ปัญหาคนไทยถูกทหารเขมรจับไปขังคุกและส่งฟ้องศาลเขมร โทษฐานรุกล้ำเขตแดนเขมร หรือเขตแดนวิปริตพิสดารพันลึกใดๆ ก็ตาม อาจเป็นชนวนระเบิดที่กำลังลุกลาม พร้อมจะระเบิดให้กับความเส็งเคร็งของระบอบการเมืองไทยและนักการเมืองไทย ที่เอาแต่เล่นการเมือง เพื่ออำนาจและผลประโยชน์ของตนเองและพรรคพวก มากกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนโดยส่วนรวม
แต่ว่าก็ว่าเถอะครับ จะรุมโทษแต่การเมืองและนักการเมืองฝ่ายเดียว ก็คงไม่ถูกต้องนัก เรื่องของเรื่อง มันก็เหมือนขนมผสมน้ำยาเพราะฝ่ายเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงเอง ก็ดูเหมือนจะมีส่วนสมยอมต่อเนื่องกันมาหลายทศวรรษ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 เลยก็ว่าได้ การเมืองไทยกับประชาชนไทย หากวิเคราะห์วิจารณ์กันให้ถ่องแท้ จึงมีลักษณะเป็น “ภาวะยอมจำนน” แทบทั้งระบบอย่างน่าวิเวกวังเวง
ใช่หรือไม่ว่า ทุกฝ่ายต่างดูเหมือนจะยอมจำนนต่อการที่จะกระทำในสิ่งที่ถูกต้องเป็นธรรม เพราะมีเงาทะมึนแห่งอำนาจและผลประโยชน์ครอบงำซ้อนทับกันอยู่อย่างแยกไม่ออก สังคมทั้งสังคมจึงมองไม่เห็นสีขาวสีดำแบ่งแยกกันชัดเจนอย่างที่ควรจะเป็น ภาพจริงที่เห็นที่เป็นอยู่ จึงเป็นสังคมสีเทาที่มีแต่คนสีเทาปะปนกันอยู่ทั้งฝ่ายปกครองและฝ่ายที่ถูกปกครองตลอดมา
จริงหรือไม่ว่า การบริหารจัดการบ้านเมืองขึ้นอยู่กับการบงการโดยอำนาจรัฐ ในเงื้อมมือของฝ่ายการเมือง ตั้งแต่การตรากฎกติกาไปจนถึงการควบคุม และจัดสรรทรัพยากรโดยรวมผ่านกลไกรัฐ ที่ก็อยู่ในภาวะยอมจำนนรับใช้ทางการเมือง โดยเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง ตกเป็นฝ่ายต้องยอมรับปฏิบัติตาม และอยู่ภายใต้อำนาจรัฐแบบถูกโน้มน้าวหรือบังคับให้ต้องยอมจำนน ในแทบทุกบริบททางสังคม อาจจะมีคนโต้แย้งว่า ปัจจุบันมาถึงยุคที่ภาคประชาชนตื่นตัวแล้ว และพร้อมจะลุกขึ้นสู้ในทุกเรื่องที่มีการใช้อำนาจรัฐอย่างไม่เป็นธรรมแล้ว ใครที่เชื่อมั่นอย่างนั้น ก็ขอให้ทำใจร่มๆ ติดตามดูเหตุบ้านการเมืองในหลายๆ กรณี ทั้งอดีตและปัจจุบันที่ยังยอมจำนนให้วงจรอุบาทว์ยังคงหมุนเวียนซ้ำรอยเดิมอยู่ร่ำไป
ผมเองก็เหมือนคนไทยที่รักความเป็นธรรมอีกมากมาย ที่อยากเห็นพลังของภาคประชาชนขับเคลื่อนอย่างมีศักยภาพ แต่ภาพจริงที่เห็นที่เป็นอยู่ ภาวะยอมจำนนที่ครอบงำทั้งสังคมมันคอยสั่นคลอนศรัทธาความเชื่อของผม และคนที่รักความเป็นธรรมอีกมากหลายอย่างยากจะควบคุม
เรื่องแล้วเรื่องเล่าที่ถูกเปิดโปง และเห็นชัดว่าผิด ไม่ว่าจะเป็นการทุจริต ไม่เป็นธรรม ไม่ชอบธรรม ทำร้ายทำลายวัฒนธรรมและศีลธรรมอันดีงามของสังคม แต่แล้วเรื่องชั่วร้ายเหล่านั้นก็คงอยู่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกเรื่องที่อื้อฉาวจะค่อยๆ เงียบหายไป สิ่งที่ไม่ถูกต้องผิดปกติก็กลับกลายเป็นเรื่องปกติที่สังคมไทยยอมรับมันได้ อย่างยอมจำนน
การแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทย การแต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดจนถึง นายอำเภอ ปลัดอำเภอ ที่สร้างความเสื่อมเสียต่อระบบการบริหารงานบุคคล และทำให้กระทรวงบำบัดทุกข์บำรุงสุขเสื่อมถอย หมดสิ้นเกียรติยศ เกียรติศักดิ์ ตกต่ำยิ่งกว่ายุคใดๆ แต่ต่อให้ร้องแรกแหกกระเชอกันอย่างไร ในที่สุดก็ต้องยอมจำนนปล่อยให้เป็นไปตามอำเภอใจของฝ่ายการเมืองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ถูกศาลพิพากษาให้พ้นจากสภาพ ส.ส.เป็นความผิดที่ปกติอารยประเทศก็ต้องลาออกแล้ว แต่ก็อิดออดอยู่นานจนถูกกดดันให้ลาออก แล้วก็ยังหน้าด้านไปลงสมัครรับเลือกตั้งใหม่ แล้วฝ่ายการเมืองก็เสนอให้กลับมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอีกทั้งสองคน แล้วเรื่องที่น่าอัปยศอดสูนี้ก็จะจางหายไปจนกลายเป็นเรื่องปกติ รัฐมนตรีฟอกผิดก็จะได้รับการยอมรับในอำนาจอย่างราบรื่น ถ้าไม่เรียกว่าภาวะยอมจำนนของสังคมไทย จะให้เรียกปรากฏการณ์ตบหน้าสังคมไทยนี้ว่ากระไรได้?
นักการเมืองระดับหัวหน้ารัฐบาลเอง ก็ตกอยู่ในภาวะยอมจำนนต่อการที่จะคิดตัดสินใจให้ถูกต้องเพื่อบ้านเพื่อเมืองในร้อยแปดพันเรื่อง ทั้งๆ ที่มีอำนาจรัฐสิทธิขาดอยู่ในมือ แต่เราก็คงได้เห็นตำหูตำตาว่า คนถูกตัดสิทธิทางการเมือง ยังสามารถลอยหน้าลอยตาบริหารจัดการพรรคการเมืองอย่างโจ่งแจ้งเหมือนไม่เคยต้องโทษทางการเมือง โดยนายกรัฐมนตรีดีกรีอ๊อกซฟอร์ด เห็นดีเห็นงามด้วย เพราะก่อนตั้งรัฐบาล ก็เดินทางไปมอบดอกไม้ และหารือการจัดตั้งรัฐบาลออกสื่อ จับมือ กอดกัน อย่างหน้าระรื่น และพอร่วมกันเป็นรัฐบาลแล้ว ทุกครั้งที่มีปัญหา นายกรัฐมนตรีก็ต้องวิ่งโร่ไปปรึกษาหัวหน้าพรรคตัวจริงเหล่านั้นอย่างเปิดเผย โดยไม่เคยรู้สึกสะดุ้งสะเทือนหรือระคายเคืองต่อความไม่ถูกต้องแต่อย่างใด
กฎเหล็กที่ประกาศเป็นสัญญาประชาคมก่อนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ยอมจำนนเฉไฉไม่ใช้ ไม่ว่ารัฐมนตรีร่วมคณะจะมีพฤติกรรมทำผิดคิดมิชอบอย่างไร เพราะจะเป็นการกระทบกระเทือนพรรคร่วมที่มีพระคุณต่างตอบแทน
กรณีปัญหาพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร และเขตแดนชายขอบไทย-กัมพูชา มิไยที่นักวิชาการ ผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญจะเปิดเผยข้อมูลแจกแจงแสดงเหตุและผล ชี้ถูกชี้ผิดด้วยข้อเท็จจริงและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เสนอแนะแนวทางที่รัฐบาลควรจะได้ดำเนินการอย่างไร เพื่อปกป้องเขตแดนและอธิปไตยเหนือดินแดน นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ยังคงแสดงท่าทียอมจำนนอ่อนข้อต่อสมเด็จฮุนเซน เข้าข้างกัมพูชา ตั้งหน้าตั้งตาตอบโต้คนไทยแทนกัมพูชาทุกเม็ดทุกช็อตอย่างน่าผิดสังเกต การดำเนินการทางการทูต การทหาร ยอมจำนนเสียเปรียบต่อกัมพูชาอย่างเหลือเชื่อ
ประเทศไทยตกอยู่ในภาวะอันตรายยากเยียวยาแน่ ถ้ายังปล่อยให้ “ภาวะยอมจำนน” ต่ออำนาจและผลประโยชน์ครอบงำกัดกร่อนทุกบริบททางสังคมอย่างที่เห็นที่เป็นอยู่