ASTVผู้จัดการรายวัน-เจอจะจะ ผู้ผลิตปุ๋ยแสบ ลักไก่ขึ้นราคาปุ๋ยยูเรียตันละ 1-1.5 พันบาท “พาณิชย์”เต้นเตรียมแจ้งดำเนินคดีเอาผิดตามกฎหมาย โฆษกพาณิชย์แจงหากพบยี่ห้อใดแอบขึ้น เจอแบล็กลิสต์ห้ามขึ้นราคาทันที ด้านน้ำมันปาล์มยังป่วน แม้คุมราคาปี๊บและถุงแล้ว แต่ยังขายราคาสูงอยู่ ทำปาท่องโก ไก่ทอด รับภาระต่อไปไม่ไหว ปรับขึ้นราคาแล้ว
นางวัชรี วิมุกตายน อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ตรวจสอบผู้จำหน่ายปุ๋ยเคมีในต่างจังหวัดตามที่เกษตรกรเป็นจำนวนมากได้ร้องเรียนเข้ามา พบว่ามีการจำหน่ายปลีกปุ๋ยเคมีเกินกว่าราคาที่กรมฯ กำหนดจริง และได้ทำการตรวจสอบย้อนกลับไปยังผู้ผลิต ผู้นำเข้าปุ๋ยเคมีรายใหญ่ทั้งหมด ซึ่งพบว่าผู้นำเข้ารายใหญ่ได้ฉวยโอกาสขึ้นราคาปุ๋ยยูเรีย สูตร 46-0-0 จากตันละ 1.1 หมื่นบาท เป็นตันละ 1.2-1.25 หมื่นบาท เบื้องต้นกรมฯ เตรียมดำเนินคดีกับผู้นำเข้ารายดังกล่าว เพราะขณะนี้ ยังไม่ได้อนุญาตให้ปรับราคา และการปรับราคาจะต้องเป็นไปตามมาตรการที่กฎหมายกำหนดว่าผู้ผลิต ผู้นำเข้า จะต้องแจ้งราคาจำหน่าย และห้ามมีการเปลี่ยนแปลงราคาก่อนได้รับอนุญาต
“หากผลพิจารณาพบว่าผู้นำเข้าดังกล่าวผิดจริง จะดำเนินคดีตามกฎหมายขั้นเด็ดขาด มีโทษจำคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เพราะถือเป็นการจำหน่ายปุ๋ยเคมีเกินราคาแนะนำที่กำหนดไว้ ”นางวัชรีกล่าว
นายฉัตรชัย ชูแก้ว ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ ในฐานะโฆษกกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้มีการติดตามสถานการณ์การจำหน่ายสินค้า 7 กลุ่มที่มีกระแสข่าวว่าผู้ผลิตได้ยื่นขอปรับขึ้นราคาอย่างใกล้ชิด เพราะขณะนี้ยังไม่มีนโยบายให้ปรับขึ้นราคา หากผู้ผลิตรายใดแอบขึ้นราคา และจับได้ว่าเป็นยี่ห้อไหนก็จะขึ้นบัญชีดำห้ามปรับขึ้นราคาทันที
ส่วนสถานการณ์น้ำมันปาล์ม ที่ยังมีปัญหาการขาดแคลนและมีราคาแพง แม้ว่าล่าสุดคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) จะกำหนดให้น้ำมันปาล์มที่บรรจุปี๊บและถุง รวมถึงขวด ขายในราคาเดียวกัน คือ ลิตรละ 47 บาทนั้น กระทรวงพาณิชย์ไม่ได้นิ่งนอนใจ ยังคงมีการตรวจสอบการจำหน่าย และสต๊อกของผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้มีการจับปรับทุกวัน โดยเชื่อว่าหากมีการนำเข้าจำนวน 3 หมื่นตัน สถานการณ์ก็น่าจะคลี่คลาย และยังมีนโยบายให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) นำไปจำหน่ายโดยตรงถึงผู้บริโภคด้วย
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า จากปัญหาที่น้ำมันปาล์มยังขาดแคลนและมีราคาแพง และแม้จะมีการควบคุมราคาขายปลีกแบบบรรจุปี๊บและถุงแล้ว ก็ยังพบว่ามีการจำหน่ายเกินราคา ส่งผลให้สินค้าที่ต้องใช้น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบในการผลิตได้รับผลกระทบ และเริ่มมีการปรับขึ้นราคาจำหน่ายบ้างแล้ว เช่น ร้านจำหน่ายปาท่องโก๋ บางรายได้ปรับขึ้นราคาแล้วจากตัวละ 1 บาท เป็น 2 บาท หรือบางรายใช้วิธีการปรับลดขนาดปาท๋องโก๋ลงมา รวมทั้งร้านขายไก่ทอด ที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน ได้ปรับราคาเพิ่มขึ้นชิ้นละ 5 บาทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เช่น จากสะโพกจากชิ้น 30 บาท เป็น 35 บาท เป็นต้น
ขณะที่ปัญหาปุ๋ยเคมี ก่อนหน้านี้ผู้ผลิตเคยให้ข้อมูลกับกระทรวงพาณิชย์ว่า แม่ปุ๋ยยูเรียที่นำมาใช้ผลิตปุ๋ยได้ปรับขึ้นจากตันละ 300 กว่าเหรียญสหรัฐ มาอยู่ที่ 407 เหรียญสหรัฐเมื่อช่วงปลายปี ทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระขาดทุนขายปุ๋ยยูเรียถึงตันละ 3,000 บาท ขณะที่ปุ๋ยสูตรอื่นก็ขาดทุนตันละ 400-1,000 บาท และแจ้งว่าหากไม่อนุญาตให้ขึ้นราคาผู้ผลิตจะไม่กล้าสั่งแม่ปุ๋ยยูเรียเข้ามาผลิต จนอาจทำให้ช่วงไตรมาสแรกปี 2554 เกิดปัญหาปุ๋ยเคมีขาดตลาด จนเกษตรกรต้องเดือดร้อนได้ เพราะตอนนี้สต๊อกปุ๋ยยูเรียในหลายโรงงานเริ่มหมดแล้ว ขณะที่โรงงานใหญ่ที่มีเหลืออยู่ก็น่าจะผลิตขายได้ไม่เกินไตรมาสแรก
นางวัชรี วิมุกตายน อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ตรวจสอบผู้จำหน่ายปุ๋ยเคมีในต่างจังหวัดตามที่เกษตรกรเป็นจำนวนมากได้ร้องเรียนเข้ามา พบว่ามีการจำหน่ายปลีกปุ๋ยเคมีเกินกว่าราคาที่กรมฯ กำหนดจริง และได้ทำการตรวจสอบย้อนกลับไปยังผู้ผลิต ผู้นำเข้าปุ๋ยเคมีรายใหญ่ทั้งหมด ซึ่งพบว่าผู้นำเข้ารายใหญ่ได้ฉวยโอกาสขึ้นราคาปุ๋ยยูเรีย สูตร 46-0-0 จากตันละ 1.1 หมื่นบาท เป็นตันละ 1.2-1.25 หมื่นบาท เบื้องต้นกรมฯ เตรียมดำเนินคดีกับผู้นำเข้ารายดังกล่าว เพราะขณะนี้ ยังไม่ได้อนุญาตให้ปรับราคา และการปรับราคาจะต้องเป็นไปตามมาตรการที่กฎหมายกำหนดว่าผู้ผลิต ผู้นำเข้า จะต้องแจ้งราคาจำหน่าย และห้ามมีการเปลี่ยนแปลงราคาก่อนได้รับอนุญาต
“หากผลพิจารณาพบว่าผู้นำเข้าดังกล่าวผิดจริง จะดำเนินคดีตามกฎหมายขั้นเด็ดขาด มีโทษจำคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เพราะถือเป็นการจำหน่ายปุ๋ยเคมีเกินราคาแนะนำที่กำหนดไว้ ”นางวัชรีกล่าว
นายฉัตรชัย ชูแก้ว ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ ในฐานะโฆษกกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้มีการติดตามสถานการณ์การจำหน่ายสินค้า 7 กลุ่มที่มีกระแสข่าวว่าผู้ผลิตได้ยื่นขอปรับขึ้นราคาอย่างใกล้ชิด เพราะขณะนี้ยังไม่มีนโยบายให้ปรับขึ้นราคา หากผู้ผลิตรายใดแอบขึ้นราคา และจับได้ว่าเป็นยี่ห้อไหนก็จะขึ้นบัญชีดำห้ามปรับขึ้นราคาทันที
ส่วนสถานการณ์น้ำมันปาล์ม ที่ยังมีปัญหาการขาดแคลนและมีราคาแพง แม้ว่าล่าสุดคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) จะกำหนดให้น้ำมันปาล์มที่บรรจุปี๊บและถุง รวมถึงขวด ขายในราคาเดียวกัน คือ ลิตรละ 47 บาทนั้น กระทรวงพาณิชย์ไม่ได้นิ่งนอนใจ ยังคงมีการตรวจสอบการจำหน่าย และสต๊อกของผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้มีการจับปรับทุกวัน โดยเชื่อว่าหากมีการนำเข้าจำนวน 3 หมื่นตัน สถานการณ์ก็น่าจะคลี่คลาย และยังมีนโยบายให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) นำไปจำหน่ายโดยตรงถึงผู้บริโภคด้วย
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า จากปัญหาที่น้ำมันปาล์มยังขาดแคลนและมีราคาแพง และแม้จะมีการควบคุมราคาขายปลีกแบบบรรจุปี๊บและถุงแล้ว ก็ยังพบว่ามีการจำหน่ายเกินราคา ส่งผลให้สินค้าที่ต้องใช้น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบในการผลิตได้รับผลกระทบ และเริ่มมีการปรับขึ้นราคาจำหน่ายบ้างแล้ว เช่น ร้านจำหน่ายปาท่องโก๋ บางรายได้ปรับขึ้นราคาแล้วจากตัวละ 1 บาท เป็น 2 บาท หรือบางรายใช้วิธีการปรับลดขนาดปาท๋องโก๋ลงมา รวมทั้งร้านขายไก่ทอด ที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน ได้ปรับราคาเพิ่มขึ้นชิ้นละ 5 บาทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เช่น จากสะโพกจากชิ้น 30 บาท เป็น 35 บาท เป็นต้น
ขณะที่ปัญหาปุ๋ยเคมี ก่อนหน้านี้ผู้ผลิตเคยให้ข้อมูลกับกระทรวงพาณิชย์ว่า แม่ปุ๋ยยูเรียที่นำมาใช้ผลิตปุ๋ยได้ปรับขึ้นจากตันละ 300 กว่าเหรียญสหรัฐ มาอยู่ที่ 407 เหรียญสหรัฐเมื่อช่วงปลายปี ทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระขาดทุนขายปุ๋ยยูเรียถึงตันละ 3,000 บาท ขณะที่ปุ๋ยสูตรอื่นก็ขาดทุนตันละ 400-1,000 บาท และแจ้งว่าหากไม่อนุญาตให้ขึ้นราคาผู้ผลิตจะไม่กล้าสั่งแม่ปุ๋ยยูเรียเข้ามาผลิต จนอาจทำให้ช่วงไตรมาสแรกปี 2554 เกิดปัญหาปุ๋ยเคมีขาดตลาด จนเกษตรกรต้องเดือดร้อนได้ เพราะตอนนี้สต๊อกปุ๋ยยูเรียในหลายโรงงานเริ่มหมดแล้ว ขณะที่โรงงานใหญ่ที่มีเหลืออยู่ก็น่าจะผลิตขายได้ไม่เกินไตรมาสแรก