ASTVผู้จัดการรายวัน - ศาลให้ประกันตัว “พนิช-นฤมล” คนละ1 ล้านเรียว เงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ “มาร์ค” ปัดให้ผู้ต้องหา 7 คนไทยรับสารภาพ “กษิต” ชี้เขมรจับกุม 7 คนไทย สัมพันธ์อาจบานปลายเป็นปัญหาระดับชาติ นัดถก “ฮอร์นัมฮง” อีกรอบ ด้าน “เทพมนตรี” ออกแถลงการณ์ผ่านเฟชบุ๊ก ย้ำคนไทยถูกจับบนผืนแผ่นดินไทยตามพิกัดแผนที่ของตชด.ที่ 12 ม็อบคนไทยฯ ยกระดับไล่รัฐ ล่า 5 หมื่นถอดถอนนายกฯ
วานนี้ (13 ม.ค.) นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ แถลงว่า ศาลกัมพูชาอนุญาตการประกันตัว นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ และนางนฤมล จิตรวะรัตนา 2 คน จากจำนวน 7 คน ภายใต้ 3 เงื่อนไข 1.ใช้เป็นวงเงินประกันตัวไป 1 ล้านเรียว หรือ 10,000 บาท 2.ให้พักอาศัยอยู่ภายในประเทศกัมพูชาเท่านั้น 3.ทันทีที่ศาลเรียกให้มารายงานตัว จะต้องเดินทางมารายงานตัวทันที
ส่วนที่ว่าเหตุใดจึงเป็น 2 คนนี้เพราะเป็นดุลยพินิจของศาลกัมพูชาที่จะพิจารณาเป็นรายบุคคล และขึ้นอยู่กับคำให้การของแต่ละคนที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามขณะนี้ทั้งคู่ได้เดินทางออกจากเรือนจำแล้วตั้งแต่ประมาณ 10.00 น. และไปอยู่ที่ทำเนียบเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ โดยนายพนิชได้พบภรรยาและลูกชายแล้ว สำหรับ 5 คนไทยที่เหลือ ขณะนี้ยังไม่มีการพิจารณาคำขอประกันตัว และกำลังรอดูว่าจะทยอยพิจารณาหรือไม่ ส่วนเรื่องการพิจารณาคดีก็ต้องดูว่าจะพิจารณาได้เมื่อไร
เมื่อถามว่าการที่ศาลอนุญาตให้ประกันตัว 2 คนไทย จะถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีหรือไม่ นายชวนนท์ กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่อยากพูดดักหน้าไว้ก่อน ก็ยังรอดูความคืบหน้าอย่างเป็นขั้นเป็นตอน แต่อย่างไรก็ตามสถานทูตและเจ้าหน้าที่ก็พร้อมเต็มที่ที่จะช่วยเหลือและต่อสู้คดี เพื่อให้ทั้ง 7 คนไทยพ้นจากคดีและเดินทางกลับประเทศไทยโดยเร็วที่สุด
**พบสื่อไทยหน้าทำเนียบทูตไทย
ทั้งนี้ นายพนิช และนางนฤมล ได้นั่งรถตู้ออกเดินทางจากเรือนจำเพรย์ซอว์ เพื่อไปพำนักต่อในกรุงพนมเปญ โดยนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชา ได้อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวของไทยได้พบกับนางนฤมลที่หน้าสถานทูต แต่ไม่อนุญาตให้เข้าไปถึงภายในสถานทูต โดยนางนฤมลได้เดินออกมาจากทำเนียบทูต เพื่อพูดคุยกับนายประศาสน์ ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
**กษิตย้ำ ช่วยเต็มที่ เจรจาทุกช่องทาง
มีรายงานว่า วันนี้ ในระหว่างการเดินทางเยือนประเทศติมอร์ตะวันออกอย่างเป็นทางการ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า เราคาดหวังและพยายามจะให้คนไทยทั้งหมดได้รับอนุญาตให้ประกันตัว ก็หวังว่าหลังจากนายพนิชและนางนฤมลแล้วสำหรับคนไทยที่เหลือก็จะว่ากันเป็นขั้นเป็นตอนต่อไป ขณะนี้สถานเอกอัครราชทูตและทนายกำลังพยายามอยู่
“เราช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ไม่ได้มีการเลือกปฏิบัติ มีความพยายามที่จะการติอต่อกันเป็นการภายในหลายช่องทางตั้งแต่วันแรก ทั้งช่องทางทางการ ช่องทางอย่างไม่เป็นทางการ รวมถึงทนาย” นายกษิตกล่าว
นายกษิต กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ตนได้นัดหมายเพื่อขอหารือกับ นายฮอร์ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการระหว่างวันที่ 15-17 ม.ค.นี้ โดยมีเป้าประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเข้าอกเข้าใจ เพราะไม่ต้องการให้มีข้อกังขาใดๆ ทั้งสิ้น ทุกอย่างให้เป็นไปตามเนื้อผ้า รัฐบาลทั้งสองประเทศ มีภาระหน้าที่ในการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดี และการอยู่ดีกินดีของพี่น้องตามแนวชายแดน เมื่อมีปัญหาที่กลายเป็นปัญหาระดับชาติ เช่น กรณี 7 คนไทย ก็ทำให้เกิดภาวะชะงักงัน และความไม่แน่นอนใจ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อปากท้องของพี่น้องประชาชน
“งานเฉพาะหน้าที่ต้องทำมีมากมาย ดังนั้น ต้องถามตัวเองว่าจะให้เรื่อง 7 คนไทยมาเป็นอุปสรรค เป็นเรื่องคาใจหรือไม่ เพราะมันไม่ได้เป็นเรื่องรุนแรง ทุกอย่างก็ได้ชี้แจงกันไปหมดแล้ว จึงอยากให้ปัญหายุติโดยเร็ว” นายกษิต กล่าว
เมื่อถามว่าพอใจกับพัฒนาการล่าสุดนี้หรือไม่ นายกษิตกล่าวว่า เราอยากได้ทั้ง 7 คน และอยากให้ศาลพิจารณาตัดสินในโอกาสแรก เพราะคิดว่าชาวไทยทั้งประเทศก็รออยู่และอยากให้เรื่องนี้ยุติเพราะยังมีเรื่องอื่นๆที่ต้องร่วมมือกันอีกเยอะ
**มาร์คคุยพนิชหลังได้ประกันตัว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า รับทราบรายงานแล้วและกำลังรอฟังกรณีของอีก 5 คนเพราะเราก็ต้องการที่จะช่วยเหลือทุกคน และได้คุยโทรศัพท์กับกับนายพนิช แต่ยังไม่ได้คุยอะไรมาก ซึ่งตนเพียงแต่บอกว่าให้บอกทุกคนว่าทางรัฐบาลเดินหน้าช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แล้วขอให้ดูแลตัวเองเรื่องของสุขภาพ เพราะกรณีของนางนฤมลก็จะเป็นคนที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพมากกว่าคนอื่น
ทั้งนี้ปฏิเสธว่ากรณีนี้รัฐบาลไม่ได้ช่วยนายพนิชคนเดียว เพราะทั้งหมดในการยื่นขอประกันตัวไปก็ยื่นไปทุกคน และตนกำลังรอรายละเอียดว่าการใช้ดุลพินิจของศาลเป็นลักษณะไหนอย่างไร
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ได้สอบถามนายพนิชล่าสุดก็บอกว่าเขาก็จะต้องรอศาลนัดไปฟังคำตัดสิน ส่วนจะมีการอุทธรณ์คดีหรือไม่นั้นยังไม่ทราบเพราะยังไม่ทราบอะไรทั้งสิ้น ส่วนกระแสข่าวที่ว่ารัฐบาลบอกให้ผู้ต้องหาของไทยทั้งหมดรับสารภาพ นายกฯ กล่าวยืนยันว่า “ไม่มีครับ” เรื่องทั้งหมดอย่างที่เรียนว่าเป็นเรื่องของการประสานงานของกระทรวงการต่างประเทศกับผู้เกี่ยวข้องและการให้ข้อมูล ซึ่งตนจะให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ชี้แจง
“ผมเป็นห่วงทุกคนครับ เพราะฉะนั้นที่ผ่านมาพยายามระมัดระวังที่สุดเพื่อช่วยเหลือทุกคน และยังเดินหน้าต่อ เพราะนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง เราก็จะต้องเดินหน้าช่วยเหลือทั้ง 7 คน ต่อไป”นายกฯ กล่าว
ทั้งนี้เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา มีการอ้างเรื่องการย้ายชุมชนบริเวณปราสาทพระวิหาร ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเจรจากับนายกฯ แต่เป็นบริหารพื้นที่มรดกโลก แต่นายกฯไม่ตอบและเดินออกไปทันที
**“เทือก”กร้าวห้ามม็อบคนไทยฯปิดด่าน
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่นักวิชาการยังต้องการให้รัฐบาลเพิ่มมาตรการกดดันกัมพูชามากกว่านี้ว่า แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคน สำหรับตนเชื่อว่าการพูดคุย เจรจาหรือประสานงานกันเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่การกดดัน ข่มขู่ ไม่ว่าทำกับใคร กับประเทศไหน ตนไม่คิดว่าจะได้ผล
ส่วนกรณีที่กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติจะเดินขบวนไปปิดด่านบริเวณชายแดนนายสุเทพ กล่าวว่า การที่จะใช้กำลังไปปิดด่านก็เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะด่านทั่วประเทศประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดนก็ไปมาหาสู่และทำมาหากินค้าขายกัน การที่กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติจะเอาอำนาจพลการไปใช้ คงไม่ได้
"การชุมนุมนั้นอาจชุมนุมได้ เพราะเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่ต้องไม่กระทำผิดกฎหมายและไม่กระทบต่กการใช้ชีวิตของผู้อื่น" นายสุเทพ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีข่าวว่าทางกลุ่มผู้ชุมนุมนอกจากจะยกระดับการชุมนุมเพื่อกดดันแล้ว ยังจะล่ารายชื่อเพื่อขอถวายฎีกาด้วย นายสุเทพ ยืนยันว่า รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ไทยดูแล ปกป้องอธิปไตยของประเทศได้อย่างสมบูรณ์แบบ
**โอน 2 เขมรปัดแลกกับ 7 คนไทย
นายสุเทพ ยังกล่าวถึงกระแสข่าวการต่อรองแลกเปลี่ยนในการส่งนักโทษให้กัน ว่า เป็นเรื่องตั้งแต่ที่นายกฯได้มอบหมายให้ตนไปกัมพูชาครั้งแรกเมื่อ 2 ปีมาแล้ว ซึ่งมีคนไทยมุสลิมถูกจำคุกอยู่ที่กัมพูชา ซึ่งรัฐบาลกัมพูชาปล่อยตัวมา และตอนนั้นเราจะต้องโอนนักโทษกัมพูชา 4 คน ไปรับโทษต่อที่ประเทศเขา แต่บังเอิญประเทศเราก็มีระเบียบ มีกฎหมาย มีกำหนดไว้ชัดเจนว่า นักโทษที่จะโอนไปรับโทษต่อในประเทศของตนนั้น จะต้องถูกจำคุกอยู่ในประเทศไทยไม่น้อยกว่ากี่ปี ซึ่งก็มาถึงในช่วงเวลานี้พอดี ที่ครบตามเงื่อนไขนั้น เราก็ต้องดำเนินการให้เขา แต่ก็เป็นเพียง 1-2 คนเท่านั้น ซึ่งตอนนั้นที่เจรจาคดีของนักโทษ 4 คน ซึ่ง 2 คนคดียังไม่สิ้นสุด ยังไม่ได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา แต่ 2 คนหลังนี้ครบกำหนดไปแล้ว เมื่อเดือนมกราคมคนหนึ่ง และจะครบกำหนดในเดือนเมษายนอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นการครบหลักเกณฑ์ ที่จะโอนตัวไปรับโทษในประเทศเขาได้
ผู้สื่อข่าวถามว่านักโทษ 2 คนที่เราปล่อยไปรับโทษในกัมพูชาต่อ เป็นนักโทษคดีอะไร รองนายกฯ กล่าวว่า จำไม่ได้ เมื่อถามว่าถึงข่าวที่กัมพูชาต้องการให้ทางการไทยปล่อยแรงงานต่างด้าว 60 คน ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร นายสุเทพ กล่าวว่า ยังไม่ทราบประเด็นนี้
ส่วนที่ทางกองทัพมีการขอเงิน 517 ล้านบาท เพื่อภารกิจเกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร นายสุเทพ กล่าวว่า คงต้องแยกกัน เรื่องงบประมาณนั้นมีหลายทาง แต่เรื่องของการปฏิบัติหน้าที่บริเวณชายแดนโดยรอบประเทศไทย ทางเจ้าหน้าที่ก็มีการดำเนินการอย่างเข้มแข็งเป็นปกติ งบประมาณที่กองทัพขอนั้น ก็เป็นงบที่ต้องใช้ในการดูแลกำลังพล เจ้าหน้าที่ ค่าใช้จ่าย ซึ่งไม่ได้ตั้งไว้ในงบประมาณปกติ “ไม่ใช่ราชการลับ แต่นี่เป็นราชการเปิดเผยธรรมดา” ส่วนจะเป็นการรองรับสถานการณ์ปราสาทพระวิหารหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า อย่าไปคิดไกลอย่างนั้น เจ้าหน้าที่ก็ต้องมีความพร้อมอยู่ตลอดเวลา
**ส่งตัว 2เขมรกลับประเทศ
ที่เรือนจำกลางจังหวัดอุบลราชธานี มีการปล่อยตัวผู้ต้องหาชาวกัมพูชา 2 คน คือนายฤทธิ์ พอน อายุ 35 ปี และนายแสน เรียนแตน อายุ 45 ปี ชาวบ้านโพธิ์ ต.จำปาสาน อ.จอมกระสาน จ.พระวิหาร ประเทศกัมพูชา หลังจากวันที่ 29 ธ.ค. 53 ถูกเจ้าหน้าที่ ฉก.กรม.ทพ.23 และเจ้าหน้าที่หน่วยรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยจันทร์แดง และเจ้าหน้าหน้าที่รักษาพันธ์สัตว์ป่ายอดโดม จับกุมได้บริเวณพิกัด
MA 021930 ทิศเหนือของเนิน 255 ประมาณ 500 เมตร เขต ต.ศรีวิเชียร อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ในข้อหาลักลอบเข้าเมืองผิดกฏหมาย ต่อมาศาลจังหวัดเดชอุดมได้พิพากษาจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี ค่าปรับคนละ 2,500 บาท คิดเป็นเงินวันละ 200 บาท ระหว่างรอการดำเนินคดีพิพากษาทั้ง 2 คน ถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำกลางจังหวัดอุบลราชธานี 13 วัน ครบจำนวนค่าปรับ ศาลจึงสั่งให้ปล่อยตัวทั้ง 2 รายกลับประเทศในวันนี้ (13)
ทั้งนี้มีการส่งตัวชาวกัมพูชาทั้ง 2 คน ให้พันเอก สรชัช สุทธิสน หัวหน้าหน่วยประสานงานชายแดนไทย-กัมพูชา ประจำพื้นที่ 1หรือ จุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ อ.ภูสิงค์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อส่งตัวชาวกัมพูชาทั้ง 2 คน ให้กับ นาย ซอ ทาวี รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระวิหาร ประเทศกัมพูชา
**ปธ.กมธ.เจบีซี” เล็งคุยพนิช
นายเจริญ คันธวงศ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ร่วมพิจารณาบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการ เขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) 3 ฉบับ ให้สัมภาษณ์ว่า จนถึงขณะนี้ตนยังไม่ทราบว่านายพนิช เข้าไปในพื้นที่ทับซ้อนด้วยเหตุผลอะไร ทั้งนี้ตนเตรียมหารือกับนายพนิชหลังได้กลับประเทศไทยนอกรอบการประชุมกมธ.เจบีซีถึงเหตุผลการเข้าพื้นที่ ส่วนจะให้นายพนิชชี้แจงในที่ประชุมกมธ.เจบีซีหรือไม่ขอพิจารณาอีกครั้งเพราะประเด็นดังกล่าวยอมรับว่ามีหลายกลุ่ม อาทิ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย, กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ที่พยายามนำเรื่องไปโยงประเด็นทางการเมือง เพราะในที่ประชุมกมธ.เจบีซี ประกอบไปด้วยส.ส.จากหลายพรรคและมีส.ว.ร่วมด้วย
ทั้งนี้ในวันที่ 18 ม.ค. กมธ.เจบีซี และกมธ.การต่างประเทศ จะลงพื้นที่หมู่บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว เป็นแบบไปเช้าเย็นกลับ ดังนั้นอาจจะมีการพิจารณาเรื่องระยะเวลาและระยะทางให้รอบคอบก่อน เบื้องต้นตนมองว่ายังไม่มีความจำเป็น เพราะประสงค์หลักคือการเข้าไปรับฟังข้อมูลจากประชาชนและหน่วยราชการในพื้นที่ประเด็นพื้นที่ทับซ้อน และจุดที่คนไทยถูกจับตัว
** มท.ถกรับมือคนไทยรักชาติ
วันเดียวกันนายชวรัตน์ ชาญวีรูล รมว.มหาดไทย ได้เรียกนายวิเชียร ชวลิต ปลัดกระทรวงมหาดไทย เข้าหารือเป็นการด่วน เพื่อสั่งการไปในพื้นที่กรณีกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ จะเดินทางไปยังอ.อรัญประเทศ เพื่อชุมนุมที่ด่านพรมแดน ขณะที่ผู้ว่าฯสระแก้ว ได้รายงานความพร้อมในการดูแลความสงบ ขณะที่ทหารกองกำลังบูรพา ก็เข้ามาช่วยดูแลความสงบอีกทาง
นายวิเชียร กล่าวว่า เบื้องต้นผู้ว่าสระแก้วรานงานว่า มีผู้ชุมนุมมารวมตัวกันอยู่ที่ อ.อรัญประเทศ ประมาณ 300 คน
**นักท่องเที่ยว-ผีพนันลดฮวบ
ขณะที่ จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ยังคงเปิดด่านพรมแดนฯตามปกติเหมือนทุกวัน แต่การเดินทางออกไปที่กัมพูชาของนักท่องเที่ยวชาวไทยได้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด นักท่องเที่ยวชาวไทยที่จะเดินทางไปเที่ยวนครวัด-นครทม จ.เสียมราฐ ของกัมพูชา ก็ลดลงเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะกรุ๊ปทัวร์
แม้แต่นักพนันชาวไทยที่เคยเดินทางออกไปเสี่ยงโชคในบ่อนกาสิโนฝั่งปอยเปตทั้ง 9 แห่งของประเทศกัมพูชาจำนวนก็ลดลงเหลือเกือบไม่ถึง 1,000 คน หลังเกิดเหตุการณ์
พล.ต.ต.ธีระยุทธ ธรรมสาโรช ผบก.ภ.จว.สระแก้ว ได้สั่งการให้ สภ.คลองลึก สภ.อรัญประเทศ สภ.ตาพระยา สภ.คลองหาด จ.สระแก้ว ที่รับผิดชอบด่านชายแดน ตั้งด่านตรวจย่านพาหนะและบุคคลภายนอกพื้นที่จังหวัดให้เน้นตรวจอาวุธที่จะเข้าก่อความไม่สงบในพื้นที่ พร้อมแจกจ่ายรายชื่อแกนนำและทะเบียนรถยนต์ของผู้ชุมนุม
**เช้าตึงเครียด-เย็นผ่อนคลาย
ส่วนบรรยากาศในฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา ช่วงเช้าชาวเขมรยังคงติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด โดยพบว่าในตลาดปอยเปต เริ่มมีความเครียดต่อข่าวดังกล่าวมากขึ้น โดยวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการแจ้งข้อหาเพิ่มกับ 2 คนไทยจะทำให้ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาเพิ่มความบาดหมางขึ้นและอาจจะนำไปสู่การตอบโต้จนทำให้ต้องมีการปิดด่านพรมแดนฯขึ้นได้ ซึ่งชาวกัมพูชาเป็นห่วงมากที่สุดคือการปิดด่านพรมแดนอรัญประเทศ
ขณะที่ช่วงเย็นชาวเขมรในตลาดโรงเกลือ เริ่มจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ ภายหลัง 2 คนไทยได้ประกันตัว โดยต่างเริ่มคลายวิตกกังวลแตกต่างกับช่วงเช้า
** คนสระแก้วซัดม๊อบทำลายชาติ
นายบำรุง ล้อเจริญวัฒนชัย ประธานสภาหอการค้า จ.สระแก้ว กล่าวว่า ที่จะมาปิดด่านชายแดนอรัญประเทศนั้น กลุ่มนี้ไม่ใช่คนรักชาติ แต่เป็นการมาทำลายชาติมากกว่า เพราะการที่กลุ่มดังกล่าวนั้นเข้ามาในพื้นที่แต่ละครั้ง ได้สร้างความเสียหายให้กับคนชายแดนทั้งครั้ง ด่านพรมแดนอรัญประเทศ ซึ่งมีตลาดโรงเกลือ สร้างรายได้ให้กับประเทศ ปีละกว่า 30,000 ล้านบาท โดยยังไม่นับรวมรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งตลาดโรงเกลือ และเมืองชายแดน
นายวงษ์ คำสุขดี กำนันตำบลป่าไร่ นายกิติศักดิ์ พรพรหมวินิจ นายกเทศมนตรีตำบลป่าไร่ นายประมวล ภายสำโรง ชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านอำเภออรัญประเทศ และผู้นำท้องถิ่นทั้ง 4 อำเภอชายแดน ร่วมกันแถลงการณ์ ต่อต้านการชุมนุมกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ 5 ข้อ คือ 1. พวกเราคนชายแดน ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมในครั้งนี้ 2. พวกเราคนชายแดน ขอเรียกร้องให้เลิกการชุมนุม หากดึงดัน พวกเราจะขอต่อต้านให้ถึงที่สุด 3. พวกเรา มีการค้าขาย ไปมาหาสู่กับประเทศเพื่อนบ้านด้วยดีมา อย่ามาสร้างความเดือดร้อนให้พวกเราเลย 4. หากท่านจะชุมนุมเพื่อเรียกร้องต่อรัฐบาลขอให้ไปชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล และข้อ 5. พวกเราคนชายแดนขอบคุณในความปรารถนาดีของพวกท่านแต่เราเชื่อว่า เราสามารถแก้ไขปัญหาของเราเองได้
**เร่งแก้ปัญหาเขตแดนก่อนศาลตัดสิน
นางอมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) กล่าวว่า หลังจากที่กสม.ออกแถลงการณ์ขอให้ทางรัฐบาลเร่งรัดและดูแลช่วยเหลือ 7 คนไทยไปแล้วนั้นตามกติกาสากลผู้ที่ถูกจับกุมต้องได้รับการดูแลและไม่ให้ถูกละเมิดสิทธิ ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศ แต่เรื่องดังกล่าวก็มีปัญหาในเรื่องของเขตแดน ดังนั้นจึงต้องเร่งจัดการในเรื่องปัญหาของเขตแดนให้มีความชัดเจนก่อนที่จะมีการตัดสินว่า คนไทยทั้ง 7 คนลุกล้ำเขตแดนหรือไม่
ส่วนที่นายวีระ สมความคิด ระบุว่า ถูกยัดข้อหานั้น นางอมรา กล่าวว่า เรื่องทั้งหมดตอนนี้อยู่ที่ประเทศกัมพูชา จึงต้องใช้กฎหมายของประเทศกัมพูชาในการพิจารณา ถึงแม้บางส่วนจะไม่ตรงกับกติกาสากล ทำให้เกิดความยากลำบากในการดำเนินการ แม้ในกติกาสากลจะกำหนดว่า ไม่มีกระบวนการที่จะลงโทษ เพราะฉะนั้นคงต้องมีการพูดคุยและต่อรองในเรื่องของกติกาสากลว่า เราควรได้รับการปฏิบัติตามหลักสากลหรือไม่ แต่หากประเทศกัมพูชาอ้างหลักกฎหมายภายในประเทศ ทางประเทศไทยก็คงต้องใช้กฎหมายระหว่างประเทศมาเป็นข้อโต้เถียงว่า สิ่งไหนมีความสำคัญกว่า
ในส่วนของกสม.คงไม่เดินทางลงพื้นที่ดังกล่าว เพราะไม่ใช่หน้าที่ของเรา เนื่องจากมีหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้อยู่แล้ว
**“เทพมนตรี”ยันแผนที่ตชด.
พิสูจน์ชัด7คนถูกจับในเขตไทย
นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ ได้ออกแถลงการณ์ ผ่านเว็บไซต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ข้อมูลใหม่ที่ได้รับมาเมื่อวันที่ 11 ม.ค.54 เป็นรายงานของ ผบ.ร้อย (สบ 2) กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 12 (กก.ตชด.12) (ร.126) และมี ผบ.มว.(สบ 1) บรรยายสรุปสถานการณ์/ตอบข้อซักถามกรณีคนไทยทั้ง 7 คนถูกเจ้าหน้าที่กัมพูชาจับกุมตัว พร้อมลงพื้นที่เกิดเหตุ พิกัด TA519234 ทำให้ตนและทีมงานตรวจสอบตำแหน่งพิกัดดังกล่าวเพื่อดูว่าคนไทย 7 คนนั้นอยู่ในเขตประเทศไทย หรืออยู่นอกประเทศ เมื่อพิจารณแล้วได้ข้อสรุปเบื้องต้นก็คือ พิกัดที่ TA519234 ของ กก.ตชด.12 (ร.126) เป็นพิกัดที่ทางหน่วยงานนำเสนออย่างเป็นทางการต่อผู้บังคับบัญชา และเมื่อตนนำไปพ๊อตไว้ในแผนที่ L7018 ซึ่งเป็นระวางแผนที่ที่ ตชด.ให้มา ทำให้พบว่าคนไทยทั้ง 7 คนยังอยู่ในประเทศไทย
นอกจากนี้ พิกัด TA518234 ของ กก.ตชด.12 (ร.126) หน่วยงานเดียวกัน ได้รายงานว่านายวีระได้ถูกจับในพิกัดนี้เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2553 อันเป็นการถูกจับครั้งแรกก็ยังอยู่ในดินแดนประเทศไทย ด้วยเหตุนี้ตนจึงขอออกแถลงการณ์ว่า เมื่อเรานำเอาพิกัดจุดที่นายวีระถูกจับครั้งแรกไปเปรียบเทียบกับจุดที่นายพนิชและคณะอีก 6 คนถูกจับ มาวางลงบนแผนที่ L7018 ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีนำใช้ ปรากฏว่า การถูกจับทั้งสองครั้งก็ยังอยู่ในดินแดนของประเทศไทย และผลของการพิสูจน์ทำให้หมู่บ้านหนองจาน ที่เคยเป็นที่ตั้งค่ายอพยพหรือศูนย์อพยพที่ปรากฏหลักฐานในแผนที่ L7017 และ L7018 ที่นายพนิชและคณะถูกจับไปนั้นก็ยังอยู่ในเขตประเทศไทยเช่นกัน
**ม็อบคนไทยฯยกระดับไล่รัฐ
ส่วนการชุมนุมกลุ่มมวลชนเครือข่ายประชาชนคนไทยหัวใจรักชาติ ที่บริเวณข้างทำเนียบรัฐบาล มีการนำเต้นท์มากางเพิ่มเติมบนพื้นถนนพิษณุโลก จนทำให้สูญเสีญช่องทางจราจรไป 2 ช่องทาง ทำให้การจราจรบริเวณถนนพิษณุโลกติดขัดอย่างมาก
รวมทั้งกองทัพธรรมมูลนิธิ ได้นำประชาชนผู้ศรัทธาในแนวทางของสันติอโศก มาเพิ่มจำนวนผู้ชุมนุมอีกหลายคันรถ ทำให้จำนวนผู้ชุมนุมในช่วงเที่ยงมีประมาณ 500 คน
ทั้งนี้ ในการชุมนุมของเครือข่ายฯ ที่ริมถนนพิษณุโลกทำเนียบรัฐบาล มีการแจกจ่ายเอกสาร “กองทัพประชาชนรวมหัวใจถวายคืนพระราชอำนาจ” ให้ผู้ร่วมชุมนุมและประชาชนที่สัญจรไปมา ร่วมลงนามขอถวายคืนพระราชอำนาจ
**บุก“บัวแก้วขู่พังประตู”
เวลา 14.00 น.กลุ่มเครือข่ายฯจำนวนหนึ่งนำโดยนายสมบูรณ์ ทองบุราณ และนายสุนทร รักษ์รงค์ ผู้ประสานงานเครือข่ายฯ ได้เคลื่อนขบวนไปกดดันรัฐบาล ที่บริเวณหน้า กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อขับไล่นายอภิสิทธิ์ นายกษิต และนายชวนนท์ ให้ลาออกจากตำแหน่ง รวมทั้งจะไล่นายสุเทพ เเละพลเอกประวิตรรวมทั้งนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย เอกอัคราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ ลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากไม่มีความชอบธรรมในการทำงาน
ทั้งนี้มีการเรียกร้องขอให้ตัวแทนจากเครือข่ายฯ เข้าไปตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ โดยข่มขู่ว่าจะบุกเข้ากระทรวงหากไม่เปิดประตูให้ และจะชุมนุมค้างคืนเป็นการกดดัน
เมื่อเวลาเวลา 18.00 น. พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล1 ได้มาเจรจากับผู้ชุมนุมเพื่อขอให้เปิดทางให้ข้าราชการกระทรวงเดินทางกลับบ้าน จากนั้นผู้ชุมนุมได้เปิดทางและเดินทางกลับไปร่วมชุมนุมที่หน้าทำเนียบต่อ
**ล่า5หมื่นถอดนายกฯ กั๊กไปอรัญ
ส่วนการเคลื่อนขบวนไป อ.อรัญประเทศ เพื่อยกระดับการกดดันรัฐบาล นายไชวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำเครือข่าย แถลงว่า หลังจากที่ตนได้ข้อมูลมาว่ากลุ่มประชาชน ที่ชุมนุมคัดค้านเครือข่ายคนไทยฯ ในครั้งที่แล้วนั้นได้รับการจัดตั้งมาจากกองทุนของบ่อนการพนันผิดกฎหมายและกลุ่มธุรกิจผิดกฎหมาย ทั้งแรงงานเถื่อนและน้ำมันเถื่อน ซึ่งมีกลุ่มแม่บ้านตำรวจตระเวณชายแดน ประมาณ 30 คนและกลุ่มแรงงานชาวเขมรที่มารับจ้างตัดอ้อยในพื้นที่ จ.สระแก้ว รวมแล้วประมาณ 500 คน ทำให้ต้องมาพิจารณาว่าการเดินทางไปอ.อรัญประเทศ นั้นจะมีความเสี่ยงและคุ้มค่ากับความปลอดภัยของเครือข่ายคนไทยฯ มากแค่ไหน
เวลา 17.30น.นายไชยวัฒน์ แถลงว่า กลุ่มเครือข่ายฯจะชุมนุมต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง จนกว่านายอภิสิทธิ์ จะลาออกจากตำแหน่ง รวมถึงจะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมาลงทะเบียนเข้าชุมนุมให้ได้ 50,000 รายชื่อ เพื่อยื่นถอดถอนบุคคลได้ตามหลักรัฐธรรมนูญคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเเละคณะ ซึ่งหากได้รายชื่อครบตามเป้าหมายก็จะกำหนดกิจกรรมสุดท้ายได้ รวมถึงจะกระจายกันไปชุมนุมที่หน้ากระทรวงกลาโหมเพิ่มอีกจุดด้วย ส่วนการเดินทางไป อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว คงต้องรอให้การประชุมลับเสร็จสิ้นก่อน เพราะวันนี้แกนนำเครือข่ายฯบางส่วนยังเดินทางมาถึงเเละไม่พร้อม โดยวันที่ 14 ม.ค.เวลา 11.00 น. จะแถลงข่าวอีกครั้ง
**มั่วคำสั่งจากไทยให้อัดวีระในคุก
รายงานข่าวแจ้งว่า กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ได้ประเมินโดยตั้งข้อสังเกตว่า มีนายพล.อ.คนหนึ่งน่าจะรู้เรื่องนี้มาตลอด ตั้งแต่การลับลอบตัดไม้ การนำวัวเถื่อน สินค้าเถื่อน บางครั้งก็มียาเสพติด จะเข้าออกทางนี้ซึ่งเป็นพื้นที่ทหารดูแล จึงสะดวกสบาย จากทหารเขมรที่เป็นอดีตทหารเขมรแดง
ขณะที่พื้นที่แถบนี้ในพื้นที่ดินมีแร่พลอยอ่อนจำนวนมากอยู่ตามแนวตะเข็บชายแดน ยาวไปจนจรดจังหวัดอุบลฯที่เรียกว่าสามเหลี่ยมมรกต ซึ่งมีกลุ่มทุนใหญ่มีโครงการจะทำเป็นรีสอรท์ โรงแรม สนามกอล์ฟ โดยพวกทหารไทย ทหารเขมรระดับสูงและนักการเมืองไทย(บางคน)ได้ผลประโยชน์
นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งลับให้นักโทษเขมรที่อยู่ในคุกรุมอัดนายวีระ เป็นการสั่งสอนและถ้าเป็นไปได้ก็ให้ติดนานที่สุดเท่าที่จะนานได้ สถานทูตไทยในเขมรเป็นคนสั่งการไปยังพัสดีเขมรว่าถ้าคนไทยที่จะไปเยี่ยมจะต้องได้รับการเห็นชอบจากสถานทูตไทย ทำให้คนไทยที่เดินทางไปเยี่ยมไม่สามารถเข้าเยี่ยมได้ ทางการเขมรบอกว่าเขาไม่ได้ห้าม แต่ทางการไทยห้ามเอง
วานนี้ (13 ม.ค.) นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ แถลงว่า ศาลกัมพูชาอนุญาตการประกันตัว นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ และนางนฤมล จิตรวะรัตนา 2 คน จากจำนวน 7 คน ภายใต้ 3 เงื่อนไข 1.ใช้เป็นวงเงินประกันตัวไป 1 ล้านเรียว หรือ 10,000 บาท 2.ให้พักอาศัยอยู่ภายในประเทศกัมพูชาเท่านั้น 3.ทันทีที่ศาลเรียกให้มารายงานตัว จะต้องเดินทางมารายงานตัวทันที
ส่วนที่ว่าเหตุใดจึงเป็น 2 คนนี้เพราะเป็นดุลยพินิจของศาลกัมพูชาที่จะพิจารณาเป็นรายบุคคล และขึ้นอยู่กับคำให้การของแต่ละคนที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามขณะนี้ทั้งคู่ได้เดินทางออกจากเรือนจำแล้วตั้งแต่ประมาณ 10.00 น. และไปอยู่ที่ทำเนียบเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ โดยนายพนิชได้พบภรรยาและลูกชายแล้ว สำหรับ 5 คนไทยที่เหลือ ขณะนี้ยังไม่มีการพิจารณาคำขอประกันตัว และกำลังรอดูว่าจะทยอยพิจารณาหรือไม่ ส่วนเรื่องการพิจารณาคดีก็ต้องดูว่าจะพิจารณาได้เมื่อไร
เมื่อถามว่าการที่ศาลอนุญาตให้ประกันตัว 2 คนไทย จะถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีหรือไม่ นายชวนนท์ กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่อยากพูดดักหน้าไว้ก่อน ก็ยังรอดูความคืบหน้าอย่างเป็นขั้นเป็นตอน แต่อย่างไรก็ตามสถานทูตและเจ้าหน้าที่ก็พร้อมเต็มที่ที่จะช่วยเหลือและต่อสู้คดี เพื่อให้ทั้ง 7 คนไทยพ้นจากคดีและเดินทางกลับประเทศไทยโดยเร็วที่สุด
**พบสื่อไทยหน้าทำเนียบทูตไทย
ทั้งนี้ นายพนิช และนางนฤมล ได้นั่งรถตู้ออกเดินทางจากเรือนจำเพรย์ซอว์ เพื่อไปพำนักต่อในกรุงพนมเปญ โดยนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชา ได้อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวของไทยได้พบกับนางนฤมลที่หน้าสถานทูต แต่ไม่อนุญาตให้เข้าไปถึงภายในสถานทูต โดยนางนฤมลได้เดินออกมาจากทำเนียบทูต เพื่อพูดคุยกับนายประศาสน์ ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
**กษิตย้ำ ช่วยเต็มที่ เจรจาทุกช่องทาง
มีรายงานว่า วันนี้ ในระหว่างการเดินทางเยือนประเทศติมอร์ตะวันออกอย่างเป็นทางการ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า เราคาดหวังและพยายามจะให้คนไทยทั้งหมดได้รับอนุญาตให้ประกันตัว ก็หวังว่าหลังจากนายพนิชและนางนฤมลแล้วสำหรับคนไทยที่เหลือก็จะว่ากันเป็นขั้นเป็นตอนต่อไป ขณะนี้สถานเอกอัครราชทูตและทนายกำลังพยายามอยู่
“เราช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ไม่ได้มีการเลือกปฏิบัติ มีความพยายามที่จะการติอต่อกันเป็นการภายในหลายช่องทางตั้งแต่วันแรก ทั้งช่องทางทางการ ช่องทางอย่างไม่เป็นทางการ รวมถึงทนาย” นายกษิตกล่าว
นายกษิต กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ตนได้นัดหมายเพื่อขอหารือกับ นายฮอร์ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการระหว่างวันที่ 15-17 ม.ค.นี้ โดยมีเป้าประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเข้าอกเข้าใจ เพราะไม่ต้องการให้มีข้อกังขาใดๆ ทั้งสิ้น ทุกอย่างให้เป็นไปตามเนื้อผ้า รัฐบาลทั้งสองประเทศ มีภาระหน้าที่ในการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดี และการอยู่ดีกินดีของพี่น้องตามแนวชายแดน เมื่อมีปัญหาที่กลายเป็นปัญหาระดับชาติ เช่น กรณี 7 คนไทย ก็ทำให้เกิดภาวะชะงักงัน และความไม่แน่นอนใจ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อปากท้องของพี่น้องประชาชน
“งานเฉพาะหน้าที่ต้องทำมีมากมาย ดังนั้น ต้องถามตัวเองว่าจะให้เรื่อง 7 คนไทยมาเป็นอุปสรรค เป็นเรื่องคาใจหรือไม่ เพราะมันไม่ได้เป็นเรื่องรุนแรง ทุกอย่างก็ได้ชี้แจงกันไปหมดแล้ว จึงอยากให้ปัญหายุติโดยเร็ว” นายกษิต กล่าว
เมื่อถามว่าพอใจกับพัฒนาการล่าสุดนี้หรือไม่ นายกษิตกล่าวว่า เราอยากได้ทั้ง 7 คน และอยากให้ศาลพิจารณาตัดสินในโอกาสแรก เพราะคิดว่าชาวไทยทั้งประเทศก็รออยู่และอยากให้เรื่องนี้ยุติเพราะยังมีเรื่องอื่นๆที่ต้องร่วมมือกันอีกเยอะ
**มาร์คคุยพนิชหลังได้ประกันตัว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า รับทราบรายงานแล้วและกำลังรอฟังกรณีของอีก 5 คนเพราะเราก็ต้องการที่จะช่วยเหลือทุกคน และได้คุยโทรศัพท์กับกับนายพนิช แต่ยังไม่ได้คุยอะไรมาก ซึ่งตนเพียงแต่บอกว่าให้บอกทุกคนว่าทางรัฐบาลเดินหน้าช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แล้วขอให้ดูแลตัวเองเรื่องของสุขภาพ เพราะกรณีของนางนฤมลก็จะเป็นคนที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพมากกว่าคนอื่น
ทั้งนี้ปฏิเสธว่ากรณีนี้รัฐบาลไม่ได้ช่วยนายพนิชคนเดียว เพราะทั้งหมดในการยื่นขอประกันตัวไปก็ยื่นไปทุกคน และตนกำลังรอรายละเอียดว่าการใช้ดุลพินิจของศาลเป็นลักษณะไหนอย่างไร
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ได้สอบถามนายพนิชล่าสุดก็บอกว่าเขาก็จะต้องรอศาลนัดไปฟังคำตัดสิน ส่วนจะมีการอุทธรณ์คดีหรือไม่นั้นยังไม่ทราบเพราะยังไม่ทราบอะไรทั้งสิ้น ส่วนกระแสข่าวที่ว่ารัฐบาลบอกให้ผู้ต้องหาของไทยทั้งหมดรับสารภาพ นายกฯ กล่าวยืนยันว่า “ไม่มีครับ” เรื่องทั้งหมดอย่างที่เรียนว่าเป็นเรื่องของการประสานงานของกระทรวงการต่างประเทศกับผู้เกี่ยวข้องและการให้ข้อมูล ซึ่งตนจะให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ชี้แจง
“ผมเป็นห่วงทุกคนครับ เพราะฉะนั้นที่ผ่านมาพยายามระมัดระวังที่สุดเพื่อช่วยเหลือทุกคน และยังเดินหน้าต่อ เพราะนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง เราก็จะต้องเดินหน้าช่วยเหลือทั้ง 7 คน ต่อไป”นายกฯ กล่าว
ทั้งนี้เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา มีการอ้างเรื่องการย้ายชุมชนบริเวณปราสาทพระวิหาร ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเจรจากับนายกฯ แต่เป็นบริหารพื้นที่มรดกโลก แต่นายกฯไม่ตอบและเดินออกไปทันที
**“เทือก”กร้าวห้ามม็อบคนไทยฯปิดด่าน
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่นักวิชาการยังต้องการให้รัฐบาลเพิ่มมาตรการกดดันกัมพูชามากกว่านี้ว่า แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคน สำหรับตนเชื่อว่าการพูดคุย เจรจาหรือประสานงานกันเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่การกดดัน ข่มขู่ ไม่ว่าทำกับใคร กับประเทศไหน ตนไม่คิดว่าจะได้ผล
ส่วนกรณีที่กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติจะเดินขบวนไปปิดด่านบริเวณชายแดนนายสุเทพ กล่าวว่า การที่จะใช้กำลังไปปิดด่านก็เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะด่านทั่วประเทศประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดนก็ไปมาหาสู่และทำมาหากินค้าขายกัน การที่กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติจะเอาอำนาจพลการไปใช้ คงไม่ได้
"การชุมนุมนั้นอาจชุมนุมได้ เพราะเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่ต้องไม่กระทำผิดกฎหมายและไม่กระทบต่กการใช้ชีวิตของผู้อื่น" นายสุเทพ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีข่าวว่าทางกลุ่มผู้ชุมนุมนอกจากจะยกระดับการชุมนุมเพื่อกดดันแล้ว ยังจะล่ารายชื่อเพื่อขอถวายฎีกาด้วย นายสุเทพ ยืนยันว่า รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ไทยดูแล ปกป้องอธิปไตยของประเทศได้อย่างสมบูรณ์แบบ
**โอน 2 เขมรปัดแลกกับ 7 คนไทย
นายสุเทพ ยังกล่าวถึงกระแสข่าวการต่อรองแลกเปลี่ยนในการส่งนักโทษให้กัน ว่า เป็นเรื่องตั้งแต่ที่นายกฯได้มอบหมายให้ตนไปกัมพูชาครั้งแรกเมื่อ 2 ปีมาแล้ว ซึ่งมีคนไทยมุสลิมถูกจำคุกอยู่ที่กัมพูชา ซึ่งรัฐบาลกัมพูชาปล่อยตัวมา และตอนนั้นเราจะต้องโอนนักโทษกัมพูชา 4 คน ไปรับโทษต่อที่ประเทศเขา แต่บังเอิญประเทศเราก็มีระเบียบ มีกฎหมาย มีกำหนดไว้ชัดเจนว่า นักโทษที่จะโอนไปรับโทษต่อในประเทศของตนนั้น จะต้องถูกจำคุกอยู่ในประเทศไทยไม่น้อยกว่ากี่ปี ซึ่งก็มาถึงในช่วงเวลานี้พอดี ที่ครบตามเงื่อนไขนั้น เราก็ต้องดำเนินการให้เขา แต่ก็เป็นเพียง 1-2 คนเท่านั้น ซึ่งตอนนั้นที่เจรจาคดีของนักโทษ 4 คน ซึ่ง 2 คนคดียังไม่สิ้นสุด ยังไม่ได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา แต่ 2 คนหลังนี้ครบกำหนดไปแล้ว เมื่อเดือนมกราคมคนหนึ่ง และจะครบกำหนดในเดือนเมษายนอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นการครบหลักเกณฑ์ ที่จะโอนตัวไปรับโทษในประเทศเขาได้
ผู้สื่อข่าวถามว่านักโทษ 2 คนที่เราปล่อยไปรับโทษในกัมพูชาต่อ เป็นนักโทษคดีอะไร รองนายกฯ กล่าวว่า จำไม่ได้ เมื่อถามว่าถึงข่าวที่กัมพูชาต้องการให้ทางการไทยปล่อยแรงงานต่างด้าว 60 คน ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร นายสุเทพ กล่าวว่า ยังไม่ทราบประเด็นนี้
ส่วนที่ทางกองทัพมีการขอเงิน 517 ล้านบาท เพื่อภารกิจเกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร นายสุเทพ กล่าวว่า คงต้องแยกกัน เรื่องงบประมาณนั้นมีหลายทาง แต่เรื่องของการปฏิบัติหน้าที่บริเวณชายแดนโดยรอบประเทศไทย ทางเจ้าหน้าที่ก็มีการดำเนินการอย่างเข้มแข็งเป็นปกติ งบประมาณที่กองทัพขอนั้น ก็เป็นงบที่ต้องใช้ในการดูแลกำลังพล เจ้าหน้าที่ ค่าใช้จ่าย ซึ่งไม่ได้ตั้งไว้ในงบประมาณปกติ “ไม่ใช่ราชการลับ แต่นี่เป็นราชการเปิดเผยธรรมดา” ส่วนจะเป็นการรองรับสถานการณ์ปราสาทพระวิหารหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า อย่าไปคิดไกลอย่างนั้น เจ้าหน้าที่ก็ต้องมีความพร้อมอยู่ตลอดเวลา
**ส่งตัว 2เขมรกลับประเทศ
ที่เรือนจำกลางจังหวัดอุบลราชธานี มีการปล่อยตัวผู้ต้องหาชาวกัมพูชา 2 คน คือนายฤทธิ์ พอน อายุ 35 ปี และนายแสน เรียนแตน อายุ 45 ปี ชาวบ้านโพธิ์ ต.จำปาสาน อ.จอมกระสาน จ.พระวิหาร ประเทศกัมพูชา หลังจากวันที่ 29 ธ.ค. 53 ถูกเจ้าหน้าที่ ฉก.กรม.ทพ.23 และเจ้าหน้าที่หน่วยรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยจันทร์แดง และเจ้าหน้าหน้าที่รักษาพันธ์สัตว์ป่ายอดโดม จับกุมได้บริเวณพิกัด
MA 021930 ทิศเหนือของเนิน 255 ประมาณ 500 เมตร เขต ต.ศรีวิเชียร อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ในข้อหาลักลอบเข้าเมืองผิดกฏหมาย ต่อมาศาลจังหวัดเดชอุดมได้พิพากษาจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี ค่าปรับคนละ 2,500 บาท คิดเป็นเงินวันละ 200 บาท ระหว่างรอการดำเนินคดีพิพากษาทั้ง 2 คน ถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำกลางจังหวัดอุบลราชธานี 13 วัน ครบจำนวนค่าปรับ ศาลจึงสั่งให้ปล่อยตัวทั้ง 2 รายกลับประเทศในวันนี้ (13)
ทั้งนี้มีการส่งตัวชาวกัมพูชาทั้ง 2 คน ให้พันเอก สรชัช สุทธิสน หัวหน้าหน่วยประสานงานชายแดนไทย-กัมพูชา ประจำพื้นที่ 1หรือ จุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ อ.ภูสิงค์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อส่งตัวชาวกัมพูชาทั้ง 2 คน ให้กับ นาย ซอ ทาวี รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระวิหาร ประเทศกัมพูชา
**ปธ.กมธ.เจบีซี” เล็งคุยพนิช
นายเจริญ คันธวงศ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ร่วมพิจารณาบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการ เขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) 3 ฉบับ ให้สัมภาษณ์ว่า จนถึงขณะนี้ตนยังไม่ทราบว่านายพนิช เข้าไปในพื้นที่ทับซ้อนด้วยเหตุผลอะไร ทั้งนี้ตนเตรียมหารือกับนายพนิชหลังได้กลับประเทศไทยนอกรอบการประชุมกมธ.เจบีซีถึงเหตุผลการเข้าพื้นที่ ส่วนจะให้นายพนิชชี้แจงในที่ประชุมกมธ.เจบีซีหรือไม่ขอพิจารณาอีกครั้งเพราะประเด็นดังกล่าวยอมรับว่ามีหลายกลุ่ม อาทิ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย, กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ที่พยายามนำเรื่องไปโยงประเด็นทางการเมือง เพราะในที่ประชุมกมธ.เจบีซี ประกอบไปด้วยส.ส.จากหลายพรรคและมีส.ว.ร่วมด้วย
ทั้งนี้ในวันที่ 18 ม.ค. กมธ.เจบีซี และกมธ.การต่างประเทศ จะลงพื้นที่หมู่บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว เป็นแบบไปเช้าเย็นกลับ ดังนั้นอาจจะมีการพิจารณาเรื่องระยะเวลาและระยะทางให้รอบคอบก่อน เบื้องต้นตนมองว่ายังไม่มีความจำเป็น เพราะประสงค์หลักคือการเข้าไปรับฟังข้อมูลจากประชาชนและหน่วยราชการในพื้นที่ประเด็นพื้นที่ทับซ้อน และจุดที่คนไทยถูกจับตัว
** มท.ถกรับมือคนไทยรักชาติ
วันเดียวกันนายชวรัตน์ ชาญวีรูล รมว.มหาดไทย ได้เรียกนายวิเชียร ชวลิต ปลัดกระทรวงมหาดไทย เข้าหารือเป็นการด่วน เพื่อสั่งการไปในพื้นที่กรณีกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ จะเดินทางไปยังอ.อรัญประเทศ เพื่อชุมนุมที่ด่านพรมแดน ขณะที่ผู้ว่าฯสระแก้ว ได้รายงานความพร้อมในการดูแลความสงบ ขณะที่ทหารกองกำลังบูรพา ก็เข้ามาช่วยดูแลความสงบอีกทาง
นายวิเชียร กล่าวว่า เบื้องต้นผู้ว่าสระแก้วรานงานว่า มีผู้ชุมนุมมารวมตัวกันอยู่ที่ อ.อรัญประเทศ ประมาณ 300 คน
**นักท่องเที่ยว-ผีพนันลดฮวบ
ขณะที่ จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ยังคงเปิดด่านพรมแดนฯตามปกติเหมือนทุกวัน แต่การเดินทางออกไปที่กัมพูชาของนักท่องเที่ยวชาวไทยได้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด นักท่องเที่ยวชาวไทยที่จะเดินทางไปเที่ยวนครวัด-นครทม จ.เสียมราฐ ของกัมพูชา ก็ลดลงเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะกรุ๊ปทัวร์
แม้แต่นักพนันชาวไทยที่เคยเดินทางออกไปเสี่ยงโชคในบ่อนกาสิโนฝั่งปอยเปตทั้ง 9 แห่งของประเทศกัมพูชาจำนวนก็ลดลงเหลือเกือบไม่ถึง 1,000 คน หลังเกิดเหตุการณ์
พล.ต.ต.ธีระยุทธ ธรรมสาโรช ผบก.ภ.จว.สระแก้ว ได้สั่งการให้ สภ.คลองลึก สภ.อรัญประเทศ สภ.ตาพระยา สภ.คลองหาด จ.สระแก้ว ที่รับผิดชอบด่านชายแดน ตั้งด่านตรวจย่านพาหนะและบุคคลภายนอกพื้นที่จังหวัดให้เน้นตรวจอาวุธที่จะเข้าก่อความไม่สงบในพื้นที่ พร้อมแจกจ่ายรายชื่อแกนนำและทะเบียนรถยนต์ของผู้ชุมนุม
**เช้าตึงเครียด-เย็นผ่อนคลาย
ส่วนบรรยากาศในฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา ช่วงเช้าชาวเขมรยังคงติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด โดยพบว่าในตลาดปอยเปต เริ่มมีความเครียดต่อข่าวดังกล่าวมากขึ้น โดยวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการแจ้งข้อหาเพิ่มกับ 2 คนไทยจะทำให้ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาเพิ่มความบาดหมางขึ้นและอาจจะนำไปสู่การตอบโต้จนทำให้ต้องมีการปิดด่านพรมแดนฯขึ้นได้ ซึ่งชาวกัมพูชาเป็นห่วงมากที่สุดคือการปิดด่านพรมแดนอรัญประเทศ
ขณะที่ช่วงเย็นชาวเขมรในตลาดโรงเกลือ เริ่มจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ ภายหลัง 2 คนไทยได้ประกันตัว โดยต่างเริ่มคลายวิตกกังวลแตกต่างกับช่วงเช้า
** คนสระแก้วซัดม๊อบทำลายชาติ
นายบำรุง ล้อเจริญวัฒนชัย ประธานสภาหอการค้า จ.สระแก้ว กล่าวว่า ที่จะมาปิดด่านชายแดนอรัญประเทศนั้น กลุ่มนี้ไม่ใช่คนรักชาติ แต่เป็นการมาทำลายชาติมากกว่า เพราะการที่กลุ่มดังกล่าวนั้นเข้ามาในพื้นที่แต่ละครั้ง ได้สร้างความเสียหายให้กับคนชายแดนทั้งครั้ง ด่านพรมแดนอรัญประเทศ ซึ่งมีตลาดโรงเกลือ สร้างรายได้ให้กับประเทศ ปีละกว่า 30,000 ล้านบาท โดยยังไม่นับรวมรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งตลาดโรงเกลือ และเมืองชายแดน
นายวงษ์ คำสุขดี กำนันตำบลป่าไร่ นายกิติศักดิ์ พรพรหมวินิจ นายกเทศมนตรีตำบลป่าไร่ นายประมวล ภายสำโรง ชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านอำเภออรัญประเทศ และผู้นำท้องถิ่นทั้ง 4 อำเภอชายแดน ร่วมกันแถลงการณ์ ต่อต้านการชุมนุมกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ 5 ข้อ คือ 1. พวกเราคนชายแดน ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมในครั้งนี้ 2. พวกเราคนชายแดน ขอเรียกร้องให้เลิกการชุมนุม หากดึงดัน พวกเราจะขอต่อต้านให้ถึงที่สุด 3. พวกเรา มีการค้าขาย ไปมาหาสู่กับประเทศเพื่อนบ้านด้วยดีมา อย่ามาสร้างความเดือดร้อนให้พวกเราเลย 4. หากท่านจะชุมนุมเพื่อเรียกร้องต่อรัฐบาลขอให้ไปชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล และข้อ 5. พวกเราคนชายแดนขอบคุณในความปรารถนาดีของพวกท่านแต่เราเชื่อว่า เราสามารถแก้ไขปัญหาของเราเองได้
**เร่งแก้ปัญหาเขตแดนก่อนศาลตัดสิน
นางอมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) กล่าวว่า หลังจากที่กสม.ออกแถลงการณ์ขอให้ทางรัฐบาลเร่งรัดและดูแลช่วยเหลือ 7 คนไทยไปแล้วนั้นตามกติกาสากลผู้ที่ถูกจับกุมต้องได้รับการดูแลและไม่ให้ถูกละเมิดสิทธิ ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศ แต่เรื่องดังกล่าวก็มีปัญหาในเรื่องของเขตแดน ดังนั้นจึงต้องเร่งจัดการในเรื่องปัญหาของเขตแดนให้มีความชัดเจนก่อนที่จะมีการตัดสินว่า คนไทยทั้ง 7 คนลุกล้ำเขตแดนหรือไม่
ส่วนที่นายวีระ สมความคิด ระบุว่า ถูกยัดข้อหานั้น นางอมรา กล่าวว่า เรื่องทั้งหมดตอนนี้อยู่ที่ประเทศกัมพูชา จึงต้องใช้กฎหมายของประเทศกัมพูชาในการพิจารณา ถึงแม้บางส่วนจะไม่ตรงกับกติกาสากล ทำให้เกิดความยากลำบากในการดำเนินการ แม้ในกติกาสากลจะกำหนดว่า ไม่มีกระบวนการที่จะลงโทษ เพราะฉะนั้นคงต้องมีการพูดคุยและต่อรองในเรื่องของกติกาสากลว่า เราควรได้รับการปฏิบัติตามหลักสากลหรือไม่ แต่หากประเทศกัมพูชาอ้างหลักกฎหมายภายในประเทศ ทางประเทศไทยก็คงต้องใช้กฎหมายระหว่างประเทศมาเป็นข้อโต้เถียงว่า สิ่งไหนมีความสำคัญกว่า
ในส่วนของกสม.คงไม่เดินทางลงพื้นที่ดังกล่าว เพราะไม่ใช่หน้าที่ของเรา เนื่องจากมีหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้อยู่แล้ว
**“เทพมนตรี”ยันแผนที่ตชด.
พิสูจน์ชัด7คนถูกจับในเขตไทย
นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ ได้ออกแถลงการณ์ ผ่านเว็บไซต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ข้อมูลใหม่ที่ได้รับมาเมื่อวันที่ 11 ม.ค.54 เป็นรายงานของ ผบ.ร้อย (สบ 2) กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 12 (กก.ตชด.12) (ร.126) และมี ผบ.มว.(สบ 1) บรรยายสรุปสถานการณ์/ตอบข้อซักถามกรณีคนไทยทั้ง 7 คนถูกเจ้าหน้าที่กัมพูชาจับกุมตัว พร้อมลงพื้นที่เกิดเหตุ พิกัด TA519234 ทำให้ตนและทีมงานตรวจสอบตำแหน่งพิกัดดังกล่าวเพื่อดูว่าคนไทย 7 คนนั้นอยู่ในเขตประเทศไทย หรืออยู่นอกประเทศ เมื่อพิจารณแล้วได้ข้อสรุปเบื้องต้นก็คือ พิกัดที่ TA519234 ของ กก.ตชด.12 (ร.126) เป็นพิกัดที่ทางหน่วยงานนำเสนออย่างเป็นทางการต่อผู้บังคับบัญชา และเมื่อตนนำไปพ๊อตไว้ในแผนที่ L7018 ซึ่งเป็นระวางแผนที่ที่ ตชด.ให้มา ทำให้พบว่าคนไทยทั้ง 7 คนยังอยู่ในประเทศไทย
นอกจากนี้ พิกัด TA518234 ของ กก.ตชด.12 (ร.126) หน่วยงานเดียวกัน ได้รายงานว่านายวีระได้ถูกจับในพิกัดนี้เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2553 อันเป็นการถูกจับครั้งแรกก็ยังอยู่ในดินแดนประเทศไทย ด้วยเหตุนี้ตนจึงขอออกแถลงการณ์ว่า เมื่อเรานำเอาพิกัดจุดที่นายวีระถูกจับครั้งแรกไปเปรียบเทียบกับจุดที่นายพนิชและคณะอีก 6 คนถูกจับ มาวางลงบนแผนที่ L7018 ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีนำใช้ ปรากฏว่า การถูกจับทั้งสองครั้งก็ยังอยู่ในดินแดนของประเทศไทย และผลของการพิสูจน์ทำให้หมู่บ้านหนองจาน ที่เคยเป็นที่ตั้งค่ายอพยพหรือศูนย์อพยพที่ปรากฏหลักฐานในแผนที่ L7017 และ L7018 ที่นายพนิชและคณะถูกจับไปนั้นก็ยังอยู่ในเขตประเทศไทยเช่นกัน
**ม็อบคนไทยฯยกระดับไล่รัฐ
ส่วนการชุมนุมกลุ่มมวลชนเครือข่ายประชาชนคนไทยหัวใจรักชาติ ที่บริเวณข้างทำเนียบรัฐบาล มีการนำเต้นท์มากางเพิ่มเติมบนพื้นถนนพิษณุโลก จนทำให้สูญเสีญช่องทางจราจรไป 2 ช่องทาง ทำให้การจราจรบริเวณถนนพิษณุโลกติดขัดอย่างมาก
รวมทั้งกองทัพธรรมมูลนิธิ ได้นำประชาชนผู้ศรัทธาในแนวทางของสันติอโศก มาเพิ่มจำนวนผู้ชุมนุมอีกหลายคันรถ ทำให้จำนวนผู้ชุมนุมในช่วงเที่ยงมีประมาณ 500 คน
ทั้งนี้ ในการชุมนุมของเครือข่ายฯ ที่ริมถนนพิษณุโลกทำเนียบรัฐบาล มีการแจกจ่ายเอกสาร “กองทัพประชาชนรวมหัวใจถวายคืนพระราชอำนาจ” ให้ผู้ร่วมชุมนุมและประชาชนที่สัญจรไปมา ร่วมลงนามขอถวายคืนพระราชอำนาจ
**บุก“บัวแก้วขู่พังประตู”
เวลา 14.00 น.กลุ่มเครือข่ายฯจำนวนหนึ่งนำโดยนายสมบูรณ์ ทองบุราณ และนายสุนทร รักษ์รงค์ ผู้ประสานงานเครือข่ายฯ ได้เคลื่อนขบวนไปกดดันรัฐบาล ที่บริเวณหน้า กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อขับไล่นายอภิสิทธิ์ นายกษิต และนายชวนนท์ ให้ลาออกจากตำแหน่ง รวมทั้งจะไล่นายสุเทพ เเละพลเอกประวิตรรวมทั้งนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย เอกอัคราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ ลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากไม่มีความชอบธรรมในการทำงาน
ทั้งนี้มีการเรียกร้องขอให้ตัวแทนจากเครือข่ายฯ เข้าไปตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ โดยข่มขู่ว่าจะบุกเข้ากระทรวงหากไม่เปิดประตูให้ และจะชุมนุมค้างคืนเป็นการกดดัน
เมื่อเวลาเวลา 18.00 น. พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล1 ได้มาเจรจากับผู้ชุมนุมเพื่อขอให้เปิดทางให้ข้าราชการกระทรวงเดินทางกลับบ้าน จากนั้นผู้ชุมนุมได้เปิดทางและเดินทางกลับไปร่วมชุมนุมที่หน้าทำเนียบต่อ
**ล่า5หมื่นถอดนายกฯ กั๊กไปอรัญ
ส่วนการเคลื่อนขบวนไป อ.อรัญประเทศ เพื่อยกระดับการกดดันรัฐบาล นายไชวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำเครือข่าย แถลงว่า หลังจากที่ตนได้ข้อมูลมาว่ากลุ่มประชาชน ที่ชุมนุมคัดค้านเครือข่ายคนไทยฯ ในครั้งที่แล้วนั้นได้รับการจัดตั้งมาจากกองทุนของบ่อนการพนันผิดกฎหมายและกลุ่มธุรกิจผิดกฎหมาย ทั้งแรงงานเถื่อนและน้ำมันเถื่อน ซึ่งมีกลุ่มแม่บ้านตำรวจตระเวณชายแดน ประมาณ 30 คนและกลุ่มแรงงานชาวเขมรที่มารับจ้างตัดอ้อยในพื้นที่ จ.สระแก้ว รวมแล้วประมาณ 500 คน ทำให้ต้องมาพิจารณาว่าการเดินทางไปอ.อรัญประเทศ นั้นจะมีความเสี่ยงและคุ้มค่ากับความปลอดภัยของเครือข่ายคนไทยฯ มากแค่ไหน
เวลา 17.30น.นายไชยวัฒน์ แถลงว่า กลุ่มเครือข่ายฯจะชุมนุมต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง จนกว่านายอภิสิทธิ์ จะลาออกจากตำแหน่ง รวมถึงจะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมาลงทะเบียนเข้าชุมนุมให้ได้ 50,000 รายชื่อ เพื่อยื่นถอดถอนบุคคลได้ตามหลักรัฐธรรมนูญคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเเละคณะ ซึ่งหากได้รายชื่อครบตามเป้าหมายก็จะกำหนดกิจกรรมสุดท้ายได้ รวมถึงจะกระจายกันไปชุมนุมที่หน้ากระทรวงกลาโหมเพิ่มอีกจุดด้วย ส่วนการเดินทางไป อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว คงต้องรอให้การประชุมลับเสร็จสิ้นก่อน เพราะวันนี้แกนนำเครือข่ายฯบางส่วนยังเดินทางมาถึงเเละไม่พร้อม โดยวันที่ 14 ม.ค.เวลา 11.00 น. จะแถลงข่าวอีกครั้ง
**มั่วคำสั่งจากไทยให้อัดวีระในคุก
รายงานข่าวแจ้งว่า กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ได้ประเมินโดยตั้งข้อสังเกตว่า มีนายพล.อ.คนหนึ่งน่าจะรู้เรื่องนี้มาตลอด ตั้งแต่การลับลอบตัดไม้ การนำวัวเถื่อน สินค้าเถื่อน บางครั้งก็มียาเสพติด จะเข้าออกทางนี้ซึ่งเป็นพื้นที่ทหารดูแล จึงสะดวกสบาย จากทหารเขมรที่เป็นอดีตทหารเขมรแดง
ขณะที่พื้นที่แถบนี้ในพื้นที่ดินมีแร่พลอยอ่อนจำนวนมากอยู่ตามแนวตะเข็บชายแดน ยาวไปจนจรดจังหวัดอุบลฯที่เรียกว่าสามเหลี่ยมมรกต ซึ่งมีกลุ่มทุนใหญ่มีโครงการจะทำเป็นรีสอรท์ โรงแรม สนามกอล์ฟ โดยพวกทหารไทย ทหารเขมรระดับสูงและนักการเมืองไทย(บางคน)ได้ผลประโยชน์
นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งลับให้นักโทษเขมรที่อยู่ในคุกรุมอัดนายวีระ เป็นการสั่งสอนและถ้าเป็นไปได้ก็ให้ติดนานที่สุดเท่าที่จะนานได้ สถานทูตไทยในเขมรเป็นคนสั่งการไปยังพัสดีเขมรว่าถ้าคนไทยที่จะไปเยี่ยมจะต้องได้รับการเห็นชอบจากสถานทูตไทย ทำให้คนไทยที่เดินทางไปเยี่ยมไม่สามารถเข้าเยี่ยมได้ ทางการเขมรบอกว่าเขาไม่ได้ห้าม แต่ทางการไทยห้ามเอง