ไทยเบฟฯ ลั่นสิ้นปีเถาะแชร์ทะลุ 40% ไล่บี้ค่ายเบียร์สิงห์ โชว์กลยุทธ์ราคา เข็นเบียร์อาชาโตพรวด 13-14% กวาดแชร์รั้งอันดับ 3 ตลาดรวมเบียร์ อัดฉีด 80-90 ล้านบาท ลุยทำกิจกรรมการตลาด เดินหน้าปั้นขนาดใหม่ 500 มล. สิ้นปีกระตุ้นยอดขาย20% หวังปี 56 ผงาดบัลลังก์เบียร์สำเร็จ
นายชาลี จิตจรุงพร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิขเบียร์อาชา เปิดเผยว่า ยอดขายเบียร์อาชาปีที่ผ่านมา เติบโต 13-14% ถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับภาพรวมตลาดที่ติดลบในแง่มูลค่า 1% และในเชิงปริมาณติดลบ 6% เนื่องจากเบียร์มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นตามการเก็บอัตราภาษีสรรพสามิตรที่เพิ่มขึ้น พร้อมกันนี้จากการที่ภาพรวมเศรษฐกิจยังคงมีอัตราการเติบโตที่ชะลอตัว ก็ถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคชะลอกำลังซื้อ
ทั้งนี้ปัจจัยทำให้เบียร์อาชามียอดขายเติบโต มาจากราคาขายที่ต่ำกว่าแบรนด์คู่แข่งในตลาด เมื่อเทียบกับเบียร์ช้างถูกกว่า 5-6% หรือขนาด 330 มล. ราคา 21-22 บาท ขนาด 640 มล. ราคา 35 บาท และขนาดใหม่ล่าสุดที่ได้นำเข้ามาทำตลาดในปีนี้คือ 500 มล. ราคา 33-34 บาท พร้อมกันนี้บริษัทยังได้มีการปรับภาพลักษณ์ของบรรจุภัณฑ์ใหม่มีความทันสมัยมากขึ้น เพื่อให้แบรนด์สินค้ามีความน่าสนใจ
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้บริษัทใช้งบ 80-90 ล้านบาท ในการทำกิจกรรมทางการตลาดและโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อ ภายใต้คอนเซ็ปต์ เพื่อนสัมพันธภาพตัดกันไม่ขาด เพราะภายหลังจากที่บริษัทได้มีการทำโฆษณาภายใต้คอนเซ็ปต์ดังกล่าวตั้งแต่ช่วงปลายปี 2552 ปรากฎว่าได้ผลการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เนื่องจากลูกค้ามีการรับรู้ในแบรนด์สินค้ามากขึ้น
พร้อมกันนี้บริษัทยังเดินหน้าทำกิจกรรม “มหกรรมความคึกเกินพิกัด อาชาเนี่ยน” ผ่านการจัดกิจกรรมความบันเทิงในหลายรูปแบบ โดยในช่วงแรกจะจัดเป็นกิจกรรม “อาชาเนี่ยน ออนทัวร์” เพื่อประชาสัมพันธ์การประกวด มิวสิค ชาเลนจ์ ครั้งที่ 2 ด้วยการแสดงคอนเสิร์ตของผู้ชนะการประกวดอาชาเนี่ยน มิวสิค ชาเรนจ์ ครั้งที่ 1 และวงดนตรีชั้นนำจากค่าย สมอลล์รูม เช่น วงเดอะ ริชแมนทอย,สเลอ และโลโมโซนิก
ทั้งนี้จากการทำกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะส่งผลให้สิ้นปีนี้เบียร์อาชา มียอดขายเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% และมีส่วนแบ่งการตลาดไม่ต่ำกว่า 10% จากปัจจุบันมีส่วนแบ่ง 8-9% มียอดขายขึ้นเป็นอันดับ 3 ในตลาดรวมเบียร์ รองจากช้างและลีโอ ขณะที่ส่วนแบ่งการตลาดเบียร์ทั้งองค์กร ซึ่งประกอบด้วย ช้าง อาชา และเฟรเดอร์บรอย คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีไม่ต่ำกว่า 40% จากปัจจุบันราว 36-38% และตั้งเป้าปี 2556 ขึ้นเป็นผู้นำแทนที่เบียร์สิงห์
ภาพรวมตลาดเบียร์ในปีนี้ มีการแข่งขันที่รุนแรง จากการที่ผู้ประกอบการต้องการกระตุ้นให้สินค้าของตัวเองมียอดขายเติบโตที่ดีขึ้น หลังจากมีก่อนมียอดขายติดลบ ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดี เพราะผลักดันให้ตลาดเบียร์เติบโตเป็นบวก แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นกับภาพรวมการแข่งขันและสิ่งแวดล้อมภายนอก
นายชาลี จิตจรุงพร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิขเบียร์อาชา เปิดเผยว่า ยอดขายเบียร์อาชาปีที่ผ่านมา เติบโต 13-14% ถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับภาพรวมตลาดที่ติดลบในแง่มูลค่า 1% และในเชิงปริมาณติดลบ 6% เนื่องจากเบียร์มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นตามการเก็บอัตราภาษีสรรพสามิตรที่เพิ่มขึ้น พร้อมกันนี้จากการที่ภาพรวมเศรษฐกิจยังคงมีอัตราการเติบโตที่ชะลอตัว ก็ถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคชะลอกำลังซื้อ
ทั้งนี้ปัจจัยทำให้เบียร์อาชามียอดขายเติบโต มาจากราคาขายที่ต่ำกว่าแบรนด์คู่แข่งในตลาด เมื่อเทียบกับเบียร์ช้างถูกกว่า 5-6% หรือขนาด 330 มล. ราคา 21-22 บาท ขนาด 640 มล. ราคา 35 บาท และขนาดใหม่ล่าสุดที่ได้นำเข้ามาทำตลาดในปีนี้คือ 500 มล. ราคา 33-34 บาท พร้อมกันนี้บริษัทยังได้มีการปรับภาพลักษณ์ของบรรจุภัณฑ์ใหม่มีความทันสมัยมากขึ้น เพื่อให้แบรนด์สินค้ามีความน่าสนใจ
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้บริษัทใช้งบ 80-90 ล้านบาท ในการทำกิจกรรมทางการตลาดและโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อ ภายใต้คอนเซ็ปต์ เพื่อนสัมพันธภาพตัดกันไม่ขาด เพราะภายหลังจากที่บริษัทได้มีการทำโฆษณาภายใต้คอนเซ็ปต์ดังกล่าวตั้งแต่ช่วงปลายปี 2552 ปรากฎว่าได้ผลการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เนื่องจากลูกค้ามีการรับรู้ในแบรนด์สินค้ามากขึ้น
พร้อมกันนี้บริษัทยังเดินหน้าทำกิจกรรม “มหกรรมความคึกเกินพิกัด อาชาเนี่ยน” ผ่านการจัดกิจกรรมความบันเทิงในหลายรูปแบบ โดยในช่วงแรกจะจัดเป็นกิจกรรม “อาชาเนี่ยน ออนทัวร์” เพื่อประชาสัมพันธ์การประกวด มิวสิค ชาเลนจ์ ครั้งที่ 2 ด้วยการแสดงคอนเสิร์ตของผู้ชนะการประกวดอาชาเนี่ยน มิวสิค ชาเรนจ์ ครั้งที่ 1 และวงดนตรีชั้นนำจากค่าย สมอลล์รูม เช่น วงเดอะ ริชแมนทอย,สเลอ และโลโมโซนิก
ทั้งนี้จากการทำกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะส่งผลให้สิ้นปีนี้เบียร์อาชา มียอดขายเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% และมีส่วนแบ่งการตลาดไม่ต่ำกว่า 10% จากปัจจุบันมีส่วนแบ่ง 8-9% มียอดขายขึ้นเป็นอันดับ 3 ในตลาดรวมเบียร์ รองจากช้างและลีโอ ขณะที่ส่วนแบ่งการตลาดเบียร์ทั้งองค์กร ซึ่งประกอบด้วย ช้าง อาชา และเฟรเดอร์บรอย คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีไม่ต่ำกว่า 40% จากปัจจุบันราว 36-38% และตั้งเป้าปี 2556 ขึ้นเป็นผู้นำแทนที่เบียร์สิงห์
ภาพรวมตลาดเบียร์ในปีนี้ มีการแข่งขันที่รุนแรง จากการที่ผู้ประกอบการต้องการกระตุ้นให้สินค้าของตัวเองมียอดขายเติบโตที่ดีขึ้น หลังจากมีก่อนมียอดขายติดลบ ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดี เพราะผลักดันให้ตลาดเบียร์เติบโตเป็นบวก แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นกับภาพรวมการแข่งขันและสิ่งแวดล้อมภายนอก