ASTVผู้จัดการรายวัน - ผู้ว่าการ ธปท.ระบุ ภายในกลางเดือนม.ค.นี้จะหารือทางคลังพร้อมนำผลเข้าที่ประชุมบอร์ดกองทุนฟื้นฟูฯ ทันที เพื่อกำหนดเป็นแนวนโยบายต่อไป ด้านผู้บริหารกองทุนฟื้นฟู เผยต้องสร้างความชัดเจนในการตีราคาสินทรัพย์ แนะใช้ราคาตลาดดีกว่าราคาตามมูลค่าตามบัญชี มั่นใจลดหนี้ให้ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาทได้ ส่วนการโอนสินทรัพย์ไปคลังไม่กระทบแผนจับ BAM เข้าตลาดหุ้น
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ในช่วงกลางเดือนม.ค.นี้ ธปท.กับกระทรวงการคลังจะมีการหารือร่วมกันถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่เหลืออยู่ 1.14 ล้านล้านบาท และจะนำผลการประชุมเข้าที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูฯ ต่อไป เพื่อกำหนดเป็นแนวทางในการโอนทรัพย์สินให้แก่กระทรวงการคลัง
ด้านนางพวงทิพย์ ปรมาพจน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารกองทุน ธปท.กล่าวว่า กองทุนฟื้นฟูฯ พร้อมที่จะดำเนินตามนโยบายของฝ่ายบริหารที่ตกลงกัน โดยหากจะมีการโอนทรัพย์สินของกองทุนฟื้นฟูฯ ที่มีอยู่ทั้งหมดให้ไป และคาดว่าเมื่อมีการโอนทรัพย์สินเกิดขึ้นจะส่งผลให้มูลหนี้ลดต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท ถือเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระภาครัฐได้ส่วนหนึ่ง
“หากมีนโยบายโอนสินทรัพย์ให้แก่กระทรวงการคลังก็ต้องมีความชัดเจนในหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นประเภทสินทรัพย์ที่ต้องโอนไป การตีราคาสินทรัพย์ ซึ่งในฐานะคนขายไม่อยากตีราคาสินทรัพย์ตามงบดุลหรือมูลค่าทางบัญชี แต่ควรเป็นราคาตลาดมากกว่า เพราะสินทรัพย์ที่เรามีอยู่ทั้งที่ดิน หุ้นของธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด(BAM) บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) และบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย จำกัด ยิ่งผ่านเวลานานไปราคาอาจจะสูงขึ้นกว่าในขณะนี้”
อย่างไรก็ตาม กองทุนฟื้นฟูฯ มองว่า เมื่อมีการโอนทรัพย์สินไปแล้ว หน่วยงานในสังกัดภายใต้กระทรวงการคลังอย่างคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.)จะทำหน้าที่บริหารสินทรัพย์ดังกล่าวเองโดยไม่จำเป็นให้กองทุนฟื้นฟูฯ เข้าไปช่วยบริหาร ขณะที่กองทุนฟื้นฟูฯ คงไม่ได้ปิดตัวเองทันที เพราะในพ.ร.บ.ธปท.ระบุไว้ชัดเจนว่าหากยังไม่ร่างกฎหมาย เพื่อจัดตั้งหน่วยงานใดขึ้นมาทำหน้าที่ช่วยเหลือและดูแลสถาบันการเงินในระบบ กองทุนฟื้นฟูฯก็ต้องทำหน้าที่ต่อไปจนถึงเดือนส.ค.ปี 55 จึงดำเนินการเพื่อเลิกกิจการ
ต่อข้อซักถามที่ว่า การโอนทรัพย์สินให้แก่คลังครั้งนี้จะกระทบแผนการนำบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือไม่นั้น นางพวงทิพย์ กล่าวว่า แผนบริหารจัดการสินทรัพย์ทั้งหมดยังสามารถดำเนินการต่อไปได้ และการนำบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทแห่งนี้ด้วย.
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ในช่วงกลางเดือนม.ค.นี้ ธปท.กับกระทรวงการคลังจะมีการหารือร่วมกันถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่เหลืออยู่ 1.14 ล้านล้านบาท และจะนำผลการประชุมเข้าที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูฯ ต่อไป เพื่อกำหนดเป็นแนวทางในการโอนทรัพย์สินให้แก่กระทรวงการคลัง
ด้านนางพวงทิพย์ ปรมาพจน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารกองทุน ธปท.กล่าวว่า กองทุนฟื้นฟูฯ พร้อมที่จะดำเนินตามนโยบายของฝ่ายบริหารที่ตกลงกัน โดยหากจะมีการโอนทรัพย์สินของกองทุนฟื้นฟูฯ ที่มีอยู่ทั้งหมดให้ไป และคาดว่าเมื่อมีการโอนทรัพย์สินเกิดขึ้นจะส่งผลให้มูลหนี้ลดต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท ถือเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระภาครัฐได้ส่วนหนึ่ง
“หากมีนโยบายโอนสินทรัพย์ให้แก่กระทรวงการคลังก็ต้องมีความชัดเจนในหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นประเภทสินทรัพย์ที่ต้องโอนไป การตีราคาสินทรัพย์ ซึ่งในฐานะคนขายไม่อยากตีราคาสินทรัพย์ตามงบดุลหรือมูลค่าทางบัญชี แต่ควรเป็นราคาตลาดมากกว่า เพราะสินทรัพย์ที่เรามีอยู่ทั้งที่ดิน หุ้นของธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด(BAM) บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) และบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย จำกัด ยิ่งผ่านเวลานานไปราคาอาจจะสูงขึ้นกว่าในขณะนี้”
อย่างไรก็ตาม กองทุนฟื้นฟูฯ มองว่า เมื่อมีการโอนทรัพย์สินไปแล้ว หน่วยงานในสังกัดภายใต้กระทรวงการคลังอย่างคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.)จะทำหน้าที่บริหารสินทรัพย์ดังกล่าวเองโดยไม่จำเป็นให้กองทุนฟื้นฟูฯ เข้าไปช่วยบริหาร ขณะที่กองทุนฟื้นฟูฯ คงไม่ได้ปิดตัวเองทันที เพราะในพ.ร.บ.ธปท.ระบุไว้ชัดเจนว่าหากยังไม่ร่างกฎหมาย เพื่อจัดตั้งหน่วยงานใดขึ้นมาทำหน้าที่ช่วยเหลือและดูแลสถาบันการเงินในระบบ กองทุนฟื้นฟูฯก็ต้องทำหน้าที่ต่อไปจนถึงเดือนส.ค.ปี 55 จึงดำเนินการเพื่อเลิกกิจการ
ต่อข้อซักถามที่ว่า การโอนทรัพย์สินให้แก่คลังครั้งนี้จะกระทบแผนการนำบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือไม่นั้น นางพวงทิพย์ กล่าวว่า แผนบริหารจัดการสินทรัพย์ทั้งหมดยังสามารถดำเนินการต่อไปได้ และการนำบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทแห่งนี้ด้วย.
