xs
xsm
sm
md
lg

เวที"โหวตโน"คึก พธม.จุดเทียนเล่ม2 นักการเมืองพล่าน!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน/ศูนย์ข่าวขอนแก่น - พันธมิตรฯ ประเดิมเวทีรณรงค์โหวตโน สัญจรที่เมืองหมอแคน "อ.สมเกียรติ" เผยเป็นการจุดเทียนเล่ม 2 สู่การปฏิรูปการเมืองไทย ภาคประชาชนเห็นด้วยกับเจตนารมณ์โหวตโน เย้ยนักการเมืองดิ้นพล่านต้าน เหตุกระแสแรง "ปานเทพ" สอนมวย "เด็จพี่" เผยปลุกกระแสขึ้นมีแนวร่วมไม่จำกัดสีเสื้อ อัด ปชป.เคยสัญญาปฏิรูปการเมืองเมื่อปี 49 พออยู่ในอำนาจจึงเปลี่ยนไป พร้อมจวก "มาร์ค" หมดความชอบธรรมปล่อย "วีระ-ราตรี" ติดคุกเขมร 110 วัน ทั้งที่บอกเองว่าบ้านหนองจานอยู่ในแดนไทย ย้ำหากไม่ไล่เขมรพ้น 4.6 ตร.กม. ถือว่าละเว้น เล็งร้อง ป.ป.ช.หากรัฐบาลต่อ พ.ร.บ.มั่นคงฯ

บ่ายวานนี้ (17 เม.ย.) ที่โรงแรมโฆษะ จ.ขอนแก่น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.)ได้จัดเสวนาให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับโหวตโน หรือการใช้สิทธิเลือกตั้งโดยกากากบาทในช่องไม่ประสงค์เลือกใคร ถือเป็นการจัดเสวนาสัญจรครั้งแรกและมีประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมฟังการเสวนาพอสมควร ทั้งนี้การจัดเวทีรณรงค์โหวตโนลักษณะนี้จะจัดขึ้นในจังหวัดอื่นๆทั่วประเทศ
วิทยากรที่ร่วมเสวนาให้ความรู้เกี่ยวกับการโหวตโนครั้งนี้ ประกอบด้วย นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายพิภพ ธงชัย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมด้วยทีมวิทยากร นายประพันธ์ คูณมี และนายสุนันท์ ศรีจันทรา

นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ กล่าวอธิบายว่า ที่พวกเราต้องรณรงค์ให้มีการโหวตโน ในการเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้ เพราะต้องการแสดงออกถึงจุดยืนของประชาชนใน 3 ประเด็น คือ 1 ต้องการสั่งสอนบรรดานักการเมืองทุกพรรคทุกกลุ่ม ซึ่งล้วนเป็นปัญหาของชาติ เลือกตั้งจะกี่ครั้งก็นักการเมืองกลุ่มเก่าพวกนี้ก็กลับเข้ามาเหมือนเดิม การเลือกตั้งครั้งนี้ นางสดศรี สัตยธรรม ซึ่งเป็นกกต.เองก็ออกมาพูดว่าจะมีการใช้เงินกว่า 5 หมื่นล้านบาท เพื่อทุ่มทุนซื้อเสียงกลับเข้าสู่สภา

2.ต้องการการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยจากการโหวตโนของพวกเรา ขอแค่ทำให้ได้ 20-30 % ของผู้ใช้สิทธิ์ก็น่าพอใจ สั่งสอนพวกนักการเมืองรู้ว่ารูปแบบการเลือกตั้งแบบเดิมๆ ไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชนทั้งหมด และ 3.ต้องการให้การโหวตโนครั้งนี้นำไปสู่การปฏิวัติการเมืองภาคประชาชน กล้าที่จะลุกขึ้นมาสู้กับนักการเมืองชั่ว นำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่นายกมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนและ ส.ส.ในสภาต้องมาจากผู้แทนของกลุ่มวิชาชีพต่างๆ ที่หลากหลาย โดยผ่านระบบตัวแทนแต่ละสาขาอาชีพ

การปฏิรูปการเมือง ที่เป็นการเมืองใหม่ถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะขับเคลื่อนประเทศให้สามารถเดินต่อไปได้อย่างมีคุณภาพ ที่นักการเมืองเข้ามาทำงานการเมืองเพื่อประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง พวกเราต้องช่วยกันรณรงค์ให้โหวตโน มากๆ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทย ไม่เช่นนั้นแล้ว การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นอันตรายเป็นหายนะของประเทศชาติครั้งใหญ่

“การรณรงค์โหวตโนถือเป็นการจุดเทียนเล่มที่ 2 ส่องทางสว่างการเมืองไทยนำไปสู่การปฏิรูปการเมืองให้ดีขึ้น หลังจากจุดเทียนเล่มแรก พันธมิตรฯออกมาชุมนุมต่อสู้จนสามารถขับไล่ ทักษิณออกนอกแผ่นดินไทยได้สำเร็จ เทียนเล่มใหม่นี้ พวกเราต้องช่วยกันจุดต่อๆกัน ให้ส่องสว่างไสวทั่วเมือง”นายสมเกียรติกล่าว

นายประพันธ์ คูณมี กล่าวว่า การโหวตโน ถือเป็นการต่อสู้ทั้งเชิงยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของประชาชนที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการเมืองสะอาด การโหวตโนไม่ผิดกฎหมาย เป็นไปตามกฎหมายการเลือกตั้งที่ประชาชนมีสิทธิที่จะเลือกหรือไม่เลือกใครก็ได้ ในบัตรเลือกตั้งมีช่องด้านล่างขวามือ เป็นช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนชัดเจน ดังนั้น เป็นสิทธิของประชาชนที่ไปใช้สิทธิแต่ใช้สิทธิไม่ลงคะแนน รัฐธรรมนูญให้การรับรองตามระบอบประชาธิปไตย ใครที่บอกว่าโหวตโนไม่เป็นประชาธิปไตยนั้นถือว่าไม่เข้าใจระบอบประชาธิปไตยที่มากพอ แม้แต่การโนโหวตคือไม่ไปใช้สิทธิก็ไม่ผิดกฎหมาย เพียงแต่จะเสียสิทธิทางการเมืองเท่านั้น

สำหรับประเทศไทยการรณรงค์โหวตโน เคยใช้เป็นยุทธวิธีทางการเมืองมาแล้วเมื่อปี 2549 หากจำกันได้ครั้งนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทยและเป็นนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาเพราะหนีปัญหาการเมืองเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่ตัว ทักษิณ เองบอกว่าเป็นการลาพักงานชั่วคราว ปรากฏว่าทั้งพรรคประชาธิปัตย์ และ นายบรรหาร ศิลปอาชา ออกมากอดคอกันแถลงข่าวคว่ำบาตรพรรคเพื่อไทย โดยไม่ส่งคนลงรับสมัครเลือกตั้ง มีแต่ไทยรักไทยละพรรคเล็กพรรคน้อยเท่านั้นที่ส่งคนลงสมัคร

ท้ายสุดผลการเลือกตั้งครั้งนั้นมีผู้ใช้สิทธิลงคะแนนโหวตโนเกือบ 30 % หรือกว่า 9 ล้านคนเมื่อบวกกับบัตรเสียรวมได้กว่า 10 ล้านคน ไม่นับรวมกับผู้ใช้สิทธิที่ตอบโต้นักการเมืองไม่ยอมรับการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรมด้วยการฉีกบัตรเลือกตั้งคาคูหานับ 10 คน ซึ่งคนที่ฉีกบัตรเลือกตั้งนั้นต่อมาศาลตัดสินว่าไม่มีความผิด เพราะเป็นการแสดงออกทางการเมือง

“นี่คือการโหวตโนที่เคยมีมาแล้ว และหากยังจำกันได้การเลือกตั้งครั้งนั้นนำไปสู่การดำเนินคดีเอาผิดกับ 3 กรรมการเลือกตั้งและตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะในที่สุด ดังนั้นคนของพรรคประชาธิปัตย์ที่บอกว่าโหวตโนสวนทางระบอบประชาธิปไตย จึงไม่เป็นความจริงเพราะตัวเองเคยทำมาแล้ว สรุปแล้วการโหวตโนนอกจากจะสั่งสอนพวกนักการเมืองขี้ฉ้อแล้ว ยังเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าประชาชนไม่ยอมรับการเมืองที่ทุจริต ฉ้อโกง ไม่ยอมรับระบบการเมืองที่ไม่เป็นธรรมกับประชาชน”นายประพันธ์กล่าว
ขณะที่นายพิสิษฐ์ ตัวแทนเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จาก จ.กาฬสินธุ์ที่เดินทางมาร่วมเวทีเสวนาครั้งนี้ให้ความเห็นกรณีโหวตโนว่า เป็นการใช้สิทธิตามกฏหมายของประชาชนที่ใช้สิทธิเลือกตั้งแต่ไม่เลือกใครเพราะไม่พึงพอใจผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มีให้เลือก จึงอยากเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนคนไทยใช้สิทธิโหวตโนในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงเพื่อแสดงออกว่าเราไม่เห็นชอบกับการเลือกตั้งที่มีแต่นักเลือกตั้งหน้าเดิม

หากย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2475 การซื้อเสียงนักการเมืองมีมาอย่างต่อเนื่อง จะต่างแค่วัตถุสิ่งของที่นำมาแลกเสียงเท่านั้นที่เปลี่ยนไป จากเดิมให้ข้าวให้ของ ให้รองเท้า แต่ในยุคสมัยนี้เป็นเงินและเป็นจำนวนเงินที่มากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนอาจถามว่าในเมื่อพันธมิตรฯมีพรรคการเมืองใหม่แล้ว เหตุใดต้องมารณรงค์โหวตโน ก็ขออธิบายว่าเพราะไม่มีตัวเลือกที่ดีพอและต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
“เป็นภารกิจที่พวกเราต้องช่วยกันขยายแนวร่วมให้ผู้ใช้สิทธิโหวตโนกันให้มาก ในเมื่อไม่มีผู้สมัครที่มีคุณสมบัติเหมาะสมมากพอเราก็มีสิทธิที่จะไม่เลือกใคร ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ขายเสียงให้ใคร”

นายนพศณฑ์ เสฏฐรังสี หนึ่งในแนวร่วมพันธมิตรฯจาก จ.ชัยภูมิ ให้ความเห็นอีกว่าทุกวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนไทยกำลังรับเชื้อโรคร้ายอยู่ 2 ตัว เชื้อโรคร้ายตัวแรกมีมาตั้งแต่ปี 2548 เป็นเชื้อร้ายเชื้อชั่วระบอบทักษิณ พวกเราขับไล่เชื้อร้ายตัวนี้ออกไปได้แล้วระดับหนึ่งแต่เชื้อชั่วมันยังไม่ตาย ก็พยายามรักษาทำลายมันอยู่แต่เชื้อมันดื้อ ต่อมาในปี 2551 ได้มีเชื้อชั่วตัวใหม่เข้ามาอีกคือเชื้อโรคอภิสิทธิ ก่อนหน้านี้พวกเราคิดว่าเชื้ออภิสิทธิจะเป็นเชื้อต้านโรคทักษิณ แต่ที่ไหนได้กลับเป็นเชื้อชั่วไม่ต่างกัน
ที่น่ากลัวมากปกว่านั้นคือเชื้อชั่ว 2 ตัวนี้กำลังพัฒนาเติบโตและมีแนวโน้มว่าจะผสมพันธุ์รวมตัวเพื่อแพร่เชื้อทำลายคนไทยและประเทศไทยในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งจะเป็นหายนะของแผ่นดิน ดังนั้น พวกเราต้องมีวิวัฒนาการในการป้องกันไม่ให้เชื้อชั่วนี้เข้าสู่ร่างกายได้อีกด้วยการใช้สิทธิโหวตโนกันให้มากๆในสมัยเลือกตั้งครั้งใหม่ที่กำลังจะมาถึง

***ซัดนักการเมืองดิ้นพล่านต้าน

นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ออกมาระบุถึง การรณรงค์กาในช่องไม่ลงคะแนน หรือโหวตโน ของภาคประชาชน ว่าจะเป็นการทำให้ประเทศถอยหลังเข้าคลอง และไม่เป็นประชาธิปไตย ว่า เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า นายพร้อมพงศ์ ไม่มีความเข้าใจในเรื่องของประชาธิปไตย เพราะสิทธิการกาในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน ถูกออกแบบไว้ในบัตรเลือกตั้งอยู่แล้ว ประชาชนจึงมีสิทธิในการไม่เลือกใคร เป็นสิทธิอันชอบธรรมตามกฎหมาย เพราะนักการเมืองไม่เป็นที่พึ่งหวังของประชาชน ทุกฝ่ายมีปัญหาเรื่องทุจริต คอร์รัปชัน ขั้วการเมืองหนึ่งสนับสนุนการเผาบ้านเผาเมือง ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่ง ที่มีอำนาจในฝ่ายบริหารกลับปล่อยให้มีการเผา และสนับสนุนการประกันคนเผา ทั้งยังปล่อยให้มีขบวนการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้นประชาชนก็มีสิทธิ์เพื่อแสดงให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและระบบของนักการเมือง

" ที่หลายฝ่ายพยายามพูดว่า กระแสโหวตโน นั้น เอื้อประโยชน์แก่พรรคเพื่อไทย บัดนี้แสดงให้เห็นแล้วว่า แท้ที่จริงแล้วนักการเมืองในระบบ ไม่ว่าจะอยู่ขั้วไหน ต่างหวั่นไหวและสั่นคลอนต่อกระแสดังกล่าวของภาคประชาชน เนื่องจากเห็นว่า กระแสโหวตโน ที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทย โดยไม่จำกัดเฉพาะสีใด สีหนึ่ง ไม่เฉพาะพันธมิตรฯ หรือกลุ่มคนเสื้อแดง หรือกลุ่มคนชั้นกลางที่ไม่ได้ออกมาชุมนุม แต่เป็นกระแสของคนทั่วไป ที่รู้สึกเบื่อหน่ายการเมือง และเห็นว่าระบบการเมืองในปัจจุบันไม่ใชคำตอบในการแก้ไขปัญหาวิกฤติของชาติได้" นายปานเทพ กล่าว

โฆษกพันธมิตรฯกล่าวอีกว่า ขณะนี้การโหวตโนถูกต่อต้านจากทุกขั้วการเมือง ที่ผ่านมามีประชาชนออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งน้อยมาก จากผู้มีสิทธิ์ 45 ล้านคน 15-20 ล้านคนไม่ออกมาใช้สิทธิ์ เพราะมีประชาชนส่วนหนึ่งที่เห็นว่าการเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบ และเป็นปัญหาอยู่แล้ว ดังนั้นหากประชาชนสนับสนุนการโหวตโนมากขึ้น จะเป็นการแสดงออกถึงอิสระทางความคิด ในการปลดแอกจากนักการเมืองทุกขั้วที่ไม่เป็นความหวัง และเรียกร้องให้นักการเมืองเดินหน้าในการปฏิรูปการเมือง เหมือนกับสัญญาเมื่อปี 49 ที่ทุกพรรคการเมืองสัญญาว่า จะเดินหน้าในการปฏิรูปการเมือง แต่มาถึงวันนี้ทุกคนเพิกเฉย สนใจแต่อำนาจ ไม่มีผู้ใดจริงใจแม้แต่น้อย

" นักการเมืองหลายคนพยายามแสวงหาแนวทางในการต่อต้าน พยายามบอกว่าไม่เป็นประชาธิปไตย แต่นักการเมืองเหล่านี้ไม่เคยสำนึกว่า ตัวเองเป็นปัญหาของแผ่นดิน ตราบใดที่การเมืองยังไม่มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าเลือกตั้งกี่ครั้งก็จะได้คำตอบเหมือนเดิม ที่ตำแหน่งทางการเมืองเหมือนสัมปทานโดยดูจากจำนวน ส.ส. จึงมีการซื้อสิทธิ์ ขายเสียง เข้ามา แล้วมาทุจริตคอร์รัปชัน ดังนั้นวิกฤติของชาติจึงไม่มีทางได้รับการแก้ไข จนกว่าจะมีการปฏิรูปการเมือง ที่ท้ายที่สุดหากเราได้นักการเมืองที่ดีขึ้น กระบวนการตรวจสอบมีประสิทธิภาพมากขึ้น การมีส่วนร่วมและการตัดสินใจของประชาชนมีความหลายหลากมากขึ้น การชุมนุมของประชาชนก็จะลดลงไปโดยปริยาย บ้านเมืองก็จะสงบสุขมากขึ้น แต่หากนักการเมืองยังยืนยันว่าเดินหน้าเพื่อรักษาอำนาจตัวเอง บ้านเมืองก็จะขัดแย้งไม่เลิก" โฆษกพันธมิตรฯ กล่าว

ด้านพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลอดระยะเวลาการชุมนุมที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่า ประชาชนที่มาชุมนุมที่นี่ ไม่ได้มาทำเพื่อตัวเองหรือหมู่คณะ แต่มาทำเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริง ในการมาลำบากลำบน เป็นวันที่ 83 แล้ว เพราะในฐานะที่เป็นประชาชนธรรมดาไม่สามารถทำสิ่งใดได้มากไปกว่านี้ ในการแก้วิกฤตของประเทศ แต่ติดปัญหาที่รัฐบาลซึ่งมาจากพรรคการเมืองไม่ได้ให้ความสนใจต่อทั้งการเสียดินแดนหรือปัญหาปากท้องประชาชน มีความสนใจเพียงประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องเท่านั้น ดังนั้นเมื่อนายกฯประกาศยุบสภา จึงเห็นว่าควรชักชวนประชาชนให้สั่งสอนนักการเมือง โดยการกาในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน หรือโหวตโน แม้ว่าจะมีหลายฝ่ายออกมาบอกว่าไม่ดี แต่เราเห็นว่าสิ่งดีเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

" เรื่องที่โจมตีเราว่า ไม่สนับสนุนประชาธิปไตยนั้นควรเลิกพูดได้แล้ว เพราะประชาธิปไตยที่แท้จริงควรให้สิทธิกับประชาชนในการตัดสินใจว่า จะลงคะแนนอย่างไรก็ได้ เพียงแต่ไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งก็เป็นการสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยแล้ว โดยไม่ได้คาดหวังว่าจะได้คะแนนโหวตโนเท่าไร เพียงแต่พยายามรณรงค์อย่างเต็มที่เท่านั้น" พล.ต.จำลอง กล่าว

** อัด "มาร์ค"ปล่อย"วีระ-ราตรี"ติดคุก110วัน

นายปานเทพ ยังกล่าวถึงกรณีการช่วยเหลือ นายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ที่ยังถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำเปรยซอร์ ประเทศกัมพูชา ว่า ขณะนี้ทั้งสองคนถูกคุมขังมาเป็นเวลา 110 วันแล้ว ขณะที่รัฐบาลไม่แสดงปฏิกิริยาใดเพิ่มเติม และไม่มีการตอบสนอง หรือไม่พูดถึงแล้ว ถือเป็นการไร้ความรับผิดชอบของรัฐบาล เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นผู้กล่าวในการประชุมร่วมรัฐสภา ถึงมาตรการ การงดเว้นการจัดเก็บภาษีในพื้นที่บริเวณบ้านหนองจาน จ.สระแก้ว ซึ่งเป็นบริเวณที่ เป็นการแสดงสิทธิอธิปไตย และแสดงให้เห็นว่า นายกฯ มีความตระหนักดีว่าพื้นที่ตรงนั้น เป็นแผ่นดินไทย

ดังนั้นการปล่อยให้กัมพูชาใช้กองกำลังติดอาวุธมาจับตัวคนไทยไปขึ้นศาลกัมพูชา และพิพากษาจนต้องอยู่ในเรือนจำมาเป็นเวลา 110 วันนั้น รัฐบาลจึงต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่นิ่งเฉย เบี่ยงเบนไปทำเป็นสนใจประเด็นอื่น

**ไม่ไล่เขมรพ้น4.6ตร.กม.ถือว่าละเว้น

นอกจากนี้ เรื่องพื้นที่ 4.6 ตร.กม.รอบปราสาทเขาพระวิหาร ที่นายกฯได้ประกาศเป็นพื้นที่แผ่นดินไทยทั้งหมด และเป็นเหตุไม่ให้ทหารอินโดนีเซียเข้ามาสังเกตการณ์ แต่รัฐบาลกลับปล่อยให้ทหารกัมพูชา และมีการชุมชน ถนน วัด ในพื้นที่โดยไม่มีการรื้อถอนแต่ประการใด เท่ากับว่านายกฯ เข้าข่ายการละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ ในการดำเนินการแก้ไขการทวงคืนแผ่นดินให้ได้ผลในทางปฏิบัติ

"รัฐบาลนี้หมดความชอบธรรมที่จะไปแก้ไขหรือดำเนินการปกป้องดินแดนอธิปไตยของชาติ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาในทั้ง 2 จุดได้ และไม่สามารถช่วยเหลือ นายวีระ และน.ส.ราตรี ตลอดระยะเวลา 110 วันได้ แม้ว่าจะโน้มน้าวให้ครอบครัวของทั้งคู่ ขอพระราชทานอภัยโทษก็ตาม ก็ช่วยเหลือไม่ได้ เช่นเกียวกับพื้นที่เขาพระวิหาร ที่ไม่สามารถทวงคืนมาได้เช่นเดียวกัน" นายปานเทพกล่าว

**เล็งร้องป.ป.ช.หากต่อพ.ร.บ.มั่นคงฯ

โฆษกพันธมิตรฯ ยังได้กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. เตรียมเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติต่ออายุการประกาศใช้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 อีก 30 วัน โดยคาดว่าจะมีผลสิ้นสุดในวันที่ 24 พ.ค.นี้ ว่า เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า ผบ.ตร.ไม่เข้าใจในเรื่องของกฎหมายความมั่นคงแม้แต่น้อย เ พราะปัจจุบันนี้ไม่มีภัยในเรื่องความมั่นคง การชุมนุมของพันธมิตรฯ ที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีเหตุวุ่นวาย ระเบิด หรือการปะทะ ก่อให้เกิดความเสียหายแต่ประการใด ตลอดระยะเวลา 83 วัน จึงไม่มีเหตุผลในการประกาศต่ออายุ พ.ร.บ.ความมั่นคง แสดงให้เห็นว่ามีเจตนาที่จะลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
"ผบ.ตร.ต้องทบทวนในเรื่องนี้ หากดำเนินการต่อไป อาจมีความจำเป็นต้องฟ้องร้องเอาผิดต่อ ป.ป.ช. ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เจตนากลั่นแกล้งผู้ชุมนุม โดยละเมิดสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ" นายปานเทพ กล่าว

** ยันต่อพ.ร.บ.มั่นคงถึง24 พ.ค.

ทั้งนี้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย กล่าวถึงกรณีประกาศขยายพ.ร.บ.ความมั่นคง ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ว่า ที่มีการประชุมประเมินสถานการณ์กันตอนแรกนั้น จะไม่มีการต่ออายุ แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ 2-3 วันที่ผ่านมานั้น ดูแล้วเห็นว่าคงจะต้องต่ออายุ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ต่อไป โดยจะมีการประชุมศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.)ก่อน และในวันนี้ ( 18 เม.ย. ) จะเสนอรายงานต่อ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอณาจักร ( กอ.รมน.) เพื่อจะเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ( ครม.) ในวันพุธนี้ (20 เม.ย.) ซึ่งคาดว่าจะต่อไปอีก 30 วัน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ถึงมีการต่อ พ.ร.บ.ความมั่นคง แต่ก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาได้ เพราะยังมีประชาชนปักหลักชุมนุมอยู่อย่างต่อเนื่อง พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า ถ้าเขาชุมนุมแล้ว กระทำความผิด เราก็ต้องเอากำลังเข้าไประงับยับยั้ง ขอเรียนว่าที่เรียบร้อยมาในระดับหนึ่งนั้น เพราะว่ามีกำลังพลที่พร้อมอยู่ เมื่อถามว่าจากสถานการณ์ในลักษณะนี้ คงไม่ต้องต่อ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ไปจนหมดรัฐบาลชุดนี้หรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า พอเข้าสู่การเลือกตั้งแล้ว ก็อาจมีตัวกฎหมายเข้ามาช่วย เวลาหาเสียงแล้วมีปัญหาใส่ความกับฝ่ายตรงข้าม ก็ต้องมีกฎหมายมากขึ้น ที่สอดคล้องกว่านี้ ก็จะทำให้ความจำเป็นในการต่อ พ.ร.บ.ความมั่นคงน้อยลง

ส่วนเรื่องของการประกาศพื้นที่ และเวลา ของพ.ร.บ.ความมั่นคง จะเป็นการทำลายบรรยากาศการหาเสียงในช่วงของการเลือกตั้งหรือไม่นั้น เท่าที่มีการหารือ ไม่มีอะไรขัดกัน ซึ่งจากการประมาณสถาการณ์แล้วนั้น พื้นที่มีจะมีการต่ออายุ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ จะเป็นพื้นที่เดิมทั้งหมด

" พอถึงเวลาที่สถานการณ์ได้คลี่คลายลงแล้ว ต่อพ.ร.บ.ความมั่นคงในรอบนี้ไปจนถึงวันที่ 24 พ.ค. จนยุบสภาแล้ว ตนว่าทุกคนก็คงกลับบ้านไปหาเสียงแล้วนั้น สถานการณ์น่าจะเบาลง ตำรวจเองก็กลับไปดูแลพื้นที่ของตัวเอง" ผบ.ตร. กล่าว

เมื่อถามว่า หมายความว่าหลังจากวันที่ 24 พ.ค. อาจจะไม่จำเป็นต้องต่อ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ อีกหรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า คาดว่าจะเป็นอย่างนั้น จริงๆแล้วคิดว่าจะหยุดคราวนี้ แต่ดูสถานการณ์แล้ว ยังมีความจำเป็นที่จะต้องดูแลต่อ ขอยืนยันว่าที่ไม่เรียบร้อยนั้น เพราะไม่ใช่ว่าปล่อยไปเฉยๆ

เมื่อถามว่า ที่ผ่านมาสถานการณ์ของการชุมนุมก็ไม่ได้มีการกระทำอะไรที่เป็นการผิดกฎหมาย ผบ.ตร. กล่าวว่า ก็มีทุกครั้ง จับซีดีหมิ่นสถาบันฯ ตำรวจก็มีการดำเนินการตลอด แต่เพราะบางครั้งเจ้าหน้าที่จำเป็นที่จะต้องเข้าไปรวบรวมพยานหลักฐานหรือเก็บหลักฐานนั้น จึงจำเป็นต้องมีการต่อ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ บางครั้งการที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่จึงทำให้ผู้ชุมนุมมีความเกรงอยู่บ้าง

ส่วนกรณีของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่มีการชุมนุมยืดเยื้อ และหลายครั้งที่ตำรวจจะขอคืนพื้นที่ แต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้นั้น พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า ถ้าเราเห็นว่าไม่ได้มีอะไรร้ายแรง ก็ไม่จำเป็น เพราะถ้าเราเข้าไปสลายการชุมนุม หรือยึดเวที จนทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท ก็จะไม่เกิดประโยชน์ จะเป็นโทษเสียมากกว่า ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการกระทำสองมาตรฐาน เพราะมีการต้องคดีไปทุกคน แต่ยืนยันว่าไม่ได้มีการปล่อยปะอย่างแน่นอน เรียกว่าควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในภาวะที่จำกัด

***ปชป.แหยงโหวตโนสะเทือนเลือกตั้ง

วานนี้ (17 เม.ย.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯ มีแนวทางให้พรรคการเมืองใหม่ รณรงค์ประชาชนใช้สิทธิเพื่อไม่เลือกพรรคการเมืองใด หรือโหวตโน ว่าเข้าใจเจตนาที่ต้องการเห็นบ้านเมืองดีขึ้น และปัญหาการเมืองที่สร้างความขัดแย้งยุติลง แต่การไม่ใช้สิทธิ คงไม่สามารถตอบโจทย์ให้กับบ้านเมืองได้ ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ควรมีส่วนร่วม ส่วนกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯ ต้องการปฏิรูปการเมือง อาจทำให้เสียโอกาสการมีส่วนร่วมกับการปฏิรูป ซึ่งอาจส่งผลต่อการเลือกตั้งได้ เพราะการเลือกตั้งที่จะถึงระหว่างพรรคการเมืองหลักคะแนนแตกต่างกันไม่มากนักประมาณสิบที่นั่งหรือแสนกว่าเสียง เพราะฉะนั้น การตัดสินใจของภาคประชาชนมีส่วนในการกำหนดทิศทางบ้านเมือง

สำหรับกรณีที่ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ฐานะประธานที่ปรึกษาชาติไทยพัฒนา มีความหวังที่จะเห็นบ้านเมืองกลับสู่ความสงบ ที่อยากเห็นพรรคใหญ่สองพรรคร่วมมือกัน พรรคประชาธิปัตย์มองว่าเป็นไปได้ยาก เพราะเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าจุดยืนของสองพรรคแตกต่างกันและการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งที่ประชาชนเลือกระหว่างประเทศเดินหน้าหรือกลับไปเริ่มต้นใหม่

“พรรคยืนยันแก้ไขได้ต้องอาศัยแนวทางเดินหน้า ด้วยนโยบายของพรรค เพื่อทำงานสังคม ไม่ใช่เพื่อคนคนเดียว ตราบที่ความชัดเจนของอีกพรรคยังไม่แยกออกจากความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง และแก้ไขปัญหาให้ พ.ต.ท.ทักษิณคงยากที่จะร่วมงานกัน” นพ.บุรณัชย์กล่าวและว่า กำหนดการเลือกตั้งที่นายกฯ ประกาศ ทูลเกล้าฯ พระราชทานยุบสภาสัปดาห์แรกของเดือน พ.ค. ขึ้นอยู่กับกฎหมายลูก อยากเรียกร้อง ส.ว.สรรหา พิจารณาด้วยความรอบคอบ.
กำลังโหลดความคิดเห็น