“ปัญญาพลวัตร”
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
คุณพนิช วิกิตเศรษฐ์ได้รับอาณัติจากนายกรัฐมนตรีให้ไปตรวจสอบความเดือดร้อนของชาวบ้านบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ประชาชนอีก 6 คนได้รับการชักชวนให้เข้าร่วมการตรวจสอบด้วยเพราะเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญติดตามปัญหาชายแดนอย่างต่อเนื่อง จึงถือได้ว่าบุคคลทั้งเจ็ดปฏิบัติภารกิจตามการมอบหมายของรัฐบาล ภายใต้การอำนวยการของนายกรัฐมนตรี
เมื่อทหารกัมพูชาลุกล้ำอธิปไตยของประเทศไทยเข้ามาจับกุมตัวบุคคลทั้งเจ็ดซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งรัฐบาลไทย และหนึ่งในคนไทยที่ถูกจับก็เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยซึ่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 122 ระบุอย่างชัดเจนว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย จึงเท่ากับว่าการกระทำของรัฐบาลกัมพูชาเป็นการประกาศความเป็นปรปักษ์กับรัฐบาลไทย และประชาชนไทยทั้งประเทศ
ท่าทีในการตอบสนองเหตุการณ์ของรัฐบาลไทยภายหลังเหตุการณ์เกิดขึ้นใหม่ๆมีสองลักษณะที่ขัดแย้งกันเอง ในช่วงแรกคุณอภิสิทธิในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรี ตอบสนองเหตุการณ์โดยเรียกผู้รับผิดชอบงานด้านความมั่นคงทั้งฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจำเข้ามาประชุมเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 และให้สัมภาษณ์ สรุปความได้ว่า ยังไม่ชัดเจนว่าคนไทยถูกจับในเขตไทยหรือกัมพูชา แต่ไม่ว่าอย่างไรกัมพูชาควรปล่อยคนไทยที่ถูกจับกุมทันทีและไม่ควรนำไปสู่กระบวนของศาลเพราะจะทำให้ปัญหาซับซ้อน
แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจคือบรรดานักการเมืองที่ทำหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงตั้งแต่รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีต่างประเทศ รัฐนตรีกลาโหม ตลอดจนไปถึงบรรดาข้าราชการประจำหลายคน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันในทำนองที่ว่า คนไทยทั้งเจ็ดล้ำแดนกัมพูชา คำถามคือมีอะไรเกิดขึ้นภายในรัฐบาล ทำไมนายกและผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านจึงพูดต่างกันราวหนังคนม้วน
หลังจากการสัมภาษณ์วันที่ 30 ธันวาคม 2553 แล้ว ดูเหมือนรัฐบาลฮุนเซนจะไม่ได้ยินเสียงของนายกรัฐมนตรีไทย จึงจับตัวคนไทยทั้งเจ็ดเข้าสู่กระบวนการศาล สิ่งที่รัฐบาลฮุนเซนดำเนินการจึงตรงกันข้ามกับความต้องการของคุณอภิสิทธิ์ ทีนี้คุณอภิสิทธิ์ทำอย่างไร คำตอบคือไปพักผ่อนที่จังหวัดตาก และปล่อยให้รัฐบาลฮุนเซนดำเนินการกับคนไทยตามใจชอบ
ไม่มีข่าวปรากฏออกมาสู่สาธารณะให้เห็นว่า รัฐบาลไทยเรียกตัวทูตกัมพูชาเข้าพบเพื่อสอบถามหรือยื่นข้อเรียกร้อง ไม่มีข่าวว่ารัฐบาลไทยประท้วงรัฐบาลกัมพูชาอย่างเป็นทางการต่อกระทำเยี่ยงโจรที่เข้ามาลักพาตัวคนไทยในเขตแดนประเทศไทย ไม่มีข่าวว่ารัฐบาลไทยยื่นคำขาดให้รัฐบาลกัมพูชาปล่อยตัวคนไทยอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่มีข่าวว่ารัฐบาลไทยประณามรัฐบาลฮุนเซนในการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ไม่มีข่าวว่ารัฐบาลไทยปิดชายแดนเพื่อกดดันรัฐบาลฮุนเซนให้ปล่อยตัวคนไทย ไม่มีข่าวว่ารัฐบาลไทยสั่งทหารให้เตรียมพร้อมบริเวณชายแดนไทยกัมพูชา และไม่มีอีกหลายข่าวที่บ่งบอกให้เห็นถึงความเข้มแข็งของรัฐบาลไทยในการช่วยเหลือคนไทย
สิ่งที่ประชาชนคนไทยได้ยินจากรัฐบาลคือ คนไทยทั้งเจ็ดล้ำแดนกัมพูชา ขณะนี้รัฐบาลส่งทนายให้ความช่วยเหลือคนไทยทั้งเจ็ดแล้ว ขอให้คนไทยอย่าวิพากษ์วิจารณ์ศาลกัมพูชา ขออย่าให้กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติหยุดประท้วงเพราะจะทำให้ฮุนเซนโกรธ เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ปล่อยให้รัฐบาลดำเนินการ ไม่นานคนไทยก็จะได้รับการปล่อยตัวออกมา รวมทั้งการให้คนใกล้ชิดนายกออกมาตอบโต้เกี่ยวกับพื้นที่บริเวณที่คนไทยถูกจับกับนักวิชาการของฝ่ายพันธมิตรซึ่งพยายามหาหลักฐานมาพิสูจน์ว่าคนไทยถูกจับในเขตแดนไทย สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการ ซึ่งการดำเนินการของรัฐบาลดูเหมือนสอดคล้องกับท่าทีของกลุ่มเสื้อแดงอันเป็นมิตรที่ดียิ่งของรัฐบาลฮุนเซน
เกิดอะไรขึ้นในรัฐบาลไทย การกระทำหรือการตอบสนองสถานการณ์เรื่องนี้ของรัฐบาลทั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน ดูราวกับว่า รัฐบาลนี้มีพฤติกรรมที่น่าเคลือบแคลงสงสัยยิ่ง ว่าเป็นรัฐบาลที่ยังมุ่งปกป้อง พิทักษ์รักษาชาติไทยและประชาชนไทยอยู่หรือไม่
การตอบสนองเหตุการณ์ของรัฐบาลไทยในครั้งนี้เผยให้เห็นถึงนัยอำนาจ และเป้าประสงค์ทางการเมืองทั้งภายในและระหว่างประเทศหลายประการ
เรื่องแรก บ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า นายกรัฐมนตรีมีอำนาจที่จำกัดอย่างยิ่ง เห็นได้จากเป้าประสงค์ของนายกที่ประกาศต่อสาธารณะเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 ได้รับการเพิกเฉยทั้งจากรัฐบาลฮุนเซนและจากบุคลากรฝ่ายความมั่นคงภายในประเทศ ไม่มีการดำเนินการใดๆทางยุทธศาสตร์ทั้งการฑูตและการทหารเพื่อตอบสนองเป้าประสงค์ของนายกรัฐมนตรีแม้แต่น้อย
จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้เห็นได้ชัดเจนขึ้นว่ากลุ่มอำนาจ(power bloc) ที่แท้จริงในรัฐบาลคือกลุ่มใดและมีเป้าประสงค์ทางการเมืองอย่างไร เพื่อความสะดวกในการอ้างอิงถึงกลุ่มอำนาจนี้ ผมขอเรียกว่า “กลุ่มเงาปีศาจ”
เรื่องที่สอง มีความเป็นไปได้ว่ามีการสมคบคิดกันระหว่าง กลุ่มเงาปีศาจ กลุ่มผู้ก่อการร้ายไร้แผ่นดิน และกลุ่มเผด็จการฮุนเซ็น กลุ่มนี้มีแบบแผนความคิดร่วมกันที่สำคัญคือ การแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรบริเวณชายแดนไทยกัมพูชาทั้งบนบกและในทะเลอ่าวไทยที่อุดมไปด้วยก๊าซและน้ำมัน เป้าประสงค์ของกลุ่มนี้คือ ลิดรอนอำนาจและความนิยมของประชาชนที่มีต่อคุณอภิสิทธิ์ โดยเปิดเผยให้สาธารณะเห็นถึงความอ่อนแอที่ถูกฉาบไว้ด้วยความอ่อนโยน ความขลาดกลัวที่ถูกฉาบไว้ด้วยหลักการ ความว่างเปล่าหรือความอับจนทางปัญญาที่ถูกฉาบไว้ถ้อยคำที่สวยหรู อันที่จริงสิ่งเหล่านี้อาจเป็นธรรมชาติหรือจิตเดิมของผู้นำไทยก็ได้
สิ่งที่สะท้อนว่าเป้าประสงค์ของกลุ่มเหล่านี้บรรลุคือ การที่สาธารณะเริ่มตระหนักถึงเนื้อแท้ของผู้นำว่าเป็นอย่างไร และตัวผู้นำเองก็ตระหนักถึงอำนาจที่แท้จริงของตนเองว่ามีมากน้อยขนาดไหน ความนิยมของประชาชนซึ่งเป็นอำนาจประการเดียวที่ผู้นำมีไว้ต่อรองกับกลุ่มเหล่านี้ก็เสื่อมคลายลงไป พวกเขาก็จะดำเนินการครอบงำและชักใยผู้นำให้เดินไปในทิศทางที่ตนเองกำหนดได้มากขึ้น กระบวนการนี้ ผมขอเรียกว่า “กระบวนการทำให้เป็นหุ่นกระบอก” (Puppetlization) แต่สิ่งที่น่าเศร้าคือ ดูเหมือนผู้นำคนนี้ของเราก็ดูมีความสุขดีกับการได้เป็นหุ่นกระบอก
แผนขั้นต่อไปหากผู้นำเสื่อมความนิยมมากๆ ผนวกกับการที่ผู้นำของกลุ่มเงาปีศาจ พยายามแสดงบทบาทในการช่วยเหลือคนไทยทั้งเจ็ด และหากทำสำเร็จ พวกเขาก็จะนำมาโฆษณาสร้างภาพลักษณ์ว่าตนเองมีความเข้มแข็งและมีบารมีมากกว่าผู้นำหุ่นเชิดของตนเอง และอาจเดินแผนในการเปลี่ยนแปลงผู้นำ ซึ่งอาจมีสองรูปแบบคือการยึดอำนาจในพรรคประชาธิปัตย์ กับ การออกไปจัดตั้งพรรคใหม่หรือไปร่วมกับพรรคภูมิใจไทย ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
คนไทยจำนวนหนึ่งที่เอือมระอากับความอ่อนแอของผู้นำ อาจมองพวกเขาเป็นทางเลือกก็ได้ และถ้าหากว่าพวกเขาจับมือกับพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้ง ก็อาจทำให้สังคมไทยมีรัฐบาลผสมระหว่างผู้นำของกลุ่มเงาปีศาจ พรรคภูมิใจไทย และพรรคเพื่อไทย ซึ่งนับว่าเป็นการลงตัวที่สมบูรณ์ของคนเหล่านี้
ถึงเวลานั้นเราก็จะมีรัฐบาลที่เป็นญาติดีกับฮุนเซน และอาจเอื้อเฟื้อประคองแผ่นดินและทรัพยากรให้กับเขมร เพื่อแลกกับผลกระโยช์ทางธุรกิจที่กลุ่มพวกเขามีอยู่ในเขมรปัจจุบัน และกำลังจะมีอย่างมหาศาลในอนาคต
ส่วนคนไทยและประเทศไทยก็คงต้องเจ็บช้ำกล้ำกลืน ดูแผ่นดินและทรัพยากรค่อยๆถูกเฉือนออกไปอย่างเจ็บปวด ดูศักดิ์ศรีที่ถูกกัดกร่อนและทำลาย และหากใครต่อต้านหรือชุมนุมขับไล่ ก็อาจถูกใช้อำนาจรัฐและอำนาจเถื่อนทำร้ายและฆ่าฟันอย่างไม่ยั้งมือ
เกมจับคนไทยครั้งนี้ มีความซับซ้อนและซ่อนเงื่อนปมไว้จำนวนมาก ไม่ใช่เรื่องเล็กที่ใครจะละเลยได้ แต่ต้องช่วยกันวิเคราะห์และแสวงหาความจริง เพื่อเปิดเผยโฉมหน้าและเป้าประสงค์ที่แท้จริงของเครือข่ายอำนาจที่อยู่เบื้องหลังออกมาให้กระจ่างชัด