ASTVผู้จัดการรายวัน - สหวิริยาสตีลฯ ประเมินราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนพุ่งเกิน 800 เหรียญสหรัฐ/ตันแน่ หลังราคาสแลปดีดขึ้นตามทิศทางถ่านโค้ก ชี้เป็นจังหวะที่เหมาะสมหลังดีลซื้อโรงถลุงเหล็กที่อังกฤษเสร็จก.พ.นี้ ระบุการซื้อโรงถลุงเหล็ก ทำให้ EBITDA เพิ่มขึ้น 5เท่าใน3ปี เตรียมนำบริษัทSSI UK เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นลอนดอน มั่นใจผู้ถือหุ้นรายย่อยยอมควักเงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่ราคา 1.20 บาท/หุ้น
นายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) (SSI) เปิดเผยภายหลังการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นบริษัทครั้งที่ 1/2554ว่า จากปัญหาน้ำท่วมที่รัฐควีนส์แลนด์ที่ออสเตรเลีย ส่งผลให้ราคาถ่านโค้กปรับตัวสูงขึ้นมากนั้น ส่งผลให้ราคาเหล็กแท่งแบน (สแลป) ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 550 เหรียญสหรัฐ/ตัน เป็น 700 เหรียญสหรัฐ/ตัน และดันราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย คาดว่าจะทะลุ 800 เหรียญสหรัฐ/ตัน ในเร็วๆ นี้ จากเดิมที่ราคาตันละ 700-750 เหรียญสหรัฐ/ตัน
อย่างไรก็ตาม ปัญหาถ่านโค้กขาดแคลนน่าจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่แนวโน้มราคาสแลปจะยังทรงตัวในระดับสูงต่อไป เนื่องจากความต้องการใช้เหล็กในโลกปีนี้น่าจะอยู่ที่ 1,500 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ระดับ 1,400 ล้านตัน เป็นผลจากเศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นตัว และเอเชียมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งในช่วงวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ทำให้ไม่มีการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตในอุตสาหกรรมเหล็ก เมื่อความต้องการใช้เหล็กเพิ่มขึ้น ทำให้ไม่มีซัปพลายใหม่เข้ามา ดังนั้น คาดว่าปีนี้ราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนเฉลี่ยสูงกว่า 800 เหรียญสหรัฐ/ตัน
เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมเหล็กของไทย ที่คาดว่าความต้องการใช้เหล็กเพิ่มขึ้นเป็น 15 ล้านตัน จากปีก่อนที่มีการใช้อยู่ 14 ล้านตัน ซึ่งบริษัทจำเป็นต้องมีการหาวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูงเพื่อมาผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนเพื่อสนองความต้องการใช้ในประเทศ จึงเป็นจังหวะที่เหมาะสม เนื่องจากบริษัทอยู่ระหว่างการดำเนินการเข้าไปซื้อทรัพย์สินโรงถลุงเหล็ก Teesside Cast Products
ที่อังกฤษ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นเงินที่ใช้ในการซื้อทรัพย์สินโรงถลุงเหล็กที่อังกฤษ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและการปรับปรุงเครื่องจักร คาดว่ากระบวนการซื้อกิจการโรงถลุงเหล็กจะแล้วเสร็จในเดือนก.พ.นี้ หลังจากนั้นอีก 6 เดือนโรงงานดังกล่าวจะสามารถผลิตสแลปป้อนให้กับโรงงานสหวิริยาสตีลฯ ที่บางสะพานได้
นายวินกล่าวว่า การเข้าซื้อกิจการโรงถลุงและผลิตสแลปขนาดกำลังผลิต 3.5 ล้านตัน/ปีที่อังกฤษ จะทำให้กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายใน 3 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่บริษัทมี EBITDA เฉลี่ยที่ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี ทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้น และสามารถจ่ายเงินปันผลได้ ซึ่งขณะนี้บริษัทลดอุปสรรคการจ่ายเงินปันผลแล้ว โดยนำกำไรสุทธิไปล้างขาดทุนสะสมทั้งหมดเมื่อปี 2553 แต่จะสามารถจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้หรือไม่ คงจะต้องรอการพิจารณาจากคณะกรรมการบริษัทอีกครั้ง
นอกจากนี้ ยังศึกษาที่จะนำบริษัท สหวิริยาสตีล ยูเค (SSI UK) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน ซึ่งเป็นตลาดที่มีความสำคัญในกลุ่มอุตสาหกรรมเหมืองแร่และถลุงเหล็กด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้โรงถลุงเหล็ก Teessideก็เคยจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ลอนดอนก่อนที่จะถอนออกจากตลาดฯหลังกลุ่มทาทาสตีลเข้ามาซื้อกิจการ
นายวินกล่าวว่า จากการชี้แจงเพื่อขออนุมัติผู้ถือหุ้นบริษัทในการเพิ่มทุนจดทะเบียน และขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 2,620,256,000หุ้น แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 5หุ้นเดิมต่อ 1หุ้นใหม่ ในราคาหุ้นละ 1.20 บาท และจะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน 2,620,256,000หุ้นให้แก่นักลงทุนเฉพาะเจาะจงราคาBookBuild แต่ไม่ต่ำกว่า 1.20 บาท/หุ้นนั้น คาดว่าแผนการเสนอขายหุ้นเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นเดิมจะประสบความสำเร็จ แม้ว่าในช่วง 2-3 วันนี้ราคาหุ้น SSI ในกระดานหลังจะปรับลดลงไปตามภาพรวมตลาด โดยมองว่าราคาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนที่ 1.20 บาท/หุ้น เป็นราคาเหมาะสม และน่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้ผู้ถือหุ้น โดยเฉพาะผู้ถือหุ้นรายย่อย เนื่องจากแนวโน้มธุรกิจบริษัทมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก
นายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) (SSI) เปิดเผยภายหลังการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นบริษัทครั้งที่ 1/2554ว่า จากปัญหาน้ำท่วมที่รัฐควีนส์แลนด์ที่ออสเตรเลีย ส่งผลให้ราคาถ่านโค้กปรับตัวสูงขึ้นมากนั้น ส่งผลให้ราคาเหล็กแท่งแบน (สแลป) ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 550 เหรียญสหรัฐ/ตัน เป็น 700 เหรียญสหรัฐ/ตัน และดันราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย คาดว่าจะทะลุ 800 เหรียญสหรัฐ/ตัน ในเร็วๆ นี้ จากเดิมที่ราคาตันละ 700-750 เหรียญสหรัฐ/ตัน
อย่างไรก็ตาม ปัญหาถ่านโค้กขาดแคลนน่าจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่แนวโน้มราคาสแลปจะยังทรงตัวในระดับสูงต่อไป เนื่องจากความต้องการใช้เหล็กในโลกปีนี้น่าจะอยู่ที่ 1,500 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ระดับ 1,400 ล้านตัน เป็นผลจากเศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นตัว และเอเชียมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งในช่วงวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ทำให้ไม่มีการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตในอุตสาหกรรมเหล็ก เมื่อความต้องการใช้เหล็กเพิ่มขึ้น ทำให้ไม่มีซัปพลายใหม่เข้ามา ดังนั้น คาดว่าปีนี้ราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนเฉลี่ยสูงกว่า 800 เหรียญสหรัฐ/ตัน
เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมเหล็กของไทย ที่คาดว่าความต้องการใช้เหล็กเพิ่มขึ้นเป็น 15 ล้านตัน จากปีก่อนที่มีการใช้อยู่ 14 ล้านตัน ซึ่งบริษัทจำเป็นต้องมีการหาวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูงเพื่อมาผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนเพื่อสนองความต้องการใช้ในประเทศ จึงเป็นจังหวะที่เหมาะสม เนื่องจากบริษัทอยู่ระหว่างการดำเนินการเข้าไปซื้อทรัพย์สินโรงถลุงเหล็ก Teesside Cast Products
ที่อังกฤษ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นเงินที่ใช้ในการซื้อทรัพย์สินโรงถลุงเหล็กที่อังกฤษ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและการปรับปรุงเครื่องจักร คาดว่ากระบวนการซื้อกิจการโรงถลุงเหล็กจะแล้วเสร็จในเดือนก.พ.นี้ หลังจากนั้นอีก 6 เดือนโรงงานดังกล่าวจะสามารถผลิตสแลปป้อนให้กับโรงงานสหวิริยาสตีลฯ ที่บางสะพานได้
นายวินกล่าวว่า การเข้าซื้อกิจการโรงถลุงและผลิตสแลปขนาดกำลังผลิต 3.5 ล้านตัน/ปีที่อังกฤษ จะทำให้กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายใน 3 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่บริษัทมี EBITDA เฉลี่ยที่ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี ทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้น และสามารถจ่ายเงินปันผลได้ ซึ่งขณะนี้บริษัทลดอุปสรรคการจ่ายเงินปันผลแล้ว โดยนำกำไรสุทธิไปล้างขาดทุนสะสมทั้งหมดเมื่อปี 2553 แต่จะสามารถจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้หรือไม่ คงจะต้องรอการพิจารณาจากคณะกรรมการบริษัทอีกครั้ง
นอกจากนี้ ยังศึกษาที่จะนำบริษัท สหวิริยาสตีล ยูเค (SSI UK) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน ซึ่งเป็นตลาดที่มีความสำคัญในกลุ่มอุตสาหกรรมเหมืองแร่และถลุงเหล็กด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้โรงถลุงเหล็ก Teessideก็เคยจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ลอนดอนก่อนที่จะถอนออกจากตลาดฯหลังกลุ่มทาทาสตีลเข้ามาซื้อกิจการ
นายวินกล่าวว่า จากการชี้แจงเพื่อขออนุมัติผู้ถือหุ้นบริษัทในการเพิ่มทุนจดทะเบียน และขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 2,620,256,000หุ้น แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 5หุ้นเดิมต่อ 1หุ้นใหม่ ในราคาหุ้นละ 1.20 บาท และจะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน 2,620,256,000หุ้นให้แก่นักลงทุนเฉพาะเจาะจงราคาBookBuild แต่ไม่ต่ำกว่า 1.20 บาท/หุ้นนั้น คาดว่าแผนการเสนอขายหุ้นเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นเดิมจะประสบความสำเร็จ แม้ว่าในช่วง 2-3 วันนี้ราคาหุ้น SSI ในกระดานหลังจะปรับลดลงไปตามภาพรวมตลาด โดยมองว่าราคาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนที่ 1.20 บาท/หุ้น เป็นราคาเหมาะสม และน่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้ผู้ถือหุ้น โดยเฉพาะผู้ถือหุ้นรายย่อย เนื่องจากแนวโน้มธุรกิจบริษัทมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก