ช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา คือตั้งแต่ พ.ศ. 2544 ถึงปัจจุบัน เป็นช่วงระยะเวลาที่ประเทศไทยจมปลักอยู่กับหล่มทางการเมืองจนกลายเป็นปัญหาวิกฤตของชาติ ปัจจัยทางการเมืองได้กลายเป็นปัญหาสำคัญที่สุด ที่ฉุดรั้งการพัฒนาของประเทศชาติ สังคมมีความคิดเห็นแตกต่างกันในทางการเมืองหลากหลาย ประชาชนและประเทศชาติขาดความเป็นเอกภาพ ทิศทางการพัฒนาบ้านเมือง สะเปะสะปะไร้ทิศทาง คนในชาติขาดความสามัคคีปรองดอง สถาบันหลักของบ้านเมืองสั่นคลอน ศักยภาพในการแข่งขันและพัฒนาเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในเวทีโลก เราย่ำอยู่กับที่หรือถดถอย
ในขณะที่ชาติอื่นๆ กำลังพัฒนาเร่งรุดหน้าแซงเราไป เราจมปลักอยู่กับปัญหานี้ตั้งแต่ปี 2547 - 2551 รวมระยะเวลา 5 ปี เป็นอย่างน้อย สาเหตุและต้นตอเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า “ทักษิณและระบอบทักษิณ” คือปมเงื่อนที่สำคัญของปัญหา แม้ทักษิณและพวกจะสูญสิ้นอำนาจการปกครองประเทศไปแล้วก็ตาม แต่ด้วยอิทธิพลทางการเมืองและอำนาจเงินของเขาที่มีอยู่ ทักษิณและขบวนการเสื้อแดงที่เขาเป็นผู้สนับสนุนก็ยังเป็นตัวปัญหา ก่อความวุ่นวายฉุดรั้งการพัฒนาประเทศ ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม เมื่ออำนาจของทักษิณและรัฐบาลสมุนตัวแทนของเขาคือนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต้องล้มลงด้วยพลังการต่อสู้ของประชาชนที่ปฏิเสธและไม่ยอมรับอำนาจการปกครองที่ฉ้อฉลของเขา ด้วยการสามัคคีต่อสู้อย่างเข้มแข็ง ยอมเสียสละแม้เลือดเนื้อและชีวิตของประชาชน ภายใต้การนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เกิดการสลับขั้ว ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้กลายเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ก้าวขึ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ท่ามกลางเสียงชื่นชมและความคาดหวังของประชาชนที่ต้องการเห็นบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทุกคนภาวนาอยากให้บ้านเมืองหลุดพ้นจากหล่มที่ทำให้ประเทศจมปลัก เป็นเวลานานจากระบอบทักษิณ ทุกฝ่ายต่างให้กำลังใจกับนายอภิสิทธิ์ ในการต่อสู้กับการเมืองที่ล้มเหลวเพื่อฉุดประเทศให้พ้นจากภาวะวิกฤต แม้จะขมขื่น เจ็บปวด และฝืนต่อความรู้สึกนึกคิดเพียงใด ก็ต้องกล้ำกลืน
สองปีผ่านไป รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประเทศไทยภายใต้การบริหารของนายกรัฐมนตรีท่านนี้ สิ่งที่ประเทศและประชาชนได้รับไม่เพียงปัญหาของชาติบ้านเมือง ไม่ได้รับการแก้ไขในทุกๆ ด้านแล้ว ตัวนายอภิสิทธิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี กลับกลายเป็นตัวปัญหาของประเทศชาติบ้านเมืองเสียเอง เขาคือปมปัญหาสำคัญของวิกฤตชาติ ส่วนทักษิณและขบวนการของระบอบทักษิณ แม้จะเป็นปัญหาของบ้านเมืองอยู่ ก็เป็นปัญหาด้านรอง ไม่ใช่ปมปัญหาหลักสำคัญของประเทศอีกต่อไป ณ ขณะนี้ แม้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์หรือนักวิชาการที่รับใช้รัฐบาล และสื่อมวลชนที่รัฐบาลควบคุมกำกับได้จะพยายามปลุกผีทักษิณ ให้ขึ้นมาหลอกหลอนคนไทยอยู่ต่อไปก็ตาม ความเป็นจริงปัญหาของบ้านเมือง ก็คือ นักการเมืองปัจจุบันที่ปกครองและยึดกุมอำนาจรัฐอยู่ในขณะนี้ต่างหากที่เป็นปัญหาหลัก
ผมจึงอยากจะเรียกการเมือง ณ ขณะนี้ว่าเป็นการเมือง “ระบอบอภิสิทธิ์ สุเทพ เนวิน กับพวก” เหตุผลที่นายอภิสิทธิ์ ได้กลายเป็นปมปัญหาสำคัญ ก็เพราะว่า
(1) เขาเป็นที่ซุกตัวและที่กำบังให้กับนักการเมืองทุจริต คดโกง และฉ้อฉล ที่หนีออกมาจากระบอบทักษิณได้พึ่งพิง ทำตัวเป็นสุนัขให้เห็บเหาที่หนีตายมีที่พักพิงใหม่ นายอภิสิทธิ์ เป็นโฆษกและกระบอกเสียงชั้นดีแก้ต่างและปกปิดการกระทำอันเลวร้าย และรักษาผลประโยชน์ให้กับกลุ่มการเมืองที่สนับสนุนและอุ้มชูเขาเป็นนายกฯ ได้เป็นอย่างดีที่สุด
(2) นายอภิสิทธิ์ ได้กลายเป็นตัวแทนของกลุ่มทุนการเมืองขนาดใหญ่ในประเทศไปโดยปราศจากข้อสงสัย และยังเป็นความลงตัวของกลุ่มทุนเหล่านี้ที่หาตัวเลือกใหม่ยังไม่ได้ และไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนตัว เนื่องจากอภิสิทธิ์ ยังทำหน้าที่นี้ได้ดี
(3) ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ อภิสิทธิ์ ยังไม่กล้าหาญที่จะทำลายผลประโยชน์ของนักการเมืองแม้จะขัดแย้งกับผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเพียงใดก็ตาม การทุจริตคอร์รัปชันในรัฐบาลนี้ ยังถูกปกปิดและไม่ถูกกวาดล้างปราบปราม รัฐบาลนี้ยังคงยึดถือผลประโยชน์ของนักการเมืองมาก่อน ประชาชนไว้ทีหลัง
(4) เกี่ยวกับปัญหาข้อพิพาทไทย-กัมพูชา เรื่องดินแดนหรือกรณีปราสาทพระวิหาร และกรณีทางการกัมพูชาบุกจับคนไทย 7 คน ในดินแดนไทย รัฐบาลไม่ได้แสดงจุดยืนของความรักชาติปกป้องอธิปไตยของประเทศ คุ้มครองและรักษาสิทธิของพลเมืองไทย ตามหน้าที่ที่รัฐพึงปฏิบัติ ไม่ส่งเสริมการกระทำและแสดงออกซึ่งความรักชาติ แต่กลับทำตัวเป็นปัญหาของการทำลายศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของชาติอย่างน่าละอาย ปล่อยให้คนไทยถูกทางการเขมรย่ำยี และดำเนินการทางกฎหมายอย่างป่าเถื่อน รัฐบาลดำเนินมาตรการทางการทูตที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง
(5) รัฐบาลนี้คิดแก้ปัญหาทุกเรื่องเพียงหวังผลทางการเมืองไม่ว่ากรณีของขบวนการคนเสื้อแดง หรือการจัดการทักษิณ และระบอบทักษิณก็ตาม รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อการเลือกตั้งชิงความได้เปรียบทางการเมือง และการเสนอนโยบายประชาวิวัฒน์ ที่ลอกเลียนแบบนโยบายประชานิยมต่างแต่เพียงการตกแต่งคำพูดและชื่อ เพื่อหาเสียงทางการเมือง โดยไม่ได้มุ่งหวังที่จะแก้ไขปัญหาสำคัญของชาติอย่างแท้จริง
ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นการสะท้อนและยืนยันให้เห็นว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีความคาดหวังเพียงต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น เพราะถ้าหากเขามีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง ตามที่เคยประกาศเป็นอุดมคติ หรือให้สัญญากับประชาคมเอาไว้จริง วันเวลาสองปีที่ผ่านไปบ้านเมืองคงไม่เป็นเช่นนี้ และการแสดงออกหรือการปฏิบัติที่เป็นจริงของเขาต่อปัญหาต่างๆ คงไม่เป็นอย่างที่เราท่านได้สัมผัส สิ่งสำคัญขณะนี้ก็คือ จะแก้ปัญหาการเมืองของประเทศที่ติดหล่มและจมปลักได้อย่างไรเล่า
ผมมองไปในทุกๆ ด้านแล้ว ก็ยังไม่เห็นหนทางอื่น นอกจากต้องแก้ที่ปมปัญหาสำคัญเท่านั้น และวันนี้น่าจะเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าบ้านเมืองไม่อาจเดินหน้าต่อไปได้ ถ้าไม่แก้ปัญหาที่ตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เสียก่อน ลำดับแรกคงต้องช่วยกันตะโกนและพูดดังๆ ทั้งแผ่นดินเพื่อบอกให้รู้ว่า “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คุณคือปัญหาของประเทศ” ต้องหาทางให้เขาปรับเปลี่ยนความคิดและทัศนคติในการทำงานเสียใหม่ หากเขาไม่ฟังและไม่เปลี่ยน ก็ควรต้องหาทางให้เขาพ้นไปจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเสีย เพราะเขาคือ ปัญหาของบ้านเมืองจริงๆ ครับ
ในขณะที่ชาติอื่นๆ กำลังพัฒนาเร่งรุดหน้าแซงเราไป เราจมปลักอยู่กับปัญหานี้ตั้งแต่ปี 2547 - 2551 รวมระยะเวลา 5 ปี เป็นอย่างน้อย สาเหตุและต้นตอเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า “ทักษิณและระบอบทักษิณ” คือปมเงื่อนที่สำคัญของปัญหา แม้ทักษิณและพวกจะสูญสิ้นอำนาจการปกครองประเทศไปแล้วก็ตาม แต่ด้วยอิทธิพลทางการเมืองและอำนาจเงินของเขาที่มีอยู่ ทักษิณและขบวนการเสื้อแดงที่เขาเป็นผู้สนับสนุนก็ยังเป็นตัวปัญหา ก่อความวุ่นวายฉุดรั้งการพัฒนาประเทศ ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม เมื่ออำนาจของทักษิณและรัฐบาลสมุนตัวแทนของเขาคือนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต้องล้มลงด้วยพลังการต่อสู้ของประชาชนที่ปฏิเสธและไม่ยอมรับอำนาจการปกครองที่ฉ้อฉลของเขา ด้วยการสามัคคีต่อสู้อย่างเข้มแข็ง ยอมเสียสละแม้เลือดเนื้อและชีวิตของประชาชน ภายใต้การนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เกิดการสลับขั้ว ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้กลายเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ก้าวขึ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ท่ามกลางเสียงชื่นชมและความคาดหวังของประชาชนที่ต้องการเห็นบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทุกคนภาวนาอยากให้บ้านเมืองหลุดพ้นจากหล่มที่ทำให้ประเทศจมปลัก เป็นเวลานานจากระบอบทักษิณ ทุกฝ่ายต่างให้กำลังใจกับนายอภิสิทธิ์ ในการต่อสู้กับการเมืองที่ล้มเหลวเพื่อฉุดประเทศให้พ้นจากภาวะวิกฤต แม้จะขมขื่น เจ็บปวด และฝืนต่อความรู้สึกนึกคิดเพียงใด ก็ต้องกล้ำกลืน
สองปีผ่านไป รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประเทศไทยภายใต้การบริหารของนายกรัฐมนตรีท่านนี้ สิ่งที่ประเทศและประชาชนได้รับไม่เพียงปัญหาของชาติบ้านเมือง ไม่ได้รับการแก้ไขในทุกๆ ด้านแล้ว ตัวนายอภิสิทธิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี กลับกลายเป็นตัวปัญหาของประเทศชาติบ้านเมืองเสียเอง เขาคือปมปัญหาสำคัญของวิกฤตชาติ ส่วนทักษิณและขบวนการของระบอบทักษิณ แม้จะเป็นปัญหาของบ้านเมืองอยู่ ก็เป็นปัญหาด้านรอง ไม่ใช่ปมปัญหาหลักสำคัญของประเทศอีกต่อไป ณ ขณะนี้ แม้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์หรือนักวิชาการที่รับใช้รัฐบาล และสื่อมวลชนที่รัฐบาลควบคุมกำกับได้จะพยายามปลุกผีทักษิณ ให้ขึ้นมาหลอกหลอนคนไทยอยู่ต่อไปก็ตาม ความเป็นจริงปัญหาของบ้านเมือง ก็คือ นักการเมืองปัจจุบันที่ปกครองและยึดกุมอำนาจรัฐอยู่ในขณะนี้ต่างหากที่เป็นปัญหาหลัก
ผมจึงอยากจะเรียกการเมือง ณ ขณะนี้ว่าเป็นการเมือง “ระบอบอภิสิทธิ์ สุเทพ เนวิน กับพวก” เหตุผลที่นายอภิสิทธิ์ ได้กลายเป็นปมปัญหาสำคัญ ก็เพราะว่า
(1) เขาเป็นที่ซุกตัวและที่กำบังให้กับนักการเมืองทุจริต คดโกง และฉ้อฉล ที่หนีออกมาจากระบอบทักษิณได้พึ่งพิง ทำตัวเป็นสุนัขให้เห็บเหาที่หนีตายมีที่พักพิงใหม่ นายอภิสิทธิ์ เป็นโฆษกและกระบอกเสียงชั้นดีแก้ต่างและปกปิดการกระทำอันเลวร้าย และรักษาผลประโยชน์ให้กับกลุ่มการเมืองที่สนับสนุนและอุ้มชูเขาเป็นนายกฯ ได้เป็นอย่างดีที่สุด
(2) นายอภิสิทธิ์ ได้กลายเป็นตัวแทนของกลุ่มทุนการเมืองขนาดใหญ่ในประเทศไปโดยปราศจากข้อสงสัย และยังเป็นความลงตัวของกลุ่มทุนเหล่านี้ที่หาตัวเลือกใหม่ยังไม่ได้ และไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนตัว เนื่องจากอภิสิทธิ์ ยังทำหน้าที่นี้ได้ดี
(3) ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ อภิสิทธิ์ ยังไม่กล้าหาญที่จะทำลายผลประโยชน์ของนักการเมืองแม้จะขัดแย้งกับผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเพียงใดก็ตาม การทุจริตคอร์รัปชันในรัฐบาลนี้ ยังถูกปกปิดและไม่ถูกกวาดล้างปราบปราม รัฐบาลนี้ยังคงยึดถือผลประโยชน์ของนักการเมืองมาก่อน ประชาชนไว้ทีหลัง
(4) เกี่ยวกับปัญหาข้อพิพาทไทย-กัมพูชา เรื่องดินแดนหรือกรณีปราสาทพระวิหาร และกรณีทางการกัมพูชาบุกจับคนไทย 7 คน ในดินแดนไทย รัฐบาลไม่ได้แสดงจุดยืนของความรักชาติปกป้องอธิปไตยของประเทศ คุ้มครองและรักษาสิทธิของพลเมืองไทย ตามหน้าที่ที่รัฐพึงปฏิบัติ ไม่ส่งเสริมการกระทำและแสดงออกซึ่งความรักชาติ แต่กลับทำตัวเป็นปัญหาของการทำลายศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของชาติอย่างน่าละอาย ปล่อยให้คนไทยถูกทางการเขมรย่ำยี และดำเนินการทางกฎหมายอย่างป่าเถื่อน รัฐบาลดำเนินมาตรการทางการทูตที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง
(5) รัฐบาลนี้คิดแก้ปัญหาทุกเรื่องเพียงหวังผลทางการเมืองไม่ว่ากรณีของขบวนการคนเสื้อแดง หรือการจัดการทักษิณ และระบอบทักษิณก็ตาม รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อการเลือกตั้งชิงความได้เปรียบทางการเมือง และการเสนอนโยบายประชาวิวัฒน์ ที่ลอกเลียนแบบนโยบายประชานิยมต่างแต่เพียงการตกแต่งคำพูดและชื่อ เพื่อหาเสียงทางการเมือง โดยไม่ได้มุ่งหวังที่จะแก้ไขปัญหาสำคัญของชาติอย่างแท้จริง
ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นการสะท้อนและยืนยันให้เห็นว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีความคาดหวังเพียงต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น เพราะถ้าหากเขามีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง ตามที่เคยประกาศเป็นอุดมคติ หรือให้สัญญากับประชาคมเอาไว้จริง วันเวลาสองปีที่ผ่านไปบ้านเมืองคงไม่เป็นเช่นนี้ และการแสดงออกหรือการปฏิบัติที่เป็นจริงของเขาต่อปัญหาต่างๆ คงไม่เป็นอย่างที่เราท่านได้สัมผัส สิ่งสำคัญขณะนี้ก็คือ จะแก้ปัญหาการเมืองของประเทศที่ติดหล่มและจมปลักได้อย่างไรเล่า
ผมมองไปในทุกๆ ด้านแล้ว ก็ยังไม่เห็นหนทางอื่น นอกจากต้องแก้ที่ปมปัญหาสำคัญเท่านั้น และวันนี้น่าจะเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าบ้านเมืองไม่อาจเดินหน้าต่อไปได้ ถ้าไม่แก้ปัญหาที่ตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เสียก่อน ลำดับแรกคงต้องช่วยกันตะโกนและพูดดังๆ ทั้งแผ่นดินเพื่อบอกให้รู้ว่า “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คุณคือปัญหาของประเทศ” ต้องหาทางให้เขาปรับเปลี่ยนความคิดและทัศนคติในการทำงานเสียใหม่ หากเขาไม่ฟังและไม่เปลี่ยน ก็ควรต้องหาทางให้เขาพ้นไปจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเสีย เพราะเขาคือ ปัญหาของบ้านเมืองจริงๆ ครับ