xs
xsm
sm
md
lg

"ประพันธ์" จัดอีกดอก ซัด "เจิมศักดิ์" แหล ! บิดเบือนบทความ "สุทธิชัย หยุ่น"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"ประพันธ์" สุดทน ! ซัด "เจิมศักดิ์" ตอแหล หลังเช้านี้ยกบทความ "สุทธิชัย หยุ่น" มาอ่านและสรุปเองว่าผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับ "โหวตโน" ทั้งๆที่ในเนื้อหาไม่มีความหมายอย่างที่ว่าเลย ถามทำตัวตกต่ำขนาดนี้ได้อย่างไร รับใช้ "มาร์ค" ไม่ลืมหูลืมตา ยันยังรักและปรารถนาดีแนะกลับตัวยังไม่สาย พร้อมย้ำพันธมิตรฯไม่มีวันฆ่าพรรคการเมืองใหม่ มีมติอย่างไรก็เป็นเรื่องของพรรค

 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง "รวมพลัง ปกป้องแผ่นดิน" ปราศรัยโดย "นายประพันธ์ คูณมี"  

วันนี้ (20 เม.ย.) เวลาประมาณ 21.30 น. นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักร ขึ้นกล่าวบนเวที "รวมพลังปกป้องแผ่นดิน" ว่า เมื่อเช้าฟังรายการ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ที่จัดร่วมกับ นายจิตกร บุษบา ทางวิทยุคลื่น 92.25 ทำให้เห็นธาตุแท้ของนายเจิมศักดิ์ กะไม่พูดถึงแล้วแต่จำเป็นเพราะนายเจิมศักดิ์ไม่ใช่คนเดิมที่รู้จักแล้ว เห็นผิดเป็นชอบ น่ารังเกียจ

นายประพันธ์ กล่าวว่า เมื่อเช้านายเจิมศักดิ์ ให้นายจิตกรอ่านบทความของสุทธิชัย หยุ่น ในคอลัมน์กาแฟดำ พูดได้เต็มปากเลยว่านายเจิมศักดิ์ ตอแหล

บทความกาแฟดำ มีชื่อว่า ฉีกบัตรเลือกตั้ง...เหมือนและต่าง กับการรณรงค์ Vote No อย่างไร? มีเนื้อหาดังนี้

"วันก่อนฟังอาจารย์ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาฯ ที่เคยดังมาจากการ “ฉีกบัตรเลือกตั้ง” ทางวิทยุจุฬาฯ เปรียบเทียบให้ฟังระหว่าง “ฉีกบัตร” กับ “Vote No” แล้วก็กระตุ้นให้ต้องคิดเรื่องนี้ให้กว้างไกลออกไป

อาจารย์ไชยันต์บอกว่า  “การฉีกบัตรคือการไม่เอาการเลือกตั้ง ไม่ใช่ไม่เลือกใครเลย ความจริง ครั้งนั้นผมก็ไม่เลือกใครด้วยแหละ แต่ที่สำคัญคือไม่เอาการเลือกตั้งครั้งนั้น แต่พันธมิตรฯ (ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) ที่รณรงค์ครั้งนี้เขาไม่ได้ประสงค์ที่จะปฏิเสธการเลือกตั้ง...”

การ Vote No หรือกาช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนนให้ใครนั้นเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ผิดกฎหมายแต่ประการใด อาจารย์บอกว่าประเด็นทางการเมืองมีอยู่เพียงว่า การรณรงค์โหวตโนนั้นจะมีผลได้เสียกับพรรคอื่นหรือไม่ แต่เท่าที่ผ่านมาก็ยังไม่เห็นมีพรรคการเมืองใดโวยวายเรื่องนี้ จึงไม่ได้เป็นเรื่องเป็นราวสำหรับพรรคการเมืองแต่อย่างใด

การออกมาโหวตไม่เลือกใครเลยนั้นย่อมดีกว่าคนที่นอนหลับทับสิทธิ ไม่ไปใช้สิทธิในวันเลือกตั้งเลย อาจารย์ไชยันต์ บอกว่าที่พันธมิตรฯ รณรงค์ให้ Vote No นั้นไม่ผิดกฎหมายและไม่ได้ขัดกับระบอบประชาธิปไตย เพียงแต่อาจจะเกิดคำถามว่าพันธมิตรฯ ตั้งพรรคการเมืองใหม่ แล้ว ไม่พร้อมจะลงแข่งขันในการเลือกตั้งหรืออย่างไร  จึงรณรงค์ให้ผู้คนไปกาช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนนให้ผู้สมัครคนใดเลยเท่านั้นเอง

แปลว่าการ “ฉีกบัตรเลือกตั้ง” นั้นผิดกฎหมายแน่ แต่จะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ อาจารย์ไชยันต์ ไม่ได้สาธยายในการสนทนาทางวิทยุจุฬาวันนั้น

ผมมองว่าการฉีกบัตรก็เป็นการแสดงออก ในระบอบประชาธิปไตยอย่างหนึ่ง แม้กฎหมายจะเขียนเอาไว้ว่า การทำลายสิ่งของที่เกี่ยวกับการใช้สิทธินั้น ถือเป็นเรื่องที่ต้องลงโทษตามกฎหมาย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการแสดงออกถึงความไม่พอใจ ในการจัดการเลือกตั้งครั้งใดครั้งหนึ่งนั้น จะเป็นเรื่องนอกเหนือระบอบประชาธิปไตย

แต่ถ้าถามต่อว่าการไป Vote No ครั้งนี้จะแก้ปัญหาบ้านเมืองได้มากน้อยแค่ไหน นั่นย่อมเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่จะต้องถกแถลงกัน เหมือนที่มีคนถามว่า ผลเลือกตั้งคราวนี้ออกมาอย่างไร บ้านเมืองก็ไม่นิ่ง และความวุ่นวายทางการเมืองก็ยังไม่หายไปอยู่ดี

ถ้าถามคนที่พูดอย่างนี้ว่าไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งหรืออย่างไร? ถ้าไม่เลือกตั้ง จะให้ทำอย่างไร? จะยังเชื่อว่า “มาตรา 7” สามารถทำให้มี “รัฐบาลพิเศษ” หรือที่เรียกว่า “รัฐบาลพระราชทาน” อย่างนั้นหรือ?

คำตอบก็คือว่าใครที่พยายามตีความรัฐธรรมนูญ ว่าสามารถระงับการใช้บางมาตราเพื่อให้มี “รัฐบาลพิเศษ” นั้นยากเย็นและวุ่นวายไม่น้อยกว่าทหารปฏิวัติ... เพราะจะเกิดคำถามเรื่อง “อย่างนี้เป็นประชาธิปไตยตรงไหน?” ไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก

ดังนั้น ไม่ว่าบรรยากาศบ้านเมืองจะสับสน หรือผู้คนจะ “เซ็ง” กับลูกเล่นและความเป็นศรีธนญชัย ของนักเลือกตั้งที่กำลังยื้อแย่งอำนาจกันเพียงใด เราก็ยังต้องเดินไปตามเส้นทางที่ “เลวน้อยที่สุด” นั่นคือการให้ประชาชนออกมาลงคะแนนเสียง เพื่อตัดสินว่าจะให้คนกลุ่มไหนบริหารบ้านเมืองภายใต้นโยบายอะไร

การรณรงค์ให้ Vote No เป็นทางเลือกในการแสดงออก ในระบอบประชาธิปไตยอย่างหนึ่ง ต่างกับการ “ฉีกบัตร” ตรงที่การเลือกวิธีอย่างหลังนี้ผิดกฎหมายเลือกตั้งเพราะทำลายสิ่งของ แม้ว่าโดยจิตวิญญาณแห่งการแสดงออกแล้ว ผมก็เห็นว่าไม่ได้ผิดกติกาแห่งการแสดงจุดยืนแห่งอย่างไร

เมื่อเราต่างอ้างว่าจะยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย และยังไม่มีวิธีอื่นใดที่สะท้อนความต้องการของชาวบ้านได้ดีกว่าการไปกาบัตรเลือกตั้ง (มาตรา 7 ปฏิวัติ นอนอยู่กับบ้าน) ผมก็ถือว่าการเลือกตั้งจะต้องเกิดขึ้น

และผลออกมาอย่างไร ทุกฝ่ายจะต้องยอมรับ...เพื่อให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า ใครโกงเลือกตั้ง ใครทำผิดกฎหมาย ใครใช้วิธีการซับซ้อนยอกย้อน ใครจงใจหลอกลวงประชาชนก็ว่ากันไปตามกฎหมาย

การเมืองภาคประชาชนที่รับผิดชอบ และสะท้อนความต้องการของคนกลุ่มต่างๆ จะต้องมีบทบาทสำคัญและการแสดงออกจะต้องเป็นไปอย่างสันติ ปราศจากความรุนแรง เพื่อผลักดันให้เกิดความถูกต้องชอบธรรมแห่งแผ่นดิน

ทางเลือกอื่นนอกเหนือจากนี้ก็มี แต่เราพร้อมจะรับความเสี่ยงและความสูญเสียอันเกิดจากการไม่ใช้เหตุและผลของการอยู่ในสังคมร่วมกันหรือไม่? ฟังเหมือนยุ่งยาก แต่ความจริงการเลือกสำหรับสังคมไทยไม่ได้สลับซับซ้อนอะไร

ที่ยุ่งๆ อยู่ก็เพราะกิเลสและความละโมบเกินขอบเขต ของความดีงามของสังคมเท่านั้นแหละ" นายประพันธ์ อ่านบทความของ นายสุทธิชัย

นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า ประเด็นอยู่ตรงนี้ ทุกคนอ่านก็ต้องเข้าใจว่า นายสุทธิชัย ต้องการชี้ให้เห็นว่า การโหวตโน และการฉีกบัตร เลือกตั้งต่างกันอย่างไร โดยระบุว่าการโหวตโนไม่ผิดกฎหมายแต่ฉีกบัตรนั้นผิด และชี้ให้เห็นว่าสุดท้ายแล้วควรมีการเลือกตั้ง เพราะเป็นแบบที่เลวร้ายน้อยที่สุด ในมุมมองของนายสุทธิชัย

"ทีนี้อาจารย์เจิมศักดิ์ กลับสรุปว่าสุดท้ายนายสุทธิชัยก็ไม่เห็นด้วยกับการโหวตโน ตอแหล ตอแหลแล้วยังไม่เคารพคนเขียนอีกด้วย สรุปเอาเอง เป็นการกระทำที่หน้าด้านที่สุดของคนที่เป็นสื่อ เป็นนักวิชาการระดับด็อกเตอร์ ทำไมไม่หาเหตุผลมาเขียนตอบโต้การโหวตโนเอง แต่นี่ไปอ้างของคนอื่น ติดเชื้อแหลมาหมดเลย คำถามคือทำไมอาจารย์เจิมศักดิ์ ต้องเดือดร้อนมาตอบโต้พวกเรา มีเหตุผลเดียวก็เพราะเป็นสุนัขรับใช้อภิสิทธิ์" นายประพันธ์ กล่าว  

นายประพันธ์ ยังกล่าาวถึงกรณีของพรรคการเมืองใหม่ว่า ตน และนายสนธิ ก็ร่วมก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่มา ไม่มีทางที่จะทำร้ายพรรคอยู่แล้ว แต่มีหลายคนพยายามจะเสี้ยม ทั้งนายเจิมศักดิ์ และคอลัมนิสต์ อีกหลายคน หาว่าพันธมิตรฯจะทำลายพรรคการเมืองใหม่ สิ่งที่นายเจิมศักดิ์ทำไม่ใช่นักวิชาการที่ดี วันนี้ถลำลึก รับใช้นายอภิสทธิ์ไม่ลืมหูลืมตา ที่เปรียบเทียบกับนายสมัคร และนายดุสิต เป็นเรื่องน่าอับอายมาก เพราะคนอย่างอาจารย์เจิมศักดิ์ทำตัวตกต่ำขนาดนี้ได้อย่างไร

"ขายจิตวิญญาณสื่อมวลชน ขายตัวให้นักการเมืองชั่วไปแล้ว ตนยังรักและปรารถนาดีต่ออาจารย์ ถ้าวันนี้กลับมายืนในจุดยืนที่ถูกต้องยังไม่สาย แต่วันนี้อาจารย์กำลังทำตัวใช้ไม่ได้ คอยเสี้ยมเอาจดหมายคนโน้นคนนี้มาอ่าน มันตกต่ำเกินไป ไม่ควรลดตัวรับใช้นายอภิสิทธิ์ขนาดนั้น" นายประพันธ์ กล่าว

โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักร กล่าวปิดท้ายว่า การใช้สิทธิ์ไม่เลือกใครเป็นสิทธิอันชอบธรรม จึงขอชวนเชิญพี่น้องทั่วประเทศ ลงโทษนักการเมืองที่โกหก หลอกลวง เมื่อโหวตโนแล้วเรายังสามารถเอาพลังที่ไม่ลงให้ใคร นำไปสู่การปฏิรูปบ้านเมืองได้ ไม่ต้องลังเลสงสัยเลย เดินหน้าโหวตโนลูกเดียว ส่วนเรื่องพันธมิตรฯ กับพรรคการเมืองใหม่  ไม่มีวันฆ่ากัน ทำร้ายกัน แม้ว่าท้ายที่สุดจะตัดสินใจอย่างไรก็เป็นเรื่องของพรรค

คำต่อคำ “ประพันธ์ คูณมี”ปราศรัย

สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องที่เคารพรัก ก็กลับมาพบกันเช่นเคย ก็ขอกราบสวัสดีพี่น้องทางบ้าน และพี่น้องที่รับชมอยู่ต่างประเทศด้วย โดยเฉพาะวันนี้มีจดหมายรักจากต่างประเทศมาถึง อ.เจิมศักดิ์ ด้วย

พี่น้องที่เคารพรักครับ การชุมนุมของพวกเราอยู่ที่นี่ไม่ต้องมามากครับ อยู่กันแค่นี้แหล่ะ แค่นี้ก็ทำให้บ้านเมืองสั่นสะเทือนกันไปทั้งแผ่นดินแล้วครับ ยังไม่ได้ออกแรง ยังไม่ได้รวมพลังกันเรือนแสน เรือนล้านเลย รัฐบาลก็สั่นสะเทือนไปทั้งรัฐบาลแล้ว

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พรรคประชาธิปัตย์ ก็เดือดร้อน ไม่เป็นอันกินอันนอน เหมือนอย่างที่คุณสนธิพูดเมื่อสักครู่ เราชุมนุมอยู่ที่นี่ จุดยืนและข้อเรียกร้องของพวกเรานั้นชัดเจนมาก ข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ยังยืนหยัดอยู่เช่นเดิม ไม่มีเปลี่ยนแปลงใช่มั้ยครับ นี่เป็นหัวใจสำคัญ การยกเลิก MOU 43 ถอนตัวจากมรดกโลก และรัฐบาลต้องขับไล่ทหาร-คนกัมพูชา ออกจากแผ่นดินไทย 3 ข้อนี้เป็นจุดยืนอันเหนียวแน่นของพวกเราไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย ใช่มั้ยครับ

หลายคนอาจจะสงสัยว่า เราชุมนุมเรียกร้องเรื่องอะไร ทำไมไปๆ มาๆ มันถึงกลายมาเป็นรณรงค์โหวตโน ไอ้คนที่ตั้งคำถามแบบนี้คงแกล้งโง่ และแกล้งเซ่อ เขาฟังกันมา 80 กว่าวัน เขารู้หมดแล้วว่าทำไมจึงต้องรณรงค์โหวตโน ใช่มั้ยครับ ไม่ต้องมาแกล้งโง่ แกล้งเซ่อ แกล้งถาม

ความจริงแล้วเขาก็รู้ว่าที่พวกเราต้องรณรงค์เรื่องนี้ไปด้วยนั้น ก็เพราะว่าข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อของพวกเรา และข้อเรียกร้องที่ให้รัฐบาลรับผิดชอบต่อความเสียหายของบ้านเมืองที่เกิดขึ้นจากการบริหารประเทศของเขา จากความล้มเหลวที่ทำให้ประเทศต้องเสื่อมเสียดินแดนและอธิปไตยนั้น มันจึงนำมาซึ่งข้อเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบในฐานะรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี ใช่มั้ยครับ

แต่นายอภิสิทธิ์ และรัฐบาลชุดนี้ ก็หน้าด้าน ทำเป็นหูทวนลม ไม่เคยสำนึก และไม่เคยแสดงความรับผิดชอบ ว่าตัวเองกำลังทำความผิดพลาดเสียหายร้ายแรงในการบริหารราชการแผ่นดินอย่างไรบ้าง ไม่เคยสำนึก ไม่เคยรับฟังความเห็นของประชาชน ทำดื้อด้านและหูทวนลม ไม่สนใจใยดี แต่ท้ายที่สุดความจริงมันก็ไล่ล่ามาเรื่อยๆ ใกล้จะถึงเวลาที่จะขึ้นทะเบียนมรดกโลก ประชุมอีกครั้งหนึ่งแล้วที่บาห์เรน ปัญหาเรื่องไทยกับอินโดนีเซียและกัมพูชา เรื่องผู้สังเกตการณ์จะเข้ามา จะอยู่ตรงไหน จะเป็นยังไง ก็ไม่คืบหน้า เรื่องร่างบันทึกตกลง JBC ก็เดินหน้าไม่ได้ เพราะข้อเท็จจริงทั้งหมดถูกพี่น้องบนเวทีนี้และการชุมนุมครั้งนี้เอาข้อเท็จจริงมาตีแผ่และสกัด ตอบโต้รัฐบาลจนไม่สามารถโต้แย้งพวกเราได้ และไม่สามารถที่จะไปให้สภาให้ความเห็นชอบ ให้ความยินยอมได้

มาถึงวันนี้ นายสุวิทย์ คุณกิตติ ก็ออกมาเปิดเผยข้อเท็จจริงให้เรารู้แล้วว่าการดำเนินการเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกของกัมพูชานั้น รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ดำเนินการมาโดยตลอดนั้น กระทำโดยสุ่มเสี่ยงและทำให้ประเทศสูญเสียดินแดนและอธิปไตย เสียเปรียบกัมพูชาอย่างไร ข้อเท็จจริงวันนี้ก็ถูกเปิดเผยมาแล้วใช่มั้ยครับ

เมื่อรัฐบาลไม่ทำหน้าที่ ไม่รับผิดชอบ ขณะเดียวกันพรรคร่วมรัฐบาลก็กอบโกย โกงกิน ทุจริตคอร์รัปชั่น ฉาวโฉ่ แน่นอนที่สุด ประชาชนย่อมสิ้นหวังต่อพรรคประชาธิปัตย์ ต่อรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และหากมีการเลือกตั้งต่อไป ย่อมเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของประชาชนที่เคยเลือกคุณ และคุณไม่ได้ทำหน้าที่ตามนโยบาย บอกว่าจะปกป้องดินแดน รักษาอธิปไตย จะไม่ทำให้เสียแผ่นดิน คุณก็ทำให้เสียแผ่นดิน

วีระ-ราตรี ถูกจับไป คุณก็บอกว่าถูกจับอยู่ในดินแดนเขมร ผลักไสคนไทยไปติดคุกติดตะราง คุณบอกจะแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ให้ประชาชนได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ให้บ้านเมืองกลับคืนสู่ความสงบ ให้การเมืองหลุดพ้นจากการเมืองที่ล้มเหลว จะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ สรุปแล้วทุกเรื่องรัฐบาลนายอภิสิทธิ์โกหก ตอแหล ตระบัดสัตย์ ไม่ทำแม้แต่เรื่องเดียว ใช่มั้ยครับ

ดังนั้นวันนี้เมื่อคุณจะยุบสภาหนีความรับผิดชอบ หนีปัญหา ไม่ยอมรับผิดชอบ และไม่ยอมแก้ไขปัญหา แต่อยากจะหน้าด้านกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี มาเป็นรัฐบาลอีก มันสมควรมั้ยครับพี่น้อง

เมื่อบริหารบ้านเมืองล้มเหลว บ้านเมืองเสียหาย แก้ปัญหาอะไรไม่ได้สักเรื่องเลย ตัวเองก็ไม่มีความสามารถ ไร้สภาวะความเป็นผู้นำ ความบกพร่อง ความผิดพลาด ความเสียหายในทางส่วนตัวก็เยอะแยะมากมายอย่างที่ผมนำมากราบเรียนพี่น้องแล้ว เพราะฉะนั้น ณ วันนี้ พรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงไม่สมควร และไม่มีสิทธิ์ ไม่อยู่ในฐานะที่จะได้รับความไว้วางใจและสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนคนพันธมิตรฯ ใช่มั้ยครับ

เมื่อเป็นดังนี้ พี่น้องเห็นมั้ยครับ เมื่อเราจุดกระแสการโหวตโนขึ้นมา และจุดกระแสไม่ลงคะแนนให้กับใคร พรรคใดนั้น ปรากฏว่า คนที่เดือดร้อนที่สุด และดิ้นรนกระเสือกกระสนที่สุด และพยายามที่จะออกมาตอบโต้พวกเรา มาตอบโต้การชุมนุม และหาทางทำลายความน่าเชื่อถือของผู้นำ หรือแกนนำ หรือวิทยากรนั้น กลายเป็นสมุนรับใช้ของพรรคประชาธิปัตย์เป็นหลักครับ พี่น้อง พรรคอื่นกลับไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหวในทางที่จะตอบโต้และทำลายพวกเรา กลายเป็นสมุนรับใช้ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ดิ้นรนและหาทุกวิถีทางที่จะตอบโต้การเคลื่อนไหวและทำลายความชอบธรรม ความน่าเชื่อถือของพวกเรา

พี่น้องครับ ในทางการเมืองและในทางการต่อสู้ ยิ่งคนที่เป็นปฏิปักษ์กับประชาชน คนที่เป็นศัตรูกับประชาชน คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับประชาชน ยิ่งดิ้นรนกระเสือกกระสนเท่าไรนั้น ยิ่งหาทางที่จะตอบโต้ทำลายเรามากขึ้นเท่าไรนั้น แสดงว่าการเคลื่อนไหวของเราได้รับผลและทรงประสิทธิภาพ กำลังเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่จะพุ่งเป้าเข้าทำลายล้างเขา และทำให้เขาหมดความชอบธรรม แสดงว่าการชุมนุมของพวกเราได้รับผลสำเร็จ ตีตรงเป้า ใช่มั้ยครับ ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่ดิ้นรน

และวันนี้ครับพี่น้อง เกี่ยวกับการชุมนุมของพวกเราที่นี่ พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ทำอย่างไรครับที่จะตอบโต้กับพวกเรา วันนี้เขาใช้สมุน บริวารของเขา ออกมาเป็นหัวหอก เป็นทหารเลว เป็นหัวหมู่ทลวงฟันเหมือนอย่างที่เจิมศักดิ์เขียนไง คุณก็เป็นหัวหมู่ทลวงฟัน เป็นทหารเลว เป็นคนที่ทำงานตามที่นายอภิสิทธิ์สั่ง

เขาก็ใช้คนนี้ล่ะออกมาเป็นหัวหอก เพื่อจะดิสเครดิตเรา แล้วนายคนนี้ก็ไปรวบรวมสมุน บริวาร โดยอ้างว่าบรรดาบุคคลเหล่านั้นเป็นกัลยาณมิตรกับเรา ว่างั้นเถอะ ความจริงแล้วคุณเป็นศัตรูและอยู่ตรงข้ามกับพวกเราไปแล้ว คุณเป็นอดีตมิตร แต่วันนี้คุณไปยืนอยู่กับอภิสิทธิ์ คุณก็ต้องยืนอยู่ตรงข้ามกับประชาชน ใช่มั้ยครับพี่น้อง คุณไม่ใช่เพื่อนเราแล้ว ถ้าคุณเป็นเพื่อน เป็นมิตรกับเรา ทำไมคุณไปเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นชั่วเป็นดีล่ะครับ ไม่เห็นความชั่วความเลวแม้แต่นิดเดียวของนายอภิสิทธิ์และรัฐบาลชุดนี้เลย

เมื่อคุณยืนอยู่ตรงนั้น คุณก็ต้องเป็นคนที่ยืนอยู่คนละฝั่งกับพวกเรา คุณก็ไม่ได้เป็นมิตรเราแล้ว เพราะฉะนั้นวันนี้ถ้าเราจะพูดถึงเขานั้น ไม่ใช่พูดถึงมิตร แต่พูดถึงบรรดาพวกสมุน บริวารรับใช้รัฐบาลตอแหลครับ เมื่อคุณสมัครใจที่จะไปยืนอยู่ตรงข้ามกับประชาชน มันก็หมดสิ้นความเป็นมิตรกับพวกเราไปโดยสิ้นเชิง ไม่มีเหตุอันควรสงสัยเลย

ดังนั้น เมื่อเราจะตอบโต้ วิพากษ์วิจารณ์เขา ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องว่าเราไปวิพากษ์วิจารณ์มิตร วิพากษ์วิจารณ์เพื่อน นักวิชาการ หรือบางคนที่เคยขึ้นเวทีนี้แล้วไปเขียนบทความบอกว่าเราทำลายกัลยาณิมตร กัลยาณมิตรแล้วมันจะเสือกไปอยู่เวทีหนึ่งแล้วมาด่าพวกเราทุกวันได้ยังไง ถ้าเป็นกัลยาณมิตร ใช่มั้ยครับ มันจะมาตอแหลหาเรื่องทำลายเราทุกวันได้ยังไง แม้กระทั่งเมื่อกี้ที่คุณสนธิพูด ว่ามีนายเตี้ย บางลำพู และสุดท้ายคุณสนธิก็ให้ชื่อว่า นายเหี้ย บางลำพู ไปแล้ว

ทำท่าว่าเขียนจดหมายมาลงในคอลัมน์ถูกทุกข้อ สามวาสองศอก โดยอ้างคำทำนายของท่านจันทร์ ไม่รู้เป็นท่านตั้งแต่เมื่อไรครับ ท่านจันทร์นะคะ นะยะ เอามาลง แล้วเมื่อเช้านี้เจิมศักดิ์ก็พยายามให้จิตกรอ่านบทความนี้ แต่เวลามันหมดแล้ว อ่านไม่ทัน ก็พยายามประชาสัมพันธ์ให้คนอื่นไปอ่าน เพราะว่าในบทความนี้มันหาว่าสนธิไปรับเงินทักษิณมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ มันตอแหล หน้าด้าน โกหกมั้ยครับ

ความจริงแล้วเรื่องนี้สนธิเขาก็ตอบไปแล้ว แต่มันยังหน้าด้านเอามาลงอีก แล้วเจิมศักดิ์ก็พยายามคะยั้นคะยอให้นายจิตกรอ่าน แต่เวลามันหมด มันไม่ได้อ่าน สงสัยพรุ่งนี้มันคงจะไปอ่าน ลองอ่านก็ไม่ไร มึงอ่านอีกกูก็ด่าต่อไปอีก

ทีนี้เมื่อเช้านี้ ผมฟังรายการของเขา 92.25 ผมฟังแล้วจึงได้เห็นว่าความตอแหลของคน ธาตุแท้ของคน มันแสดงออก วันนี้ความจริงว่าจะไม่พูดถึงแล้ว แต่จำเป็นต้องพูดถึงครับคนนี้ เพราะว่าเขาไม่ใช่คนเดิมที่เราเคยรู้จักแล้ว เขาเป็นคนที่เปลี่ยนสีแปรธาตุ เปลี่ยนจุดยืน เปลี่ยนทัศนคติ เปลี่ยนอุดมการณ์ไปแล้ว เพราะเขาไปเห็นผิดเป็นชอบ คนดีที่ฉลาดแต่ไปรับใช้คนเลว มันก็คือคนเลวดีๆ นี่เองครับ

ที่น่ารังเกียจ เมื่อเช้านี้ที่ผมฟัง นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง บอกให้นายจิตกรอ่านบทความของนายสุทธิชัย หยุ่น กาแฟดำ อ่านบทความของสุทธิชัย หยุ่น ผมก็อ่านมาแล้ว เพราะที่บ้านผมรับกรุงเทพธุรกิจประจำอยู่แล้ว ตื่นเช้ามาผมก็อ่านคอลัมน์กาแฟดำ กาแฟดำเขียนอย่างไร เดี๋ยวผมอ่าน เพื่อพี่น้องจะได้ฟัง แล้วเจิมศักดิ์มันมาสรุปว่าอย่างไร

เพราะว่า 2 คนนี้ เจิมศักดิ์ กับจิตกร เวลานี้ทำตัวไม่ต่างจากสมัคร กับดุสิต ศิริวรรณ ครับ คือเป็นนายแหล คอยเชลียร์ เชียร์นายอภิสิทธิ์แบบหน้ามืดตามัว ไม่รู้ผิดรู้ชอบ ก่อนจะอ่านจดหมายของคนไทยที่อเมริกา ดูบทความของคุณกาแฟดำ เพื่อความเป็นธรรม แล้วทำไมผมถึงบอกว่านายเจิมศักดิ์ตอแหล ผมจะได้พูดเต็มปาก

คุณกาแฟดำ หรือสุทธิชัย หยุ่น เขียนดังนี้ครับ เขาบอกว่า วันก่อนฟัง อ.ไชยยันต์ ไชยพร อ.รัฐศาสตร์ จุฬาฯ ที่เคยดังมาจากฉีกบัตรเลือกตั้ง ทางวิทยุจุฬาฯ เปรียบเทียบให้ฟังระหว่างฉีกบัตร กับโหวตโน แล้วกระตุ้นให้ต้องคิดเรื่องนี้ให้กว้างไกลออกไป อ.ไชยยันต์ บอกว่าการฉีกบัตรคือการไม่เอาการเลือกตั้ง ไม่ใช่ไม่เลือกใครเลย ความจริงครั้งนั้นผมก็ไม่เลือกใครด้วยนั่นแหล่ะ แต่ที่สำคัญคือไม่เอาเลือกตั้งครั้งนั้น แต่พันธมิตร (ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) ที่รณรงค์ครั้งนี้เขาไม่ได้ประสงค์ที่จะปฏิเสธการเลือกตั้ง การโหวตโน หรือกาช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนนให้ใครนั้น เป็นสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ผิดกฎหมายแต่ประการใด

อาจารย์บอกว่า ประเด็นทางการเมืองมีอยู่เพียงว่า การรณรงค์โหวตโนนั้น จะมีผลได้เสียกับพรรคอื่นหรือไม่ แต่เท่าที่ผ่านมาก็ยังไม่เห็นมีพรรคการเมืองใดโวยวายเรื่องนี้ จึงไม่ได้เป็นเรื่องเป็นราวสำหรับพรรคการเมืองแต่อย่างใด การออกมาโหวตโนไม่เลือกใครนั้น ย่อมดีกว่าคนที่นอนหลับทับสิทธิ์ ไม่ไปใช้สิทธิ์ในวันเลือกตั้งเลย

อ.ไชยยันต์ บอกว่าที่พันธมิตรฯ รณรงค์ให้โหวตโนนั้น ไม่ผิดกฎหมาย และไม่ขัดกับระบอบประชาธิปไตย เพียงแต่อาจจะเกิดคำถามว่า พันธมิตรฯ ตั้งพรรคการเมืองใหม่แล้ว ไม่พร้อมจะลงแข่งขันในการเลือกตั้งหรืออย่างไร จึงรณรงค์ให้ผู้คนไปกาช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนนให้ผู้สมัครคนใดเลย เท่านั้นเอง ซึ่งอันนี้พี่สนธิก็ตอบไปแล้วในตอนท้าย

แต่ว่าการฉีกบัตรเลือกตั้งนั้น ผิดกฎหมายแน่ แต่จะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ อ.ไชยยันต์ ไม่ได้สาธยายในการสนทนาทางวิทยุจุฬาฯ นั้น ผมมองว่าการฉีกบัตรเป็นการแสดงออกในระบอบประชาธิปไตยอย่างหนึ่ง แม้กฎหมายจะเขียนเอาไว้ว่าการทำลายสิ่งของที่เกี่ยวกับการใช้สิทธิ์นั้น ถือเป็นเรื่องที่ต้องลงโทษตามกฎหมาย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการแสดงออกถึงความไม่พอใจในประชาธิปไตย แต่ถ้าถามต่อว่า การไปโหวตโนครั้งนี้จะแก้ปัญหาบ้านเมืองมากน้อยแค่ไหนนั้น ย่อมเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ต้องถกแถลงกัน เหมือนที่มีคนถามว่าผลเลือกตั้งคราวนี้ออกมาอย่างไร บ้างเมืองก็ไม่นิ่ง และความวุ่นวายทางการเมืองก็ยังไม่หายอยู่ดี

ถ้าถามคนที่พูดอย่างนี้ว่าไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งหรืออย่างไร ถ้าไม่เลือกตั้งจะให้ทำอย่างไร จะยังเชื่อว่ามาตรา 7 สามารถทำให้มีรัฐบาลพิเศษ หรือที่เรียกว่ารัฐบาลพระราชทาน อย่างนั้นหรือ คำตอบก็คือ ใครที่พยายามตีความรัฐธรรมนูญว่าสามารถระงับการใช้บางมาตรา เพื่อให้มีรัฐบาลพิเศษนั้น ยากเย็นและวุ่นวายไม่น้อยกว่าทหารปฏิวัติ เพราะจะเกิดคำถามเรื่องอย่างนี้เป็นประชาธิปไตยตรงไหน ไม่ต่างกันเท่าไรนัก

ดังนั้นไม่ว่าบรรยากาศบ้านเมืองจะสับสนหรือผู้คนจะเซ็งกับลูกเล่นและความเป็นศรีธนญชัยของนักเลือกตั้งที่กำลังยื้อแย่งอำนาจกันเพียงใด เราก็ต้องเดินไปตามเส้นทางที่เลวน้อยที่สุด คือการให้ประชาชนออกมาลงคะแนนเสียงเพื่อตัดสินว่าจะให้กลุ่มไหนบริหารบ้านเมืองภายใต้นโยบายอะไร

การรณรงค์ให้โหวตโน เป็นทางเลือกในการแสดงออกในระบอบประชาธิปไตยอย่างหนึ่ง ต่างกับการฉีกบัตร ตรงที่การเลือกวิธีอย่างหลังนี้ผิดกฎหมายเลือกตั้ง เพราะทำลายสิ่งของ แม้โดยจิตวิญญาณแห่งการแสดงออกแล้ว ผมก็เห็นว่าไม่ได้ผิดกติกาแห่งการแสดงจุดยืนอย่างไร (คือการฉีกบัตรนี่เขามองว่าผิดกฎหมาย แต่โหวตโนเขาไม่ได้บอกว่าผิดกฎหมาย)

วรรคสุดท้าย เมื่อเราต่างอ้างว่าจะยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย และยังไม่มีวิธีอื่นใดที่จะสะท้อนความต้องการของชาวบ้านได้ดีกว่าการไปกาบัตรเลือกตั้ง (มาตรา 7) ปฏิวัติ นอนอยู่กับบ้าน ผมก็ถือว่าการเลือกตั้งจะต้องเกิดขึ้น และผลอย่างไร ทุกฝ่ายจะต้องยอมรับเพื่อให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า ใครโกงเลือกตั้ง ใครทำผิดกฎหมาย ใครใช้วิธีการซับซ้อนยอกย้อน ใครจงใจหลอกลวงประชาชน ก็ว่ากันไปตามกฎหมาย การเมืองภาคประชาชนที่รับผิดชอบและสะท้อนความต้องการของกลุ่มคนต่างๆ จะต้องมีบทบาทสำคัญ และการแสดงออกจะต้องเป็นไปอย่างสันติ ปราศจากความรุนแรง เพื่อผลักดันให้เกิดความถูกต้องชอบธรรมแห่งแผ่นดิน

ทางเลือกอื่นนอกเหนือจากนี้ก็มี แต่เราพร้อมจะรับความเสี่ยงและความสูญเสียอันเกิดจากการไม่ใช้เหตุและผลของการอยู่ในสังคมร่วมกันหรือไม่ ฟังเหมือนยุ่งยาก แต่ความจริงการเลือกสำหรับสังคมไทยไม่ได้สลับซับซ้อนอะไร ที่ยุ่งๆ อยู่ก็เพราะกิเลสและความละโมบเกินขอบเขตของความดีงามของสังคมเท่านั้น จบบทความของคุณสุทธิชัย หยุ่น กาแฟดำ

พี่น้องครับ ประเด็นอยู่ตรงนี้ครับ อ่านบทความนี้ ใครอ่านก็ต้องรู้ ใครอ่านก็ต้องเข้าใจได้ถ้าอ่านภาษาไทยเป็น ฟังภาษาไทยรู้เรื่อง ว่าคุณสุทธิชัย หยุ่น ก็เป็นแต่เขียนให้เห็นว่าระหว่างฉีกบัตรเลือกตั้ง กับโหวตโน นั้นมันต่างกันอย่างไร เหมือนและต่างกันอย่างไร มันก็คือเป็นการปฏิเสธการเลือกตั้ง แต่เป็นการไปโหวตโนนั้นมันไม่ผิดกฎหมาย แต่ฉีกบัตรเลือกตั้งอาจจะผิดกฎหมาย นี่ประเด็นหนึ่ง

ประเด็นที่ 2 ก็คือ ความเห็นของเขา เขาก็เห็นว่าบ้านเมืองมันยังไงท้ายที่สุดมันก็ต้องมีเลือกตั้ง ถ้ามีเลือกตั้งมันก็ยังถือว่าเป็นวิธีที่เลวน้อยที่สุดในมุมมองของคุณสุทธิชัย หยุ่น ครั้นจะเอาแบบมาตรา 7เอาแบบปฏิวัติ เขาก็บอกว่ามันยังเป็นวิธีการที่สุ่มเสี่ยง ซึ่งพี่น้องที่ไปโหวตโนก็ไมได้คัดค้านการเลือกตั้ง ใช่มั้ยครับ เรายินดีที่จะไปเลือกตั้ง ถ้ามีการเลือกตั้ง แต่จะไปกาในช่องไม่ลงคะแนนให้ใคร ก็เท่านั้นเอง

ทีนี้เจิมศักดิ์ให้จิตกรอ่านเสร็จ เจิมศักดิ์สรุปว่ายังไงครับ ไอ้เจิมสากเนี่ย พี่น้องบอกเจิมสาก เจิมสากสรุปแล้ว สรุปแล้วสุทธิชัย หยุ่น ก็ไม่เห็นด้วยกับโหวตโน ใช่มั้ยครับ สรุปเอาเองเลยครับ เจิมศักดิ์ คุณตอแหล ตอแหลและไม่เคารพความคิดเห็นของผู้เขียนเขาอีก เขาเขียนอย่างหนึ่ง ตัวเองไปตอแหลอีกอย่างหนึ่ง สรุปหาว่าเขาไม่เห็นด้วยกับโหวตโน สุทธิชัย หยุ่น น่าจะโทรศัพท์ไปต่อว่าเจิมศักดิ์หน่อยครับว่า เอาบทความเขาไปอ่าน แล้วเอาไปอ้าง แล้วไปสรุปเองเองครับพี่น้อง

ซึ่งอันนี้เป็นการกระทำที่หน้าด้านที่สุดของคนที่เป็นสื่อ ถ้าตัวเองไม่เห็นด้วยกับโหวตโน ทำไมคุณไม่เขียนล่ะ ทำไมคุณไม่อ้างเหตุผลว่านายเจิมศักดิ์ไม่เห็นด้วยกับโหวตโนด้วยเหตุผล 1..2..3..4..5.. ทำไมไม่แหลเหมือนที่เคยแหลล่ะ

ทำไมคุณเป็นนักวิชาการระดับด็อกเตอร์ คุณไม่มีปัญญาหาเหตุผลมาหักล้างเราหรือ ทำไมต้องไปอ้างบทความของคนอื่น เขาไม่ได้เขียนว่าเขาไม่เห็นด้วย เสือกทะลึ่งไปสรุปว่าเขาไม่เห็นด้วยกับโหวตโน แหลมั้ยครับ ติดเชื้อแหลมาหมดเลย

คำถามก็คือทำไมเจิมศักดิ์ถึงเดือดร้อน ถึงอยากจะหาความเห็นคนนั้นคนนี้มาเคาน์เตอร์ มาตอบโต้กับพวกเรา ก็เพราะเป็นสุนัขรับใช้อภิสิทธิ์ และประชาธิปัตย์ไงครับ ไม่มีเหตุผลอะไรอื่นเลย แต่ความที่มียางอาย ไม่อยากจะเขียนเอง ก็ไปหยิบเอาบทความของคนนั้นเอาบทความในไทยโพสต์มาให้จิตกรอ่าน เอาบทความสุทธิชัย หยุ่น มาให้อ่าน แล้วเมื่อเช้าก็ไปเอาบทความของนายชัยวัฒน์ สุรวิชัย มาให้จิตกรอ่านอีก เดี๋ยววันหลังผมจะมาเฉาะเป็นประเด็นๆ ว่าบทความของคุณชัยวัฒน์ สุรวิชัย นั้นมีจุดอ่อนอย่างไรบ้าง ที่ไม่ถูกต้อง เราแลกเปลี่ยนกันในเชิงปัญญาได้ครับอย่างนี้

เพราะถ้าความเห็นระหว่างผมกับ อ.ชัยวัฒน์ สุรวิชัย หรือความเห็นระหว่างเรากับพรรคการเมืองใหม่นั้น อันนี้เป็นความเห็นที่แตกต่างกันในระหว่างกัลยาณมิตร และระหว่างเพื่อนพ้องน้องพี่ ในระหว่างมิตรจริง เราแลกปลี่ยนความเป็นกันได้ เพราะว่าต่างคนต่างก็มีความปรารถนาดีต่อบ้านเมือง ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าควรจะลงเลือกตั้งมั้ย อีกฝั่งหนึ่งเห็นว่าไม่ควรลงเลือกตั้ง ผลดี-ผลเสียอย่างไร เรามาถกเถียงแลกเปลี่ยนกันได้ ในฐานะที่พรรคการเมืองใหม่ก็คือพรรคของพวกเรา และพวกเราเป็นคนตั้ง ใช่มั้ยครับ พรรคการเมืองมีประวัติศาสตร์ มีจุดกำเนิดมาจากพวกเรา เราย่อมมีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็นต่อพรรคการเมืองใหม่ เพราะเป็นพรรคที่พวกเราร่วมกันตั้งมา

ความจริงแล้ว พี่น้องครับ คุณสนธิก็ดี ผมก็ดี ผมก็เป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนร่วมในการตั้งพรรคนี้ แต่บรรดาพวกนี้ เจิมศักดิ์ก็ดี บรรดาพันธมิตรประชาธิปไตยเพื่อประชาธิปัตย์ พยายามจะมาเสี้ยมให้เรากับพรรคการเมืองใหม่ทะเลาะแตกแยกกัน คอลัมนิสต์บางคนก็พยายามเขียนว่า สนธิ ประพันธ์ คนโน้นคนนี้ตั้งพรรคมา แล้วก็ทำลาย เราไม่ได้ทำลายพรรคการเมืองใหม่ เรายังเห็นว่าพรรคการเมืองใหม่เป็นสมบัติของพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยครับ เราจึงได้เสนอแนวคิด แนวทาง ความเห็นว่าสถานการณ์แบบนี้เราควรจะเคลื่อนไหวในทางการเมืองอย่างไร เหมือนพรรคประชาธิปัตย์ก็เคยไม่ลงเลือกตั้ง บอยคอตการเลือกตั้งมาแล้ว เป็นการเคลื่อนไหวในเชิงยุทธวิธี ใช่มั้ยครับ

เพราะฉะนั้นการแลกเปลี่ยนกันในทางความคิดเห็นที่แตกต่างกันเพื่อให้ได้ความรู้ ให้ได้แนวทางที่ดีที่สุดสำหรับพี่น้องประชาชน เป็นเรื่องแลกเปลี่ยนกันในระหว่างเพื่อนมิตร แต่ว่าไอ้ที่คุณเจิมศักดิ์ไปจัดรายการ 92.25 แล้วก็เอาบทความของคนอื่นมาแหล แล้วก็พยายามตอดเล็กตอดน้อยทำลายพวกเรานั้น มันไม่ใช่วิสัยของมิตรที่ดี ใช่มั้ยครับ แล้วไปเอาบทความของ อ.ชัยวัฒน์ สุรวิชัย มาอ่าน มาอ่านในลักษณะหวังต้องการที่จะยืมปาก อ.ชัยวัฒน์ มาทำลายพวกเรา มายุให้พรรคการเมืองใหม่กับพวกเราแตกแยกกัน ทำตัวเป็นบ่าง ไม่ได้เป็นวิสัยของนักวิชาการที่ดีเลย วันนี้คุณถลำลึกและไปรับใช้อภิสิทธิ์แบบไม่ลืมหูลืมตา

เพราะฉะนั้นที่ผมเปรียบเทียบเจิมศักดิ์ ว่าไม่ต่างอะไรกับนายสมัคร สุนทรเวช ขอประทานโทษเอ่ยนามท่าน เสียชีวิตไปแล้ว กับนายดุสิต ศิริวรรณ ซึ่งทำตัวเป็นปากกระบอกเสียงเชลียร์รัฐบาลสมัยทักษิณ หรือสมัยรัฐบาลเผด็จการที่ผ่านๆ มาเลยครับ ไม่เคยเห็นความดีความชอบอะไรเลย ไม่สามารถแยกแยะอะไรผิดอะไรถูกเลย

การเชลียร์ของนายเจิมศักดิ์ ที่เชลียร์นายอภิสิทธิ์นั้นเป็นเรื่องที่น่าอับอายมากครับ ว่าคนอย่าง อ.เจิมศักดิ์ ทำตัวต่ำขนาดนี้ได้อย่างไร ลดค่าลดราคาตัวเองอย่างนี้ได้อย่างไร

ทีนี้ พี่น้องครับ เมื่อวันก่อนหลังจากที่ผมพูดถึง อ.เจิมศักดิ์ แล้ว ก็มีพี่น้องคนไทยที่อเมริกาที่รู้จัก อ.เจิมศักดิ์ และก็เคยต้อนรับ อ.เจิมศักดิ์ ในระหว่างที่ อ.เจิมศักดิ์ ไปที่ดี.ซี. ที่นิวยอร์ก เขาก็เขียนจดหมายเปิดผนึกมา ผมจะขออ่าน พี่น้องตั้งใจฟังนิดนึง สั้นๆ ไม่ยาว 1 หน้ากระดาษ แต่เป็นการเขียนอย่างคนที่มีความรู้และให้อนุสติกับ อ.เจิมศักดิ์ แบบผู้ดีและคนมีการศึกษาว่ากล่าวตักเตือนกัน แต่มันก็เจ็บลึก เดี๋ยวท่านลองฟังดูนะครับ

จดหมายถึง อ.เจิมศักดิ์ อาจารย์คงจำผมไม่ได้ แต่ขอให้อดทนอ่านหน่อยนะครับ ระยะหนึ่งผมได้มีโอกาสกลับไปอยู่ประเทศไทย ผมจำชื่อรายการที่อาจารย์จัดในเวลานั้นไม่ได้ แต่จำภาพอาจารย์ได้ สมัยนั้นอาจารย์แต่งตัวเหมือนสกอลลาร์ในอเมริกา ผูกโบว์หูกระต่าย ใส่ซัสเปนเดอร์ มือถือปากกาหมึกซึมมองต์บลังค์ด้ามอวบ ตามแบบฉบับนักวิชาการ นักการเมืองมีระดับ ผมรู้สึกนิยมอาจารย์มากยิ่งขึ้นในสาระและเหตุผลที่อาจารย์นำเสนอ

ประมาณปี 2550 อาจารย์ออกเดินสายมาอเมริกาพร้อมกับ อ.พิภพ ธงไชย อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อ.ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ คุณอัญชลี ไพรีรัก และคุณกมลพร วรกุล ผมโชคดีได้มีโอกาสเป็นพิธีกรให้อาจารย์ทั้ง 4 ท่าน การมาอเมริกาในครั้งนั้นอาจารย์คงจำได้ว่า มีปัญหาขัดแย้งในคณะอาจารย์เล็กน้อย จนกระทั่งผู้หญิงคนหนึ่ง (ในนี้มีผู้หญิง 2 คนที่ไปด้วยกัน) แสดงอากัปกิริยาไม่เหมาะสม จนเป็นที่โจษขานไปทั่วกรุงวอชิงตัน พี่น้องนึกเอาก็แล้วกันว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร

เมื่อมีโอกาสอยู่ลำพัง ผมเปรยกับอาจารย์ว่า อาจารย์ครับทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ มารยาทาและการแสดงออกช่างขัดกับภาพบนเวทีของเขามาก แล้วอย่างนี้จะให้ผมเชื่อในสิ่งที่เขาพูดได้อย่างไร อาจารย์ให้เกียรติเตือนสติผมว่า เฮ้ย คุณคิดอย่างนั้นไม่ได้ เรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานมันต้องแยกกัน ผมเป็นคนหัวแข็ง ผมไม่เชื่อ แต่ผมก็ไม่ขัดอาจารย ์แต่ส่งที่อาจารย์พูดประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับความชั่วร้ายของอดีตนายกฯ นช.ทักษิณ ทำให้ผมมั่นใจในความเที่ยงธรรม เป็นคนตรงของอาจารย์มากขึ้น

อาจารย์ครับ ผมขอพูดแทนพวกเราส่วนใหญ่ในแถบกรุงวอชิงตันว่า ทุกวันนี้เรายังยืนอยู่ที่เดิม เรายังอยู่กับความถูกต้อง แต่เรารู้สึกว่าจุดยืนของอาจารย์นั้นเคลื่อนคล้อยจากจุดเดิมไปแล้ว จะด้วยเหตุใดผมไม่ก้าวล่วง

วันหนึ่งผมได้เห็นความพยายามชี้นำเพื่อปกป้องนโยบายชั่งไข่ขายของนายกฯ อภิสิทธิ์ อาจารย์ถึงกับฉีกเอาผ้าอนามัยขึ้นมาซับเหงื่อ ทั้งยังคะยั้นคะยอให้ อ.วันชัย ศรศิริ ทำตาม จน อ.วันชัย รับมุกไม่ทัน หน้าตาพะอักพะอ่วน เมื่ออาจารย์พยายามลดการโจมตีนายกรัฐมนตรีในเรื่องคุณราตรีและคุณวีระ อาจารย์ใช้ความชาญฉลาด เชิญเรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ มาออกรายการ และถามนำให้คนสมถะเช่นเรือตรีแซมดิน เพื่อชี้นำให้เห็นว่าการติดคุกเปรย์ซอว์ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย

อาจารย์ครับ ผมขอถามอาจารย์คำถามเดียวครับว่า หากตัวอย่างที่ผมยกมาทั้งสองนั้น เป็นการกระทำของนายทักษิณ อาจารย์จะทำเช่นเดียวกันนี้หรือไม่ หวังว่าอาจารย์คงไม่ตอบผมว่า เรื่องงานและเรื่องส่วนตัวต้องแยกกันนะครับ เพราะผมอาจเข้าใจผิดว่า เรื่องของนายกฯ อภิสิทธิ์เป็นเรื่องส่วนตัวของอาจารย์ครับ

ก่อนจะจบ ผมเชื่อว่าอาจารย์คงเคยได้ยินเรื่อง ซอว์ดัสต์พุดดิ้ง (saw dust pudding) มาแล้ว แต่อยากเล่าซ้ำสักหน่อย ในระยะปลายการเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ เบนยามิน แฟรงคลิน ลงหลักปักฐานอยู่ที่ฟิลาเดลเฟีย ทำอาชีพเป็นสื่อพิมพ์หนังสืออะมาแน็คส์ ขายมียอดถึงหมื่นเล่มต่อปี เนื่องจากระยะนั้นเป็นช่วงตื่นตัวในการต่อต้านอังกฤษ บทความที่แฟรงคลินเขียน มันกระทบกระแทกใจพวกนิยมอังกฤษ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลทั้งทางการเงินและการเมือง และส่วนใหญ่เป็นสมาชิกหนังสืออะมาแน็คส์ ลงโฆษณาในอะมาแน็คส์ ถึงขนาดข่มขู่แฟรงคลินว่าจะเลิกสนับสนุนหนังสืออะมาแน็คส์ เมื่อคำขู่นี้เข้าหูแฟรงคลิน แฟรงคลินก็เชิญพวกนิยมอังกฤษมาทานอาหารที่บ้าน กระหยิ่มใจว่าแฟรงคลินจะพยายามสมานฉันท์ พวกนิยมอังกฤษไปบ้านแฟรงคลินด้วยความลิงโลดใจ แต่เมื่อไปถึงกลับพบว่าบนโต๊ะมีเพียงซอว์ดัสต์พุดดิ้งถาดหนึ่ง กับน้ำ 1 เหยือก

ซอว์ดัสต์พุดดิ้ง ผมขอเรียกไทยๆ ว่าพุดดิ้งขี้เลื่อย คือขนมขี้เลื่อย เพราะมีรสชาติเหมือนขี้เลื่อย คือฝืดและหยาบ เป็นอาหารที่คนจนๆ ต้องกินเพื่ออยู่ เป็นอาหารที่พวกนิยมอังกฤษไม่เคยรู้จัก

เมื่อเบนยามิน แฟรงคลิน เชื้อเชิญให้พวกนิยมอังกฤษนั่งแล้ว จึงตักพุดดิ้งใส่จานพร้อมน้ำให้แขกแต่ละคนที่มาในวันนั้น แล้วก็กวาดส่วนที่เหลือลงจานของตน ก้มหน้าก้มตากิน ไม่พูดจาจนเกลี้ยง เงยหน้าขึ้น จิบน้ำล้างคอ มองเห็นหน้าพิอักพิอ่วนบนใบหน้าแขก (น่าจะไม่ผิดจากใบหน้า อ.วันชัย ในวันที่อาจารย์ยื่นผ้าอนามัยให้ อ.วันชัย เช็ดเหงื่อ) และพุดดิ้งที่ไม่พร่องจากจานของแขกเหล่านั้นเลยแม้แต่นิดเดียว แฟรงคลินจึงกล่าวขึ้นว่า My friends, anyone who can succeed upon saw dust pudding and water as I can, needs no man patronage. แปลเป็นไทยก็คือ เพื่อนเอ๋ย หากใครสามารถเลี้ยงชีพด้วยพุดดิ้งขี้เลื่อยอย่างที่ฉันทำได้แล้ว ไม่ต้องการการอุปถัมภ์จากใคร

อาจารย์คงทราบว่าแฟรงคลินเป็นสื่อสารมวลชน เป็นบิดาผู้สร้างประเทศอเมริกา และเป็นคนเดียวที่ลดบทบาทของตนลงด้วยความสมถะ ไม่รับตำแหน่งใดๆ หลังจากอเมริกาได้เอกราช ด้วยความซื่อตรงต่อหน้าที่สื่อของตนต่อชาติบ้านเมือง บ้านเกิดของตน เบนยามิน แฟรงคลิน เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่าประธานาธิบดีหมายเลข 1-3 ของสหรัฐอเมริกา เขายังคงอยู่ในใจ อยู่ในธนบัตร อยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์ของอเมริกา และจะอยู่ไปอีกนานเท่านาน

เราได้แต่หวังว่าประเทศของเราจะโชคดี มีสื่อที่พร้อมจะกินซอว์ดัสต์พุดดิ้ง เพิ่มจาก ASTV อีกสักราย ด้วยความเคารพ บรรจบ เจริญชนวานิช 19 เมษายน 2554 หวังว่า อ.เจิมศักดิ์ คงจำคุณบรรจบ เจริญชนวานิช ได้นะครับ

เขาเขียนมาอบรมอาจารย์ อาจารย์ก็ไปพิจารณาดูด้วยกันว่าเขาเขียนมาด้วยความปรารถนาดีและแบบกัลยาณมิตรนะครับ นี่ครับภาพของบุคคลผู้นั้นยังอยู่ในแบงก์ดอลลาร์อยู่ตลอดครับ

เขาจึงเป็นสื่อมวลชนที่มีความยิ่งใหญ่และไม่ยอมก้มหัวให้กับพวกนายทุน พวกที่ขายชาติ พวกที่ขายเอกราช เหมือน ASTV และพวกเราอยู่ในขณะนี้ คุณมันได้ขายจิตวิญญาของความเป็นสื่อมวลชนให้กับคนขายชาติ นักการเมืองโกงบ้านกินเมืองไปแล้ว

คุณอย่ามาเสนอตัวเป็นสื่อมวลชน ตราบใดที่คุณยังไม่เปลี่ยนจุดยืนในเรื่องนี้ คุณก็ทรยศต่อจิตวิญญาณและสิ่งที่คุณทำมา ความดีที่คุณเคยทำมาทั้งหมดมันจะหมดไป ไม่เหลือในความทรงจำของพี่น้องประชาชนไทยเลยแม้แต่น้อย

อ.เจิมศักดิ์ ครับ ผมยังรักและปรารถนาดีต่ออาจารย์ วันนี้ถ้าอาจารย์กลับมายืนอยู่บนจุดยืนที่ถูกต้อง มันยังไม่สาย อาจารย์เคยเป็นคนที่พวกเราเคยให้เกียรติ ให้ความรัก ด้วยความเคารพ อาจารย์เป็นลูกเขยของท่าน อ.จิตติ ติงศภัทิย์ ซึ่งเป็นอาจารย์สอนกฎหมายผมที่เนติบัณฑิตสภา อาจารย์เป็นลูกเขยของท่านจิตติ ติงศภัทิย์ นักกฎหมายที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย เป็นองคมนตรี และเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงทางกฎหมายที่สุดคนหนึ่ง

อ.จิตติ ติงศภัทิย์ เป็นคนตรง เป็นคนสู้กับความไม่ถูกต้อง และเป็นหลักของบ้านของเมือง คุณเป็นลูกเขย และคุณก็ได้ดิบได้ดีก้าวหน้ามาจนกระทั่งทุกวันนี้ คุณควรจะสำนึกในจุดยืนที่ถูกต้องเพื่อบ้านเมือง ไม่ใช่ไปรับใช้คนชั่ว คนโกง คนเลว คนขายชาติ

เพราะฉะนั้นที่ใครมาบอกว่าเราทำไมมาทะเลาะกัน ไม่ได้ทะเลาะกัน เราพูดกันบนหลักการบ้านเมืองสำคัญกว่าความเป็นพี่ เป็นเพื่อน ถ้ากลับมายืนบนความถูกต้อง เราก็กลับมาเป็นพี่เป็นเพื่อน เป็นมิตรกันได้ ใช่มั้ยครับ แต่วันนี้อาจารย์กำลังทำตัวเป็นคนที่ใช้ไม่ได้ และคอยแซะ คอยกระแนะกระแหน คอยเสี้ยม คอยเอาเรื่องนั้น จดหมายคนโน้นคนนี้มาอ่านในรายการของอาจารย์ แล้วก็หาทางด่า หาทางเหน็บ หาทางเหน็บแนม หาทางเสี้ยม หาทางกระแซะ ผมคิดว่าพฤติกรรมของอาจารย์นั้นมันตกต่ำเกินไปครับ มันตกต่ำกว่าในอดีตที่อาจารย์เคยเป็น อาจารย์ไม่ควรจะลดตัวไปรับใช้อภิสิทธิ์ขนาดนั้นครับ

เพราะฉะนั้นวันนี้ผมจึงต้องเอาจดหมาย เหมือนอาจารย์ชอบเอาจดหมายคนโน้นมาอ่าน คนนี้มาอ่าน นี่เขาก็เขียนมาถึงอาจารย์เหมือนกัน แต่ว่าสิ่งที่อาจารย์เอาจดหมายคนอื่นไปอ่านนั้น มันเป็นความเท็จ และมันเป็นการใส่ร้ายป้ายสีเขา อาจารย์ก็ไม่ต่างจากที่เขียนบทความเมื่อวันก่อน มาหาว่าผมใส่สีตีไข่ ปั้นแต่งเรื่อง แต่ความจริงแล้วอาจารย์ต่างหากเป็นช่างทาสี และเป็นพวกใส่สีตีไข่ตัวจริง

ไปเอาคำพูดของคนอื่น ไปหยิบตรงนู้นมาตรงนี้มา ใส่สีตีไข่แล้วมาใส่ร้าย แม้กระทั่งเรื่องหาว่าสนธิไปรับเงินทักษิณ อย่างนี้มันเลวและอัปยศขนาดไหนครับ

พี่น้องครับ มีหลายเรื่องที่อยากจะคุย แต่เวลาอาจจะไม่มาก ขอเรื่องสุดท้ายแล้วกัน พี่น้องครับทำไมคนเหล่านี้ถึงเดือดร้อน ที่เราไม่เลือกเขา ที่เราไม่สนับสนุนเขา พี่น้องครับ พี่น้องตอบตรงๆ ไม่ต้องโกหกตัวเอง เลือกตั้งคราวที่แล้วปี 50 ใครเลือกพรรคประชาธิปัตย์บ้าง ยกมือ ไม่ต้องโกหกตัวเอง พวกเราเลือกประชาธิปัตย์ทั้งนั้น ผมก็เลือก เอ้า ใครบ้างที่ไม่เลือก โอเค มีบางส่วนแต่ส่วนน้อย

ส่วนใหญ่พวกเราเลือกประชาธิปัตย์ทั้งนั้น อ.เจิมศักดิ์ นายอภิสิทธิ์ และคนของประชาธิปัตย์ จงฟังแล้วสำเนียกใส่กะลาหัวเอาไว้ แต่วันนี้ประชาชนไม่เลือกคุณ เป็นสิทธิ์ของเขา ใช่มั้ย (ใช่) มันเป็นสิทธิ์ของพวกเราว่าเราจะเลือกใครหรือไม่เลือกใคร หรือไม่ลงคะแนนให้ใคร เป็นสิทธิ์ของพวกเราใช่ไหมครับพี่น้อง (ใช่)

สอง ที่วันนี้ถ้ายุบสภามีเลือกตั้ง เขาไม่เลือกคุณ คุณทำไมไม่ไปตักน้ำใส่กระโหลกชะโงกดูเงาหัวตัวเองบ้าง ว่าคุณทำความชั่ว ทำความผิดอะไร พี่น้องเขาถึงไม่สนับสนุนคุณ คุณทำไมไม่ไปตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงา คุณไปให้ อ.เจิมศักดิ์ มาด่าพวกเรา มากระแนะกระแหน มาคัดค้านการโหวตโนของพวกเรา คิดหรือว่าคุณจะได้รับการสนับสนุนจากพวกเรา ยิ่งทำให้พวกเราเกลียดขี้หน้าพวกคุณลงไปอีก

สิ่งที่พวกเราไม่เลือกคุณ เพราะ 1. คุณเหยียบหัวพวกเรา เหยียบเลือดเนื้อชีวิตของพวกเรา ทรยศต่อวีรชนของพวกเราที่ตายไป ขึ้นสู่อำนาจแล้วเนรคุณประชาชน นี่คืออันที่ 1 ประชาชนเขาถึงไม่เลือกคุณ คุณจะมาหน้าด้าน มาบังคับข่มขืนใจให้เราไปเลือกคุณ ไม่มีวันเสียแล้วครับ
2. คุณบอกว่าคุณจะพาบ้านเมืองหนีจากการล้มเหลว คุณจะต่อสู้ปกป้องดินแดน อธิปไตย ถ้าผมทำแผ่นดินให้เสียแม้แต่น้อย ผมไม่ควรอยู่ประเทศนี้ คุณก็โกหกตอแหล ข้อเรียกร้องของพวกเราคุณไม่สนใจเลย แล้วกูจะไปเลือกมึงทำไมวะ นี่เป็นสิทธิ์ของประชาชน

3. นโยบายที่คุณบอกว่าจะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ จะทำให้การเมืองคืนสู่ความสงบเรียบร้อย จะให้สิทธิเสรีภาพประชาธิปไตยกับประชาชน คุณลิดรอนคุกคามสิทธิเสรีภาพประชาชน คุณโกหกตอแหล และไม่ทำตามนโยบายคุณแม้แต่ข้อเดียว

และวันนี้ พี่น้องครับ รัฐบาลนี้มันก็ผลักดันกฎหมาย พ.ร.บ.ชุมนุมในที่สาธารณะ เข้าสภา เพื่อจะเอากฎหมายห้ามการชุมนุมมาบังคับใช้กับพวกเรา มันเลวมั้ยครับ (เลว) นี่ผมพูดไป 3 เรื่องแล้ว แล้วเรื่องที่ 4 คุณบอกว่าจะต่อสู้กับการโกง การทุจริต การคอร์รัปชั่น จะแก้ไขกฎหมายทุจริตคอร์รัปชั่น ไม่ให้มีอายุความ คุณว่าในนโยบาย คุณโกหกตอแหลหลอกลวงประชาชน คุณไปร่วมโกงกับเขาทั้งนั้นเลย เห็นหรือยังครับ

คุณบอกจะปฏิรูปการเมือง จะทำนู่นทำนี่ ปฏิรูปอะไร ปฏิรูปบ้าบออะไร มีแต่พาการเมืองลงนรกอเวจี เมื่อเป็นดังนี้ในการเลือกตั้งเป็นสิทธิ์ของประชาชน เมื่อไอ้รัฐบาลที่เราเคยเลือกเคยสนับสนุนมันไม่ทำตามนโยบายและยังทำให้ประเทศชาติเสียดินแดนเสียอธิปไตยต่อไป และยังมาหน้าด้านบอกว่ากลับมาก็จะทำตามนโยบายเดิม มันก็เป็นสิทธิ์ของเราที่มึงทำตามนโยบายเดิม กูก็ไม่เลือกมึงไงครับ

แล้วมาเดือดร้อนทำไม ให้เจิมศักดิ์ ให้นักวิชาการมา ไปโหวตโนทำไม โหวตโนแล้วกลัวคนนั้นจะมาคนนี้จะมา ไม่เกี่ยวโว้ย เราไม่เลือกคุณ แล้วเราก็ไม่เลือกอีกฝั่งหนึ่งด้วยครับพี่น้อง

เป็นสิทธิ์โดยชอบของประชาชนที่จะเลือกหรือไม่เลือกใคร และเหตุผลที่เราไม่เลือกคุณ ก็เพราะเหตุนี้ เมื่อเป็นดังนี้แล้ว เราจึงต้องลงโทษนักการเมืองและพรรคการเมืองที่ทรยศ ตระบัดสัตย์ ฉีกสัญญาประชาคม โกหกประชาชน มันเป็นเรื่องที่ประชาชนผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งจะต้องลงโทษพรรคการเมืองที่เนรคุณและตระบัดสัตย์ใช่มั้ยครับ

นี่คือการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ทุกประเทศก็เป็นอย่างนี้ ถ้าคุณอยากให้เราเลือกคุณ คุณก็ต้องทำตามข้อเรียกร้องของประชาชนสิ ยกเลิก MOU 2543 ถอนตัวจากมรดกโลก ไล่เขมรออกไป แล้วก็กวาดล้างการทุจริตคอร์รัปชั่น ทำการเมืองให้สะอาด คุณทำได้มั้ย ถ้าคุณทำได้เราถึงจะเลือกคุณ

เมื่อได้อำนาจมาแล้วคุณกล้ารับปากมั้ยว่าจะปฏิรูปบ้านเมือง ทำการเมืองให้เป็นการเมืองใหม่ที่สร้างสรรค์ ไม่ใช่การเมืองของพวกสัตว์นรก นี่คือการเมือง คือระบอบประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นเมื่อเราไม่เลือก เมื่อเราประสงค์จะใช้สิทธิ์ไม่ลงคะแนนให้ใคร จึงเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของเรา ใครจะมาว่าอะไรเราไม่ได้เลยครับ

เพราะฉะนั้นเราจึงเชิญชวนพ่อแม่พี่น้องประชาชนทั้งประเทศ ที่เคยเลือกและเห็นด้วยกับเรา มาโหวตโนไม่ลงคะแนนให้ใคร เพื่อจะได้ลงโทษนักการเมืองที่ไม่รักษาสัญญา ไม่ปฏิบัติตามนโยบายที่ให้ไว้กับประชาชน โกหกตอแหล หลอกลวง ขายชาติ โกงแผ่นดิน เรื่องอะไรเราจะไปสนับสนุนคนเหล่านี้เข้าสภา

เพราะฉะนั้นเหตุผลก็มีเท่านี้ ส่วนเมื่อโหวตโนแล้วใครจะไป ใครจะมา เลือกตั้งแล้วผลจะเป็นอย่างไร มันขึ้นอยู่กับการหาเสียงเลือกตั้งของแต่ละพรรค ไม่เกี่ยวกับเรา แต่พลังของเสียงโหวตโนเราจะนำไปกดดันให้นักการเมืองและพรรคการเมืองทุกพรรคทั่วประเทศนี้ต้องมาฟังเสียงประชาชน และปฏิรูปประเทศชาติบ้านเมืองให้เดินไปข้างหน้า ใช่มั้ยครับ เรามีเป้าหมายของเราอยู่แล้ว เมื่อเราไม่ลงคะแนนให้ใคร เรายังสามารถเอาคะแนนที่ไม่ลงให้ใครนั้นมารวมเป็นพลังเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองในทางที่เป็นประชาธิปไตย และก้าวหน้า นำไปสู่การปฏิรูปบ้านเมืองอีกต่างหาก นี่คือการทำบุญ ทำความดี ให้กับประเทศ ใช่มั้ยครับ

เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี้ไม่ต้องไปลังเล ไม่ต้องไปสงสัยอะไรครับ เดินหน้าไม่ลงคะแนนให้ใคร โหวตโนลูกเดียวครับ และไม่ต้องไปหวั่นไหว

ส่วนเรื่องของเรากับเรื่องของพรรคการเมืองใหม่ซึ่งเป็นพี่น้องกัน เป็นเรื่องที่เราจะไม่มีวันฆ่ากัน จะไม่มีวันทำลายกัน แม้ท้ายที่สุดเขาจะตัดสินใจอย่างไรก็เป็นเรื่องของพรรค แต่เราได้บอกความต้องการ เจตนารมณ์ของพี่น้องส่วนใหญ่ให้เขาทราบแล้ว เขาประชุมกันจะมีมติอย่างไร เราก็พร้อมยอมรับ คุณก็เดินหน้าของคุณไป แต่เราก็จะเดินหน้าของเราไปตามทิศทางของคนส่วนใหญ่

เราจะไม่มาโกรธกัน ไม่ทะเลาะกัน ไม่โกรธแค้นกัน แต่เชื่อแน่ว่าสิ่งที่เราได้นำเสนอนั้นจะเป็นผลดีกับพรรคการเมืองใหม่ในวันข้างหน้า เพราะการเลือกตั้งไม่ได้มีครั้งนี้ครั้งเดียว ไม่นานมันก็อาจจะต้องเลือกอีก ใช่มั้ยครับ หรือดี/ไม่ดีอาจไม่มีเลือกตั้งเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นในวันนี้ก็คือการเตรียมความพร้อม ร่วมรณรงค์กับพี่น้องประชาชนเพื่อเข้าสู่การเลือกตั้งในสเต็ปที่ 2 ในจังหวะก้าวที่ 2 นั้น จะเป็นประโยชน์กับประชาชนส่วนใหญ่มากกว่า นี่คือความคิดเห็นของพวกเราเท่านั้นเอง คือความปรารถนาดีของพวกเราที่ส่งไปบอกพี่น้องเราที่พรรคการเมืองใหม่

และเราก็หวังว่าพี่น้องในพรรคการเมืองใหม่จะฟังความเห็นของเจ้าของพรรคตัวจริง คือพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ใครที่มาอ้างว่าพรรคนี้ไม่มีเจ้าของ ถ้าหากว่ามาฟังความเห็นของแกนนำ มาฟังความเห็นของพันธมิตรฯ ก็แสดงว่าพรรคนี้ก็มีเจ้าของแบบเดียวกับพรรคที่มีนายทุนเป็นเจ้าของสิ นี่เปรียบเทียบผิดแล้วครับ ทุกพรรคต้องมีเจ้าของ แต่ว่าพรรคพวกนั้นมันเอานายทุนเป็นเจ้าของ แต่พรรคนี้เอาประชาชนเป็นเจ้าของ เมื่อประชาชนเป็นเจ้าของก็ต้องฟังเสียงประชาชนส่วนใหญ่ จึงจะเป็นพรรคของพี่น้องประชาชน

เอาล่ะครับพี่น้องครับ มีเรื่องจะพูดคุยเยอะ แต่เวลามีน้อย ยังมีเวลาพบกันอีกในวันต่อไป วันนี้ขอเพียงเท่านี้ สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น