xs
xsm
sm
md
lg

สมัคร-ดุสิตกับเจิมศักดิ์-จิตกร

เผยแพร่:   โดย: ประพันธ์ คูณมี

คอการเมืองและผู้สนใจติดตามข่าวสารผ่านรายการทางวิทยุ และโทรทัศน์ทั้งหลาย ไม่ว่าในยุคหลัง 14 ตุลาคม 2516 ถึง 6 ตุลาคม 2519 หรือในยุคการเมือง “ระบอบทักษิณ” คงต้องคุ้นเคยกับชื่อ สมัคร สุนทรเวช กับ ดุสิต ศิริวรรณ เป็นอย่างดี เพราะทั้งสองท่านมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของผู้คนในบ้านเมืองจนกลายเป็นคู่หู นักจัดรายการประเภทสนทนาปัญหาบ้านเมืองมาต่อเนื่องยาวนาน โดยเฉพาะในยามที่บ้านเมืองถูกปกครองโดยอำนาจเผด็จการ ไม่ว่าจะด้วยอำนาจเผด็จการทหาร หรือเผด็จการโดยนายทุน ทั้งสองคนจะออกมาจัดรายการทางทีวี วิทยุ ที่ทางการรัฐบาลเป็นผู้อำนวยการความสะดวก สนับสนุนจัดเวลาให้ แถมหาสปอนเซอร์ในรายการให้อีกต่างหาก

เหตุก็เพราะทั้งสองท่านจะทำหน้าที่สนทนา วิเคราะห์ข่าว และแสดงความคิดเห็นผ่านรายการโดยเชลียร์ และคอยแก้ต่างให้กับรัฐบาล ชนิดชื่นชมยกย่องเสียเลิศลอย แม้จะขัดแย้งและสวนทางกับความเป็นจริงเพียงใดก็ตาม ใครที่เป็นฝ่ายค้านรัฐบาล ประชาชน นักวิชาการ ที่ออกมาแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์ติชมรัฐบาล ถึงการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ส่อในทางทุจริต แสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองกับพวกพ้อง ไม่ปกป้องรักษาผลประโยชน์และประชาชน แม้จะเป็นโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม ด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริงอันน่ารับฟังเพียงใด ทั้งสองท่านนี้ก็จะวิพากษ์วิจารณ์กลับอย่างรุนแรง บางครั้งถึงขนาดด่าแบบสาดเสียเทเสีย ไม่เว้นแม้แต่ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ระดับองคมนตรี หรือรัฐบุรุษของประเทศ

ด้วยวีรกรรมแห่งความสอพลอ และใช้ปากเป็นอาวุธฟาดฟันผู้อื่น เพื่อสร้างความชอบให้กับตนเอง สร้างผลงานให้เข้าตาผู้มีอำนาจ ทั้งสองจึงได้ดิบได้ดีเป็นเสนาบดี เป็นรัฐมนตรีปกครองบ้านเมือง เรียกว่าใช้ปากเป็นบันไดไต่สู่อำนาจ แต่สุดท้ายทั้งสองท่านก็ต้องตายด้วยปากเข้ากับสำนวนไทย “ปลาหมอตายเพราะปาก” คือ จัดรายการทีวีจนหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และถูกฟ้องเป็นคดีหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา จนศาลตัดสินลงโทษจำคุกโดยไม่รอลงอาญา

วันนี้นายสมัคร สุนทรเวช ได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ส่วนคุณดุสิต ศิริวรรณ ยังมีชีวิตอยู่และรอรับกรรมตามคำพิพากษาขั้นสุดท้าย ผมคิดว่าพ้นจากยุคคุณสมัคร-ดุสิตไปแล้ว คงไม่มีใคร หรือคู่หูคนใดกล้าจะเลียนแบบหรือเดินตามเส้นทางนี้ แต่เมื่อเปิดวิทยุคลื่น FM 92.25 ซึ่งถ่ายทอดเสียงพร้อมรายการทีวีดาวเทียมช่องสุวรรณภูมิ โดยมีพิธีกรคู่หูคู่ใหม่ร่วมกันจัดรายการ คือ อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง กับคุณจิตกร บุษบา ในรายการมุมมองของเจิมศักดิ์ เพื่อเสนอข่าว และวิเคราะห์ปัญหาบ้านเมือง โดยเฉพาะรายการเมื่อวานนี้ (6 ม.ค. 54) กรณีปัญหา 7 คนไทยถูกทหารกัมพูชาจับกุมตัวในดินแดนไทย นำตัวไปขึ้นศาลเขมร สิ่งที่ทั้งสองท่านพูดและแสดงความคิดเห็นผ่านรายการ ทำให้ผมนึกว่า สมัคร-ดุสิต กลับชาติมาจัดรายการอีกแล้วหรือ อะไรทำให้ผมคิดเช่นนั้น ทั้งๆ ที่โดยความเป็นจริงแล้ว ผมเป็นคนหนึ่งที่เป็นแฟนรายการประจำของท่านทั้งสอง และมีความชื่นชมในความรู้ความสามารถ และความตั้งใจดีในการจัดรายการของท่านตลอดมา

แม้ว่าบางครั้งผมจะรู้สึกไม่เห็นด้วย และมีความคิดแย้งกับท่านทั้งสองอยู่หลายเรื่อง ที่ทั้งสองท่านพยายามเชลียร์ และออกมาปกป้องแก้ตัวแทนรัฐบาล โดยเฉพาะตัวนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งมีความสัมพันธ์เป็นส่วนตัวด้วยดีมายาวนานกับท่านอ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และครอบครัว แต่ผมก็มองข้ามไปด้วยความเข้าใจ และเห็นใจในตัวอ.เจิมศักดิ์ ซึ่งต้องคบค้าสมาคมด้วยดีกับนายกฯ อภิสิทธิ์ เพราะยังต้องพึ่งพาอำนาจบารมีนายกฯ ในการจัดทำรายการทางทีวี เพื่อโอกาสในการที่จะได้รับการจัดสรรเวลาให้กับบริษัท ว็อชด็อก จำกัด ที่อ.เจิมศักดิ์เป็นเจ้าของ และประธานบริษัท

และตัวภริยาของอ.เจิมศักดิ์ ก็เป็นข้าราชการในกระทรวงการต่างประเทศ กินตำแหน่งรองปลัดกระทรวงอีกด้วย การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลและนายกฯ ก็น่าจะเป็นประโยชน์กับท่านมากกว่า จึงเป็นเรื่องที่ผมกล่าวแล้วว่าเข้าใจและเห็นใจ

แต่เมื่อได้ฟังรายการของคู่หูคู่ใหม่ เจิมศักดิ์-จิตกร ในยามเช้าวันที่ 6 มกราคม 2554 ว่าด้วยกรณีปัญหาทหารเขมรจับ 7 คนไทยไปขึ้นศาล ความรู้สึกดีๆ ความศรัทธาในอดีตที่ผมเคยมีต่อ อ.เจิมศักดิ์ ทำให้ผมไม่แน่ใจเสียแล้ว มันทำให้ผมรู้สึกได้ฟังรายการสนทนาปัญหาบ้านเมือง โดยสมัคร-ดุสิต ไม่ต่างกัน ความคิด ความรู้สึกศรัทธา และเคารพต่อคนคนหนึ่งของผมต้องขาดสิ้นลง เพราะปัญหานี้เป็นเรื่องของชาติ ประเทศเกียรติภูมิศักดิ์ศรีของคนไทย เป็นเรื่องใหญ่และเป็นปัญหาสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งของพี่น้องร่วมแผ่นดิน แต่สองท่านนี้พยายามพูดและโน้มน้าวสังคมให้คิดและมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เป็นปัญหาธรรมดาๆ ของคนมีชายแดนติดกัน

แม้กระทั่งกรณีคนไทยทั้ง 7 คนถูกจับนำตัวไปขึ้นศาลเขมร ผู้รู้และนักกฎหมายระหว่างประเทศ หรือประชาชนโดยทั่วไป ย่อมคิดได้และมองเห็นว่า

การที่รัฐบาลไทยยอมให้ทหารเขมร (สวมรองเท้าแตะ) บุกเข้ามาจับคนไทยในดินแดนไทย ขอยืนยันว่า ทหารเขมรบุกจับคนไทยในดินแดนไทย ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่รัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศไม่อาจโต้แย้งข้อมูลของภาคประชาชนได้ การปล่อยให้เขมรนำตัวคนไทยไปขึ้นศาลเขมร ย่อมเท่ากับรัฐบาลไทยยอมรับอำนาจอธิปไตยของเขมร ยอมรับว่าคนไทยรุกล้ำดินแดนเขา และผลของคดีย่อมทำให้เขมรอ้างได้ว่า คนไทยรุกล้ำดินแดนตามผลของคำพิพากษา ส่งผลต่อการเจรจาเรื่องเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่เกิดเหตุ เพราะถ้าหากเป็นดินแดนไทย ทำไมรัฐบาลไทยไม่คัดค้านประท้วง และแสดงการไม่ยอมรับอำนาจตามกฎหมายของกัมพูชา

นี่คือการเสียค่าโง่หรือแสดงความเขลา ทั้งรัฐบาล และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแท้ แต่อ.เจิมศักดิ์กลับหาว่าคนไทยคิดมากเกินไป ไม่นึกถึงความสัมพันธ์ของคนที่ต้องอยู่ร่วมกัน ที่เลวร้ายที่สุดคือ เมื่อมีคำถามว่า ราษฎรไทยที่ถูกบุกรุกแย่งที่ทำกินโดยเขมรรุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทย ที่ราษฎรไทยมีโฉนดที่ดิน น.ส. 3 ก. เป็นต้น ทำไมรัฐบาลไม่ปกป้องสิทธิคนไทย อ.เจิมศักดิ์ กลับตอบว่า โฉนดที่ดินหรือ น.ส. 3 ก. คงอ้างได้เฉพาะภายในประเทศ จะเอาไปอ้างเรื่องระหว่างประเทศไม่ได้

ตรงนี้แหละครับที่ผมอยากจะบอกว่า อ.เจิมศักดิ์ ฆ่าตัวตายเสียแล้ว เอกสิทธิ์ที่ออกให้โดยราชอาณาจักรไทย มีตราครุฑประทับไว้ชัดแจ้ง ย่อมแสดงต่อคนไทยและคนทั้งโลกว่า นี่แผ่นดินไทยครับอาจารย์ เพราะรัฐบาลไทยหรือรัฐบาลประเทศใดๆ ย่อมมีอำนาจอธิปไตยที่จะออกเอกสารสิทธิ์แก่ราษฎรของตนเท่านั้น ถ้าอ้างไม่ได้ โฉนดที่ดินนั้นก็เอาไปกู้เงินสถาบันการเงินต่างประเทศไม่ได้ การที่รัฐบาลไทยไม่ยืนยันสิทธิของตน เอกสิทธิ์ของคนไทยที่มีกรรมสิทธิ์เหนือแผ่นดินดังกล่าว ก็เท่ากับทรยศต่อคนไทยขายแผ่นดินนั่นเอง

รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และรัฐมนตรีต่างประเทศ กษิต ภิรมย์ กระทำความผิดพลาดร้ายแรงที่สุดในกรณีนี้ ด้วยการยอมรับว่าคนไทยรุกล้ำดินแดนเขมร ทั้งที่เขมรบุกจับคนไทยในดินแดนไทย ไม่ปกป้องอธิปไตยของชาติ ไม่คุ้มครองสิทธิของคนไทย ยอมให้ทหารโจรเขมรบุกจับคนไทยขึ้นศาลเขมร แผ่นดินที่ดินของคนไทย ยอมให้เขมรเข้าครอบครอง อ.เจิมศักดิ์-จิตกร ยังทำตัวเป็นโฆษกคอยเชลียร์แก้ตัวให้น้ำขุ่นๆ ทำตัวยิ่งกว่า สมัคร-ดุสิต เสียอีก พิจารณาตัวเองเถอะครับ อย่าหลับหูหลับตาเชียร์อภิสิทธิ์จนลืมประเทศชาติ ผมยังหวังว่าจะกลับตัวกลับใจ
กำลังโหลดความคิดเห็น