุติพฤติกรรมที่จะทำให้ไทยต้องสูญเสียดินแดน นายกษิต ภิรมย์ ก็เป็นคนหนึ่ง ที่เป็นหัวหอกสำคัญในการที่จะให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง และความรู้ อันเป็นจุดยืนที่ถูกต้องกับประชาชนที่เข้าร่วมต่อสู้ ทั้งยังได้แสดงจุดยืนกล่าวประณามรัฐบาลทักษิณ สมัคร สมชาย รวมถึงวิพากษ์วิจารณ์โจมตี นายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา อย่างรุนแรง ถึงขนาดกล่าวประณามว่านายฮุนเซน เป็นกุ๊ย นักเลงอันธพาล
บทบาทของท่านบนเวทีพันธมิตรฯ ยังติดตาคนไทยไม่รู้เลือน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถึงกับประกาศจะติดตามไล่ล่าเอาตัวทักษิณมาลงโทษ หรือพร้อมจะยืนชดหมัดกับฮุนเซน ถึงไหนถึงกันเพื่อปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรีของประเทศชาติ ทำให้ผมมีความประทับใจและมีความรู้สึกที่ดีต่อท่านมาโดยตลอด รวมถึงภรรยาของท่าน ซึ่งก็เป็นผู้หนึ่งที่ชื่นชมบทบาทการต่อสู้ของพี่น้องพันธมิตรฯ และเป็นผู้สนับสนุนที่เข้มแข็งคนหนึ่ง แม้จะมีคนมาบอกผมว่าคุณกษิต ภิรมย์ ที่ออกมาแสดงบทบาทร่วมการต่อสู้กับพี่น้องพันธมิตรฯ ในขณะนั้น ความจริงแล้วก็หวังมาเกาะกระแสประชาชน ที่กำลังขึ้นสู่กระแสสูง ถนนทุกสายมุ่งสู่เวทีพันธมิตรฯ เป็นลมหายใจของประเทศ
ในขณะการต่อสู้กับระบอบทักษิณ เขาบอกว่าคุณกษิต ต้องการมาสร้างภาพ สร้างความนิยมให้แก่ตนเอง โดยหวังจะปูทางไปสู่การเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม. และมีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แต่ผมก็ไม่ค่อยเชื่อและไม่ได้สนใจ เพราะถือว่าพวกเรามาชุมนุมร่วมกันต่อสู้ ก็เพื่อต้องการขับไล่ทักษิณและระบอบทักษิณให้ออกไป เอาประเทศไทยของเราคืนมาเท่านั้น
แม้ขณะนั้น ผมจะยังอยู่เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เดินเข้าออกที่ทำการพรรคและเห็นคุณกษิต มีความสนิทสนมใกล้ชิดกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ โดยเข้ามาทำงานเป็นสตาฟและทีมงานให้กับนายสุเทพ ซึ่งเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ แต่ผมก็ไม่ทราบถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งของบุคคลทั้งสอง เพิ่งมาทราบภายหลังว่าสองท่านนี้ เขามีความสนิทสนมกันมายาวนาน ตั้งแต่สมัยที่คุณสุเทพ ยังเป็นนักศึกษา มีความสนิทสนมคุ้นเคยกับครอบครัวคุณกษิต เป็นอย่างดี เรียกว่า เป็นเพื่อนกินนอนอยู่บ้านคุณกษิตในระหว่างเป็นนักศึกษา
แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังเคารพและให้ความนับถือต่อคุณกษิต เป็นส่วนตัว ด้วยความให้เกียรติในตัวท่าน และภรรยาของท่านมาโดยตลอด วันนี้ผมได้อ่านบทสัมภาษณ์ของคุณกษิต ที่ให้สัมภาษณ์ “เนชั่นแชนแนล” แล้วทุกถ้อยคำผมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ว่าจะได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นหลุดออกมาจากปากของนายกษิต ภิรมย์
1. นายกษิต ได้กล่าวด้วยอารมณ์ด่าประณามประชาชน และพี่น้องพันธมิตรฯ ที่เรียกร้องให้ยกเลิกบันทึกความตกลง MOU 2543 หาว่าทำตัวเป็นทารก เรียกร้องด้วยอารมณ์ ขัดขวางการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หาว่าพันธมิตรฯ ต้องการให้เกิดการรบราฆ่าฟัน ต้องการปิดพรมแดนไม่ต้องมีการค้าขาย ไม่ต้องมีการท่องเที่ยวไปมาหาสู่กัน คุณกษิต พูดเหมือนคนบ้าน้ำลายฟูมปาก อ้างประโยชน์ MOU 2543 สารพัด ประหนึ่งว่าตนกำลังจะทำให้ชายแดนกัมพูชาเป็นเหมือนอย่างสหภาพยุโรปไปโน่น ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงก็เห็นอยู่โทนโท่ว่าปัญหาชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชานั้น รัฐบาลไทยปล่อยให้ทหารและคนกัมพูชาเข้าบุกรุกยึดครองพื้นที่ตลอดแนวชายแดนหลายแห่ง ไม่เฉพาะพื้นที่ที่ 7 คนไทยถูกจับ หรือบริเวณปราสาทพระวิหารเท่านั้น
นายกษิต ภิรมย์ ก็รู้เรื่องนี้และปัญหานี้เป็นอย่างดี ไฉนจึงพูดกลับกลอกและกลืนน้ำลายตัวเอง แล้วแกร่งปากให้ร้ายประชาชนผู้มาชุมนุม MOU 2543 ทำให้ประเทศไทย คนไทย เสียเปรียบ เสียดินแดน และเสียอธิปไตยอย่างไร ข้อเท็จจริงก็เป็นที่ประจักษ์ โดยที่รัฐบาล และตัวนายกษิตเองโต้แย้งภาคประชาชนไม่ได้เลย การเรียกร้องให้ยกเลิก MOU 2543 และขอให้รัฐบาลทำหน้าที่ปกป้องดินแดนของตน มันเป็นความผิดเลวร้ายตรงไหน เราไม่เคยเรียกร้องให้รัฐบาลทำลายความสัมพันธ์ที่ดี มีความเสมอภาค เคารพในบูรณภาพเหนือดินแดนซึ่งกันและกัน แต่อย่างใด เราไม่เคยเรียกร้องให้รัฐไทยต้องก่อสงครามรบราฆ่าฟันกับใครอย่างป่าเถื่อนหรือไร้เหตุผล เพียงแต่เรียกร้องให้รัฐบาลและกองทัพทำหน้าที่ปกป้องดินแดนและอธิปไตยของตน อันเป็นสิทธิโดยชอบของรัฐเอกราชทั้งหลายทั่วโลก ที่รัฐบาลมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ
ข้อเรียกร้องและเหตุผลนี้ เป็นข้อเรียกร้องของพลเมือง ผู้มีวุฒิภาวะ มีสติปัญญา มีความรักชาติเปี่ยมไปด้วยเหตุผล แต่นายกษิต กลับมองว่า เป็นความคิดแบบทารก ตรงกันข้ามกับการที่นายกษิต เคยกล่าวประณามนายฮุนเซน ว่าเป็นกุ๊ย วันนี้ต้องไปกราบไหว้อ้อนวอน ขอความช่วยเหลือจากเขา ตัวเองเป็นรัฐมนตรีมีหน้าที่ปกป้องเอกราชอธิปไตยของชาติ คุ้มครองสิทธิของพลเมืองไทย กลับผลักไสยัดเยียดให้คนไทยไปขึ้นศาลกัมพูชา กล่าวหาคนในชาติเดียวกันว่า กระทำผิดทั้งๆ ที่คนเหล่านั้นถูกจับอยู่ในแผ่นดินไทย อย่างนี้คุณเป็นทารกก็ยังไม่ได้ เสียชาติเกิด ไม่ควรได้ผุดได้เกิดเป็นทารกด้วยซ้ำไป
2. วันนี้ คุณกษิต ภิรมย์ ไม่ใช่นายกษิต ภิรมย์ ที่ผมเคยรู้จักต่อไปอีกแล้ว เขาไม่ต่างจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เลย เพราะทั้งสองคนต่างก็ได้ทรยศและเนรคุณพี่น้องพันธมิตรฯ เหมือนกัน เหยียบชีวิตเลือดเนื้อ และก้าวข้ามศพของวีรชนพันธมิตรฯ ขึ้นสู่อำนาจ แล้วบังอาจประณามประชาชน ผมเชื่อว่า คุณคงไม่ฟังเสียงประชาชนหรอก เพราะคนที่คุณกษิต ต้องฟังและปฏิบัติตามคือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เท่านั้น คำว่า ประชาชนไม่ได้อยู่ในความคิดและหัวสมองของคุณมาแต่แรก คุณหวังเพียงแต่ฉกฉวยโอกาสให้กับความทะเยอทะยานของตนเท่านั้น
3. คุณกษิต ภิรมย์ คุณคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ล้มเหลวที่สุด นับแต่มีกระทรวงการต่างประเทศ ผลงานของคุณ ล้วนแต่เป็นความอัปยศ ประจานตัวคุณทั้งสิ้น ผมขอเตือนด้วยความปรารถนาดีเป็นครั้งสุดท้ายว่า จุดจบของคนทรยศประชาชนมีให้เห็นแล้ว กลับตัววันนี้ยังไม่สาย ลาภยศตำแหน่งเป็นสิ่งไม่เที่ยงแน่นอน มียศ เสื่อมยศ มีลาภ ก็เสื่อมลาภได้ เมื่อวันนั้นมาถึงคุณจะอยู่อย่างไรในแผ่นดิน