xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นไทยรีบาวน์กลับ18จุด โบรกฯมั่นใจต่างชาติไม่หนี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - หุ้นไทยรีบาวน์กลับ ปิดบวกเพิ่ม 18.90จุด ได้มีแรงซื้อหุ้นบิ๊กแคป กลุ่มแบงก์-พลังงานหนุน บล.กิมเอ็ง มองทิศทางตลาดหุ้นไทยยังอยู่ช่วงขึ้น แม้ต่างชาติขายทำกำไร แต่เชื่อเม็ดเงินนอกยังคงไหลเข้ามาลงทุนต่อ จากปัจจัยพื้นฐานแกร่ง ด้าน “เอเซียไรซิ่ง” เชื่อค่าเงินบาทมีทิศทางแข็งต่อ หนุนต่างชาติไม่ขนเงินออก ภาพรวมวันนี้ดัชนีมีโอกาสไปต่อ
 

ตลาดหลักทรัพย์ไทยวานนี้ ดัชนีหุ้นมีแรงรีบาวน์กลับขึ้นมา หลังร่วงลงไป4 วันต่อเนื่อง โดยปิดที่ระดับ 978.07 จุด เพิ่มขึ้น 18.90 จุด หรือ 1.97% มูลค่าการซื้อขาย 34,594.11 ล้านบาท ซึ่งตลอดวานนี้ดัชนีปรับตัวอยูในแดนบวก โดยเฉพาะหุ้นบิ๊กแคปปรับตัวเพิ่มขึ้นถ้วนหน้า ระหว่างวันแตะจุดสูงสุดที่ 978.39 จุด และต่ำสุดที่ 963.65จุด
ด้านการซื้อขายสุทธิแยกจามประเภทนักลงทุนพบว่า สถาบัน และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ขายสุทธิ 1,058.06 ล้านบาท และ 102.81 ล้านบาท ตามลำดับ เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนทั่วไปที่ซื้อสุทธิ 381.39 ล้านบาท และ 779.48 ล้านบาท

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 3,064.13 ล้านบาท ปิดที่ 337.00 บาท เพิ่มขึ้น 14.00 บาท BANPU มูลค่าการซื้อขาย 2,486.17 ล้านบาท ปิดที่ 750.00 บาท เพิ่มขึ้น 10.00 บาท SCC มูลค่าการซื้อขาย 2,362.08 ล้านบาท ปิดที่ 313.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท IVL มูลค่าการซื้อขาย 2,251.31 ล้านบาท ปิดที่ 38.50 บาท ลดลง 1.75 บาท และ PTTCH มูลค่าการซื้อขาย 1,545.71 ล้านบาท ปิดที่ 137.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท

นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ รองผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัย บล. กิมเอ็ง (ประเทศไทย)เปิดเผยว่า บริษัทยังมองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยยังเป็นขาขึ้นอยู่ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของยังแข็งแกร่ง จากที่การที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงทำให้ราคาหุ้นไทยถูกลงโดยมีP/E ที่ 11 เท่า ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ในระดับที่สูงที่ 4% จึงเชื่อว่าเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศจะกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย จึงเชื่อว่าจากนี้นักลงทุนต่างชาติจะขายหุ้นไทยลดลง

สำหรับปัจจัยทางการเมืองในเรื่องการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง และกลุ่มพันธมิตรประชาขนเพื่อประชาธิปไตยยังไม่น่ากังวล ซึ่งหากพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานนั้นดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมากสุดที่ 950-913 จุด จุด การที่นักลงทุนขายหุ้นไทยออกไปแล้ว 900 ล้านเหรียญสหรัฐ เชื่อว่าเป็นการปรับพอร์ตระยะสั้นเท่านั้น จากที่ผ่านมาหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเร็วและแรง จึงทำให้เป็นจังหวะในการขายทกำไร อย่างไรก็เชื่อว่าเม็ดเงินต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเซีย และตลาดหุ้นไทย

"ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลง 7.1% เกือบเท่าอินโดนีเซีย ที่ปรับตัวลดลง7.5% ขณะที่ฟิลิปปินส์ลดลง 5% ซึ่งจากนี้หุ้นคงลงไม่มา ซึ่งระดับP/E ที่ 11 เท่า ใกล้เคียงกับอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ แต่ด้านผลตอบแทนนั้นตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนที่สูง กว่ายิวด์ที่ 4% ขณะที่ 2 ประเทศอยู่ที่ 3% จึงทำให้นักลงทุนต่างประเทศจะสนใจเข้ามาลงทุนในตลาดห้นไทย "นางสาวมยุรี กล่าว
นายปริทรรศน์ เหลืองอุทัย กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เอเซียไรซิ่ง จำกัด กล่าวว่า แม้นักลงทุนต่างประเทศจะมีการขายหุ้นไทยออกมาจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา แต่เงินลงทุนนั้นยังไม่ไหลออก โดยยังอยู่ในตลาดพันธบัตร ซึ่งหากมีการไหลออกไปบ้างก็ไม่มาก เพราะ จากการที่ทางยุโรป และสหรัฐอเมริกายังมีปัญหาทางเศรษฐกิจและปัญหาหนี้สาธารณะที่สูง จึงทำให้ค่าเงินจะด้อยค่า ทำให้เงินยังคงอยู่ในเอเซียอยู่

ทั้งนี้ส่วนตัวมองว่าการที่ค่าเงินบาทมีการอ่อนค่าลงนั้นเชื่อว่าเป็นระยะสั้นเท่านั้น โดยเชื่อว่าค่าเงินบาทจะกลับมาแข็งค่าอีก จากที่จะมีเม็ดเงินทุนไหลกลับเข้ามาลงทุน โดยนักลงทุนไทยไม่ควรที่จะตกใจกับแรงขายทำกำไรที่เกิดขึ้น เพราะเป็นการปรับพอร์ตตามนโยบายซึ่งรอบนี้หากดัชนีจะมีการปรับลดลงก็คงอีกไม่มากแล้ว แต่ส่วนตัวเชื่อว่าภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปีนี้และปีหน้ายังดีอยู่

นางสุนทรี เกียรติพงษ์ถาวร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายตราสารอนุพันธ์ บล.เคทีซีมิโก้ ได้ให้คำแนะนำว่า ในภาวะที่ดัชนีหุ้นปรับฐาน ทำให้ผู้ลงทุนรายย่อยซึ่งถือลงทุนในหุ้นบลูชิพมีผลขาดทุนอยู่นั้น ไม่ควรที่จะขายหุ้นที่อยู่ ควรถือไว้เพื่อรอเงินปันผล ขณะเดียวกันให้เข้าไปขายล่วงหน้า(ชอร์ต)ในSET 50 Index Futuresแทน เพื่อนำกำไรที่ได้ปิดความเสี่ยงจากการถือหุ้นแทน

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าดัชนีหุ้นจะปรับตัวดีขึ้น ซึ่งดูได้จากตัวเลขตั้งแต่ต้นปีนักลงทุนต่างชาติได้ขายเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันได้ขายล่วงหน้า(ชอร์ต) ใน SET 50 Index Futures ประมาณ 10,000 สัญญา ขณะที่นักลงทุนสถาบันชอร์ตด้วยเป็นจำนวน 18,000 สัญญาเช่นกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนสถาบันเหล่านี้ต่างใช้ฟิวเจอร์สเพื่อปิดความเสี่ยงของหุ้นที่ถืออยู่ในมือ ในช่วงที่ดัชนีหุ้นปรับตัวลดลงแรง ยอมรับว่ามีลูกค้าบางรายต้องถูกเรียกให้วางเงินประกันเพิ่มในสัญญาฟิวเจอร์ส ขณะที่บางรายไม่สามารถติดต่อได้ อาจถึงกับบังคับขาย(ฟอร์ซเซอล) แต่ไม่ได้มีจำนวนมาก

ด้าน นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์บล.ฟิลลิป กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในวานนี้แกว่งตัวในแดนบวกตลอดทั้งวัน ซึ่งถือเป็นการรีบาวน์จากช่วงที่ผ่านมาที่ลดลงรวมกว่า 70 จุด จากการเข้าลงทุนทั้งต่างชาติและนักลงทุนในประเทศ และมองว่าในช่วง 1-2 วันนี้ตลาดหุ้นไทยนยังอยู่ในลักษณะรีบาวน์ในแดนบวกได้

นอกจากนี้ การปรับขึ้นส่วนใหญ่ก็เป็นการกลับมาซื้อในหุ้นที่มีขนาดใหญ่ อย่างกลุ่มธนาคาร พลังงาน จึงส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง แต่อย่างไรก็ตามยังมองว่าตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในขาลงและจะเห็นการปรับพอร์ตของต่างชาติได้อีกครั้งจากปัจจัยความกังวลในด้านเงินเฟ้อใน 3 ประเทศในแถบเอเชีย ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ รวมทั้งไทย รวมถึงการเห็นมาตราการทางการเงินที่เข้มขึ้นจากนี้ ส่วนปัจจัยการเมืองเป็นสิ่งที่ติดตามเพราะจะมีความเข้มข้นขึ้น ซึ่งอาจเป็นปัจจัยผสม ขณะที่ แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(27 ม.ค.)มองว่า ตลาดหุ้นไทยคงจะแกว่งตัวในเชิงบวกต่อเนื่อง แต่จะอยู่ในลักษณะจำกัด พร้อมให้แนวรับไว้ในช่วง 963-955 จุด ส่วนแนวต้าน 978-989 จุด
กำลังโหลดความคิดเห็น