ASTVผู้จัดการรายวัน -ช่วย 7 คนไทยไม่คืบ "มาร์ค" ตะแบงไม่รู้ "พนิช"ไปสระแก้ว อ้างบอกแค่จะไปปราจีนบุรี ชี้คลิปถูกตัดต่อคำพูด ตอบไม่ได้ทั้ง 7 คนจะถูกปล่อยตัวเมื่อไร "กษิต" ขีดเส้น 1-2 วัน กดดันเขมรตัดสิน 7 คนไทย เจ้าของที่ดินในหลักเขต 46-48 ย้ำพนิชถูกจับในเขตแดนไทยก่อนพาไปยัดข้อหาในแดนตัวเอง
เมื่อเวลา 14.40 น. วานนี้ (4 ม.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงความคืบหน้าการช่วยเหลือนายพนิช วิกฤตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมคนไทยรวม 7 คน หลังถูกทหารกัมพูชาจับกุมไปว่า นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ รายงานว่าภารกิจของรัฐบาลในขณะนี้ คือ การให้ความช่วยเหลือทั้ง 7 คนกลับมาโดยเร็วที่สุด โดยการทำงานจะใช้ลักษณะของการประสานงานเกือบทุกช่องทาง เพราะต้องการให้เรื่องนี้ได้ข้อยุติโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดการบานปลาย และเห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในชายแดนนั้น ถ้าสามารถปฏิบัติกันในลักษณะซึ่งไม่เข้าไปยืดเยื้ออยู่ในกระบวนการยุติธรรมก็จะดีที่สุด
ส่วนการดูแลเรื่องความเป็นอยู่ของคนเหล่านี้ เมื่อวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา ทางญาติของทั้ง 7 คน ก็ได้เข้าไปเยี่ยม และจะต้องมีการดูแลเรื่องความเป็นอยู่อย่างต่อเนื่อง
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเดินทางของทั้ง 7 คนในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ทราบมาก่อนล่วงหน้า หรือมีการสั่งนายพนิช ด้วยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนเคยแถลงข่าวไปเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2553 ถ้าจำได้ ตนได้บอกว่า ตนได้มอบหมายให้นายพนิช ให้ประสานงานกับกลุ่มคน ซึ่งมีความข้องใจเกี่ยวกับเรื่องปัญหาของไทยและกัมพูชา เพื่อที่จะลดความขัดแย้งในสังคมไทย ซึ่งมันอาจจะลุกลามไปสู่การกระทบต่อทั้งสองประเทศ และประเด็นที่เกี่ยวกับการลงพื้นที่ เป็นเรื่องที่นายพนิช เคยรายงานให้ตนทราบว่ามีประชาชนที่ประสบกับความเดือดร้อนในเรื่องของที่ทำกินกับการอยู่ที่บริเวณชายแดน ฉะนั้น ก็จะไปลงพื้นที่เพื่อดูแลในเรื่องนี้ ซึ่งวันที่ไปก็ยังบอกกับตนว่าจะไป จ.ปราจีนบุรี ไม่ใช่ จ.สระแก้ว และก็สอบถามตนว่า การประสานงานกับเจ้าหน้าที่จะทำอย่างไร ตนก็บอกว่าเมื่อเดินทางไปถึงจุดที่ควรที่จะต้องประสานกับเจ้าหน้าที่ ก็ขอให้แจ้งกลับมา แต่ในข้อเท็จจริงก็บอกว่า เลขาฯ ของนายพนิช โทรเข้ามาติดต่อกับเลขาฯ ตน เมื่อตอนที่ถูกจับกุมแล้ว
เมื่อถามว่า ในการลงพื้นที่จริง ดูเหมือนว่าไม่ได้มีทหารไปด้วย ได้มีการตั้งข้อสังเกตหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า บริเวณดังกล่าวเป็นบริเวณ ซึ่งขณะนี้ตำรวจตะเวนชายแดน (ตชด.) เป็นผู้ที่รับผิดชอบ และปัญหาตรงนี้ต้องไปตรวจสอบกันว่า ด่านของตชด.ตามถนน เกิดอะไรขึ้น
***ชี้คลิป4 นาทีถูกตัดต่อเหลือนาทีกว่า
เมื่อถามว่าในคลิปที่เผยแพร่ออกมา มีการระบุว่า แม้แต่ทางตชด.ยังไม่กล้าเข้าไป แต่ทางคณะกลับเข้าไป จะเหมือนเป็นการท้าทายหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เหตุการณ์เคยเกิดขึ้นที่มีการถูกจับกุม และทางตชด.ได้เข้าไปประสาน
เมื่อถามว่านายกฯ ได้ดูคลิปแล้วหรือยัง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ได้ดูแล้ว ขอเรียนว่าคลิปนี้มีความยาว 4 นาทีกว่า แต่มีคนที่ไปโพสต์ ขึ้นในลักษณะตัดเหลือเพียงนาทีกว่า ทำให้เกิดความสับสน จริงๆ แล้ว สิ้นสุดคลิปสั้น นายพนิชได้พูดต่ออีกและไม่เหมือนกับตอนที่พูดตอนแรก คือ นายพนิช มีความเชื่อว่ายังอยู่ในเขตไทย และกำลังจะไปที่หลักหมุดที่ 46 ฉะนั้นไม่ควรจะไปดูเฉพาะนาทีกว่า และทำให้เกิดความเข้าใจว่านายพนิช กำลังบอกว่ามากัมพูชาโดยที่นายกฯรู้อะไรอย่างนั้น ไม่ใช่ ข้อเท็จจริง คือ ตนรู้ว่านายพนิช จะลงพื้นที่ เป็นเรื่องปัญหาชายแดน ปัญหาที่ทำกิน ซึ่งมีผลกระทบมา แต่การประสานเจ้าหน้าที่ ไม่ได้เกิดขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า จากการเผยแพร่คลิปนี้ สร้างปัญหาอะไรให้เกิดขึ้นกับการช่วยเหลือคนไทยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ยังไม่มีประเด็นอะไรบ่งบอกว่าจะเป็นปัญหา แต่ได้ให้ทุกฝ่ายติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะบังเอิญไม่ใช่เรื่องนอกเหนือไปจากที่นายกษิต เดินทางไปพบรัฐมนตรีต่างประเทศของกัมพูชา ดังนั้น ตรงนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ เราไม่ได้ปิดบังอะไร ในกรณีที่นายพนิช ไปประสานกับกลุ่มที่เคลื่อนไหวในเรื่องนี้ และจะไปลงพื้นที่บริเวณชายแดน
***เผยกัมพูชามีหลักฐานวิดีโอ 20 นาที
เมื่อถามต่อว่า ดูจะหน่อมแน้มไปหน่อยหรือเปล่าที่อยู่ๆ เราจะเข้าไปโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นเขตแดนของเรา หรือของกัมพูชา นายกฯ กล่าวว่า บริเวณนี้การพูดถึงเรื่องเขตแดนเวลาจะอยู่ในพื้นที่ จะยากลำบากพอสมควร สิ่งที่เราทำเพื่อให้เห็นว่าช่วงที่ผ่านมาคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2553 และตลอดทั้งวัน เราได้พยายามให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ประสานงาน แก้ปัญหาในระดับท้องถิ่น แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
ต่อมาบ่ายวันที่ 30 ธ.ค. นายกษิตได้เดินทางไปกัมพูชา และได้รับสิ่งที่กัมพูชาบอกว่า เป็นหลักฐานคือ วิดีโอทั้งหลาย ซึ่งไม่ใช่แค่ 1 นาที หรือ 4 นาที แต่ถึง 20 นาที และกัมพูชาบอกเป็นการแสดงให้เห็นว่า มีการรุกล้ำเข้าไป ซึ่งเราได้นำวิดีโอนั้นกลับมา และส่งเจ้าหน้าที่ไปในวันที่ 31 ธ.ค. โดยเข้าไปในพื้นที่ ตามที่ปรากฏภาพในวิดีโอ เพื่อหาพิกัด ทำงานกันต่อเนื่องจนกระทั้งเคาต์ดาวน์ เพราะตอนตีหนึ่ง ตนยังคุยโทรศัพท์อยู่ และในวันที่ 1 ม.ค.2554 ก็เอาข้อมูลที่ได้มาดูพิกัด บวกกับแผนที่ เพื่อลงจุดให้ได้ แต่แผนที่ที่มีอยู่ขาดรายละเอียดพอสมควร ทำให้เกิดปัญหาการลงจุดในพื้นที่
***ยังไม่รู้คดีจะขึ้นสู่ศาลเมื่อไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า กระบวนการศาลของกัมพูชา เราสามารถรู้ได้หรือไม่ว่า จะใช้เวลานานแค่ไหน และเราสามารถเข้าไปประกันตัวได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทั้ง 7 คน จะมีทีมทนายที่ช่วยดูเรื่องนี้อยู่ โดยสถานทูตเป็นผู้จัดหาทนายให้
เมื่อถามต่อว่า แสดงว่าตอนนี้ตอบไม่ได้ว่า กระบวนการศาลจะใช้เวลาเท่าไร และจะเข้าไปประกันตัวได้เมื่อไร นายกฯ กล่าวว่า เราก็ติดตามตลอด โดยประสานทุกช่องทาง และขอให้ทางเจ้าหน้าที่ได้ทำงานอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ เข้าใจว่าทุกคนมีความเป็นห่วงเป็นใย และมีความเห็น แต่การพูดในแต่ละครั้ง แต่ละเรื่อง บางทีอาจส่งผลได้ เพราะถูกตีความผิด ฉะนั้นอยากให้ช่วยกันระมัดระวัง
ส่วนที่มีรายงานแจ้งว่า คนไทยทั้ง 7 คน จะถูกนำตัวขึ้นศาลประมาณกลางเดือนม.ค.นี้ นายกฯ กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่มีความชัดเจน และไม่ขอแสดงความเห็น ขณะนี้ขอให้เจ้าหน้าที่ประสานอยู่ เป้าหมายของเรา คือ ให้คนเหล่านี้ได้รับการปล่อยตัวมาโดยเร็วที่สุด ซึ่งคดีเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถไปกำหนดได้ แต่เป้าหมายของเรา คือ ทำอย่างไรให้คนเหล่านี้ได้รับการปล่อยตัว โดยเราพยายามสื่อสารกับทางฝ่ายกัมพูชาว่า เรื่องลักษณะนี้เป็นเรื่องซึ่งเกิดขึ้นอยู่เป็นระยะๆ ตามแนวชายแดน ไม่ควรจะให้มาลุกลาม บานปลาย อย่างไรก็ตาม ตอนนี้รัฐบาลกัมพูชายังไม่ท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
"ตอนนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ ผมขอไม่พูดอะไรมาก เพราะอยากให้คนทำงานได้ทำงานอย่างไม่มีปัญหาอุปสรรค" นายกรัฐมนตรี กล่าว
เมื่อถามว่า การเจรจาเบื้องต้นที่เราขอให้กัมพูชาไม่นำทั้ง 7 คนขึ้นสู่กระบวนการศาล แต่ไม่สำเร็จ ตรงนี้ทำให้เราต้องทบทวนอะไร หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวย้ำว่า เรามีเป้าหมายชัดเจน และจะดำเนินการไปตามความเหมาะสมของสถานการณ์ต่างๆ และถึงตอนนี้ ตนก็ยังไม่ได้คุยกับสมเด็จฮุนเซน
***วอนหยุดเคลื่อนไหวหวั่นบานปลาย
เมื่อถามว่า การชุมนุมที่ จ.สระแก้ว จะเป็นแรงกดดันหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการประสานงานกับผู้ชุมนุม ซึ่งมีทั้งผู้ที่เดินทางเข้าไป และต่อต้านการเดินทางเข้าไป แนวทาง คือ พยายามไม่ให้เกิดปัญหากัน
ทั้งนี้ ผู้ที่เคลื่อนไหวจะมีแนวคิดอย่างไร ตนอยากจะขอให้มาพูดคุยกันได้ แต่การเคลื่อนไหวที่ทำให้ถูกตีความ หรือสร้างแรงกดดัน อาจไม่เป็นผลดี ดังนั้น อยากให้นำความกังวล และความห่วงใยทั้งหลาย มาพูดคุยกับทางรัฐบาลได้ ยืนยันรัฐบาลไม่ได้ละเลย หรือเพิกเฉย และพูดตามจริง การที่นายพนิช มาอยู่ในเรื่องนี้ทั้งหมด เพราะรัฐบาลไม่ได้เพิกเฉยเกี่ยวกับข้อร้องเรียนของราษฎร เรื่องที่ทำกิน หากรัฐบาลเพิกเฉย นายพนิช คงไม่มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ต้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า ข้อความจากในคลิปที่นายพนิช ให้เลขาฯ แจ้งนายกฯ คนเดียว ตรงนี้จะชี้แจงอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องรุกล้ำ ไม่รุกล้ำ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ฟังเสียงคลิปต่อจาก 1 นาที จากที่นายพนิช พูด และคลิปตัวเต็มก็อยู่ในยูทูป เหตุที่ต้องแจ้งตนเองคนเดียว เพราะตอนที่นายพนิชจะไป ได้รายงานตน ฉะนั้น เลขาฯ ตนไปบอกคนอื่น ก็คงไม่รู้เรื่องว่าคืออะไร ก็ต้องแจ้งตน จะไปแจ้งใคร
เมื่อถามว่า การเดินทางเข้าไปยังกัมพูชา เป็นทางลับหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่าจะลับอะไร ซึ่งวันเกิดเหตุ ที่ตนแถลงข่าว ตนก็ได้บอกว่า ก่อนที่นายพนิชไปได้บอกว่าจะไปดูชายแดน เรื่องพื้นที่ทำกิน ที่ชาวบ้านมีเอกสารสิทธิ์ แล้วเข้าไปทำกินไม่ได้ และเป็นข้อห่วงใยในปัญหาอื่นๆ และนายพนิช ยังได้บอกอีกว่า ถ้าถึงจุดที่ต้องมีการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ จะทำอย่างไร ตนยังบอกว่า ให้แจ้งกลับมา
***มีวีธีเดียวคือใช้ความจริงเข้าสู้
เมื่อถามว่า คลิปดังกล่าว จะมีน้ำหนักทำให้กัมพูชาดำเนินคดีกับ 7 คนไทย หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ต้องดูให้จบ และสิ่งที่เจ้าหน้าที่ 2 ฝ่ายดำเนินการกันอยู่ คือ สภาพพื้นที่ตรงนั้น มีความไม่ชัดเจนหลายเรื่อง เพราะตัวเขตแดนยังอยู่ในกระบวนการที่ยังไม่ได้ข้อยุติ มีเพียงหลักเขตบันทึกทางวาจาเดิม ซึ่งเป็นจุดแผนที่ 1 ต่อ 5 หมื่น ใช้เป็นแนวอยู่ และถนนตรงนั้นทั้ง เค 5 และถนนศรีเพ็ญ ก็วกไปวนมา
เมื่อถามว่า โดยสรุปตอนนี้ทางการของไทยตอบไม่ได้ว่า 7 คนไทยรุกล้ำ หรือไม่รุกล้ำที่กัมพูชา แล้วจะเอาอะไรไปต่อสู้คดีในศาล นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราเอาข้อเท็จจริง แต่ปัญหาตอนนี้ คือ ทำอย่างไร เอาตัวพิกัดมาลงตามแผนที่
ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุการณ์เกิดมาก่อนปีใหม่ ทำไมยังไม่สามารถหาพิกัดได้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มันมีเลขพิกัดอยู่ 2-3 ตัว แต่ก็มีประเด็นอีกว่าจุดที่ถือว่าถูกจับกุม คือจุดไหน ห่างกัน 2-3 ร้อยเมตรตรงนั้น ก็มีผลมาก แต่ถ้าฟังจากคำพูดของคณะทั้ง 7 คนอย่างครบถ้วน เห็นว่าเขาไม่ได้มีเจตนาที่จะเข้าไปรุกล้ำ เขาไปในพื้นที่ซึ่งเขาเห็นว่า เป็นพื้นที่ของเรา ส่วนข้อเท็จจริงเป็นเรื่องต้องว่า กันตามข้อเท็จจริง และคำพูดของนายพนิช ที่เกิน 1 นาทีครึ่งไปนิดเดียว เขาพูดเองว่า เรากำลังเดินไปหาหมุดที่ 46 มีประโยคที่บอกว่า เป็นพื้นที่ของไทย
ผู้สื่อข่าวถามว่า เรียกว่าตายน้ำตื้นได้หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า วันนี้เรามีหน้าที่ช่วยเหลือคนเหล่านี้ เมื่อถามว่าจะนำคลิปฉบับเต็มมาเปิดเผยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คลิป 4 นาทีกว่านั้น ตนก็ดูจากยูทูป แต่ตนได้มีโอกาสเห็นวิดีโอ 20 กว่านาที ที่ให้กระทรวงการต่างประเทศมาด้วย แต่ในที่สุดความจริงย่อมหนีไปไม่พ้นความจริง ขณะนี้ภาระหน้าที่เรา คือ ทำอย่างไรไม่ให้เรื่องนี้บานปลาย และให้ 7 คนของเรากลับมาได้โดยเร็วที่สุด
เมื่อถามว่า ทำไมนายกฯ ไม่คุยโดยตรงกับนายกฯ ฮุนเซน ยังไม่ถึงเวลา หรือในระดับเจ้าหน้าที่ยังสามารถแก้ไขปัญหาได้ นายกฯ กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่กำลังทำงานกันอยู่ ไม่อยากให้เกิดความสับสน ขอเรียนว่า เรื่องแบบนี้ไม่ขอพูดรายละเอียด อยากให้การทำงานไปได้ราบรื่นมากที่สุด
เมื่อถามว่า เป็นเพราะประมาทหรือไม่ จึงทำให้เรื่องอาจบานปลาย นายกฯ กล่าวว่า สถานการณ์ตอนนี้เรามีหน้าที่ค้นหาความจริง และช่วยเหลือคนที่ถูกจับตัวไป เมื่อถามว่า สมมุตินายกฯ เป็นประชาชนคนทั่วไป การที่ 7 คนเข้าไปโดยไม่มีเจ้าหน้าที่ตชด.พาไป คิดว่า มันผิดปกติอะไรหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตนคงไม่มีหน้าที่ต้องตอบคำถามนี้ และวันนี้อยากให้สังคมไทยร่วมตัวกัน มีเป้าหมายอย่างแน่ชัด คือ การปกป้องช่วยเหลือคนไทย และปกป้องอธิปไตยของไทย การแสดงความคิดเห็นในระหว่างการแก้ไขปัญหายังไม่ลุล่วง จะทำให้การแก้ไขปัญหายุ่งยากขึ้น และการแก้ปัญหาถึงจุดหนึ่ง มันก็ต้องมีคำตอบออกมา แต่ถ้าเราวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งกันและกัน กับฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง คิดว่า ไม่ใช่เรื่องที่จะทำในขณะนี้ ควรให้การทำงานของเจ้าหน้าที่บรรลุเป้าหมาย คือ รักษาสิทธิของประเทศไทย และคนไทยให้ราบรื่นที่สุด หลังจากนั้นหากเหตุการณ์ผ่านพ้นไปแล้ว แน่นอนเราก็มาสะสางเรื่องราวต่างๆ อื่นๆได้
**ให้พนิชลงพื้นที่หวังแก้เกมพันธมิตร
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ ยังปฏิเสธการเดินทางไป เพราะรู้ว่าถ้าไปก็ถูกจับ กลุ่มที่ไปก็ดูเหมือนรู้ว่า ไปแล้วจะถูกจับ นายพนิช ได้แจ้งตรงนี้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นายพนิชบอกว่าจะไป จ.ปราจีนบุรี ดูเรื่องทำกิน และตนก็ขอตอบเฉพาะที่เกี่ยวกับตน ไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น
เมื่อถามว่า ถือว่านายพนิช ทำนอกเหนือคำสั่งหรือไม่ นายกฯ กล่าวย้ำว่า ไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ใคร ตนเพียงแต่บอกความชัดเจนว่านายพนิช เข้าไปเกี่ยวข้อง และตนเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างไร ตนก็บอกว่านายพนิช พยายามจะไปรับฟังประเด็นที่กลุ่มเขาเคลื่อนไหว เรื่องไทย-กัมพูชาอยู่ และเขาเห็นว่า มีประเด็นควรจะต้องได้รับการแก้ไขโดยรัฐบาล และตนไม่ได้ต้องการให้บ้านเมืองวุ่นวายว่า เราจะต้องมาทะเลาะกันเอง และมีผลกระทบความสัมพันธ์ เขาก็ไปช่วยหาข้อมูล แต่การไปหาข้อมูลตนไม่ทราบข้อเท็จจริง และนายพนิช แจ้งว่า จะไปลงพื้นที่ ที่ปราจีนบุรี แต่ไมได้บอกละเอียด และไม่ได้บอกว่าจะไปกับนายวีระ สมความคิด แกนนกลุ่มประชาชนคนไทยหัวใจรักชาติ
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้นายกฯ บอกว่า ให้นายพนิช ไปประสานกับกลุ่มที่เคลื่อนไหว นายกฯ ยอมรับว่า ถูกต้อง และถือเป็นเรื่องการทำงานของเขา แต่การเดินทางไปของนายพนิช ระบุว่าไปกับพันตรี แซมดิน เลิศบุศย์ คนสนิท พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ และวันที่นายพนิช ไปเขาพูดถึงปัญหาว่า ผ่านด่านตชด.ไป โดยที่ไม่เจอใครเลย และในวิดีโอเจ้าหน้าที่กัมพูชามาพูดบอกว่า ทำไมไม่ประสาน เขาก็บอกว่าไม่เจอใคร เมื่อถามต่อว่าแบบนี้แสดงว่า นายพนิช ให้ข้อมูลนายกฯครบหรือไม่ที่จ.สระแก้ว นายกฯ กล่าวว่า ไม่ขอพูดเพิ่มเติม แต่ข้อเท็จจริงที่ได้รับทราบ เป็นอย่างนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯ เครียดหรือไม่กับการที่ให้นายพนิช ประสานกับพันธมิตรฯ แต่กลับกลายเป็นการสร้างปัญหาระหว่างประเทศ และกลายเป็นปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างนายกฯ กับพันธมิตรฯด้วย นายกฯ กล่าวว่า หน้าที่ตนคือ การช่วยเหลือบุคคลเหล่านี้ และจะแก้ปัญหาจากข้อมูล และเหตุที่ปรากฏว่ามีหลายประเด็น ที่จะต้องแก้ไข
เมื่อถามว่า ตอบได้หรือไม่ว่า ทั้ง 7 คนจะได้รับการปล่อยตัวไม่เกินเดือนม.ค.นี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เดี๋ยวเราจะติดตามสถานการณ์ และไม่อยากให้ความคิดเห็น คาดการณ์อะไรต่างๆ อยากให้เจ้าหน้าที่ทำงานโดยไม่มีอุปสรรคเพิ่มเติมดีที่สุด
***เงียบ! ถูกถามขอ"แม้ว"ช่วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะไม่ขอความช่วยเหลือจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับทางกัมพูชา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ทราบ เป้าหมายของเรา คือ ไม่ต้องการให้เหตุการณ์บานปลาย แต่หลังจากที่นายพนิช ถูกจับยังไม่เคยคุยกับนายพนิชเลย เมื่อถามว่า ตอนนี้ระดับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ยังปกติใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ณ ขณะนี้ใช่ครับ แต่ไม่ขอตอบเหตุการณ์ล่วงหน้า ขณะนี้ขอให้เราทำงานเรื่องนี้ ถ้าเราไปพูดอะไร จะกลายเป็นถูกตีความอย่างนั้น อย่างนี้
**"กษิต"ขีดเส้น 1-2 วันกดดันเขมร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมครม.วานนี้ ที่ประชุมได้ใช้เวลาหารือเรื่องนี้ โดยนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ (กต.) ได้ชี้แจงต่อ ครม.ว่า รัฐบาลพยายามที่จะโน้มน้าว โดยให้ยึดหลักการตามที่ผู้นำทั้ง 2 ประเทศ เคยตกลงกันไว้ว่า ถ้าหากมีปัญหาอะไร ก็ขอให้เจรจาหาทางแก้ปัญหากันให้จบ อย่าให้ต้องไปถึงกระบวนการยุติธรรม แต่คราวนี้ นายวีระ สมความคิด แกนนำกลุ่มเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ได้เข้าไปในพื้นที่เป็นครั้งที่ 3 แล้ว ซึ่งตอนนี้เรื่องมันเข้าไปถึงระบบศาลแล้ว จึงล่วงเลยกระบวนการที่จะให้ปล่อยตัวไปแล้ว แต่เมื่อเรื่องเข้าสู่ระบบศาลแล้วก็ต้องเร่งให้เร็วขึ้นในการที่จะให้ปล่อยตัว ในส่วนของการให้ความช่วยเหลือคนไทยทั้ง 7 คน ทางกต.ได้ส่งทนายความเข้าไปช่วยเหลือ 2 คน กำลังเร่งประสานงานกระบวนการไต่สวน เพื่อให้เรื่องจบโดยเร็วในวันสองวันนี้
นอกจากนี้ มีเจ้าหน้าที่ของกต. และกรมแผนที่ทหารที่เข้าไปตรวจสอบพื้นที่ที่คนไทยถูกจับกุม พบว่าหากยึดตามแนวหลักเขต ก็จะพบว่ามีการเลยเข้าไปประมาณ 40-50 เมตร แต่หากยึดเอาแนวสันปันน้ำ ก็เกินเข้าไปประมาณ 8 เมตร ทั้งนี้ ยังมีพื้นที่ที่ยังมีปัญหาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนกันอยู่ประมาณ 15 จุด ที่ยังไม่มีความชัดเจน
"เข้าใจว่าในวันสองนี้ ศาลกัมพูชาคงจะตัดสินออกมา ถ้าไม่ตัดสิน ไม่จบ เราก็คงจะต้องทบทวนความสัมพันธ์" แหล่งข่าวอ้างคำพูดนายกษิต
** "มาร์ค"รับในครม.สั่งให้"พนิช" เข้าไป
นอกจากนี้ นายกฯ ยังได้กล่าวชี้แจงให้ครม.ทราบถึง เรื่องคลิปที่ทางฝ่ายกัมพูชานำมาเปิดเผยทางเว็บไซต์ โดยยอมรับว่าใช่ ที่ระบุว่า ตนได้ให้นายพนิช เข้าไป เพราะถ้ามีการชุมนุมกันของกลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มต่างๆ ในบริเวณนั้น ก็อาจจะกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ง่าย จึงมอบหมายให้นายพนิช เข้าไปดู ซึ่งนายพนิช ก็ได้โทรศัพท์มาบอกว่า อาจจะต้องใช้ตชด. แต่เท่าที่ทราบเลขาฯ ของนายพนิช กับเลขาฯ ของตน โทรศัพท์ติดต่อกันไม่ได้ แต่เมื่อโทรศัพท์มาอีกที ก็ปรากฏว่า ถูกจับกุมไปแล้ว
ส่วนเรื่องคลิปที่นำมาเปิดนั้น ความจริงคลิปมีอยู่ 2 อัน แต่มีคลิปอยู่อันหนึ่ง ที่มีความยาว 4 นาที แต่ถูกเปิดเพียง 1.36 นาที ซึ่งถ้านำมาฉายครบทั้ง 4 นาที ก็จะเห็นว่า มีคำพูดที่นายพนิช พูดว่า เรากำลังจะเข้าไปดูหลักหมุดที่ 46 ของไทย ซึ่งอยู่ในเขตของไทย ซึ่งมันก็มีหลักเขตหลายอัน ที่เรากำลังโต้แย้งกันอยู่ ของฝ่ายไทยมีเอกสารสิทธิด้วยซ้ำไป แต่ราษฎรไทยบอกว่า เข้าไปทำกินไม่ได้ ซึ่งในพื้นที่ที่มียังปัญหาอยู่ ทั้ง 2 ฝ่ายก็ตกลงกันว่า ให้นิ่งก่อนไม่ให้มีการขยายพื้นที่ไปมา แต่ก็ทั้ง 2 ฝ่ายก็ยังมีการนำกำลังทหารไปตรึง กดดันกันไว้ทั้งสองด้าน ซึ่งปัญหาเรื่องหลักหมุดที่ยังไม่ชัดเจนในชุมชนที่มีทั้งราษฎรไทย และกัมพูชา เข้าไป และต่างฝ่ายก็อ้างกรรมสิทธิ์อยู่ ก็เป็นปัญหามา 30-40 ปีแล้ว
" ตอนนี้เอาเรื่องการช่วยเหลือคนก่อน ส่วนเรื่องเขตแดน ยังไม่เจรจาตอนนี้ เพราะยังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และไม่ควรจะนำเอามารวมกัน" แหล่งข่าวอ้างคำพูดนายกฯ
ขณะที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม กล่าวว่า ขณะนี้ทางกลุ่มพันธมิตรฯ จะขอเข้าไปในพื้นที่ที่เกิดปัญหา ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้มีการประสานกับทางการกัมพูชาอยู่ และวานนี้ (4ม.ค.) ยังได้ประสานงานกับทางการกัมพูชาถึงการที่ฝ่ายไทยจะขอส่งกำลังทหารจากกองกำลังบูรพา เพื่อเข้าไปตรวจสอบพิกัดของพื้นที่ที่กลุ่มคนไทยทั้ง 7 คนถูกจับกุม ว่าอยู่ในพื้นที่ตรงไหน พิกัดใด เพราะยังไม่ชัดเจนว่าจุดที่ถูกจับกุม อยู่ในพื้นที่ตรงไหนกันแน่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมครม. ตามระเบียบวาระแล้ว นายกรัฐมนตรี ได้เชิญรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง อาทิ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นายกษิต ภิรมย์ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม ไปหารือกันนอกรอบ โดยใช้เวลาหารือ ประมาณ 15 นาที
***ร้องมาหลายรัฐบาลแต่ไม่มีใครสนใจแก้
จ.ส.อ.ฤทธี เคยประสิทธิ์ เจ้าของที่ดินในหลักเขตที่ 46-48 อ.โคกสูง จ.สระแก้ว กล่าวในรายการ News Hour ทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ถึงกรณีพื้นที่ที่นายพนิช และคณะ ถูกทหารกัมพูชาจับกุม ว่า เคยเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการแล้วในเรื่องที่ทำกินเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งก็ได้มีเจ้าหน้าที่เดินทางเข้าไปดูในพื้นที่ดังกล่าว ก็หลักเขตที่ 46 จริง พร้อมมีการถ่ายรูปและยิงสัญญาณดาวเทียม ซึ่งจากนั้นตนก็จะพาเดินเข้าไปในหลักเขตที่ 47 แต่คณะเดินทางไม่ยอมไป โดยอ้างว่ายิงสัญญาณดาวเทียมไปแล้ว หลังจากนั้น ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นตามคำร้องเรียน กระนั้นเมื่อสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ตนได้เดินทางไปยื่นหนังสือให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เกาะช้าง แต่ก็ไม่มีการดำเนินการอะไร หลังจากนั้น ได้ไปปยื่นต่อ นายอลงกรณ์ พลบุตร ซึ่งนายอลงกรณ์ ก็ได้ตั้งกระทู้ถามสดในสภาผู้แทนราษฎรต่อ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น โดย พล.อ.ชวลิต ตอบกระทู้ว่าจะชดเชยให้ ซึ่ง นายอลงกรณ์ ก็ได้ส่งเทปการตอบกระทู้สดมาให้ตน แต่หลังจากนั้น พล.อ.ชวลิต ก็ไม่ทำอะไร จากนั้นตนก็ไปยื่นหนังสือให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ อีกครั้งหนึ่ง ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่ดำเนินเรื่องให้
พอนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาเป็นนายกรัฐมนตรี ตนก็ฝากเรื่องไป แต่เรื่องก็เงียบหายไป ต่อมานายวีระ สมความคิด แกนนำกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ได้เข้ามาในพื้นที่ ชาวบ้านก็เลยพาเข้าไปในบริเวณเขตแดนไทยที่กัมพูชาครอบครองอยู่ ก่อนที่จะโดนจับ ซึ่งในครั้งนั้นตนได้โทรศัพท์ประสานกับตชด.ให้นำคนของเราออกมาได้สำเร็จ ทั้งนี้ ตนยืนยันว่า มีเอกสารสิทธิในที่ดินทำกิน แต่ตนก็ไม่เข้าไปทำนาในพื้นที่ไม่ได้ พอจะเข้าไปทำนาในพื้นที่ของตนก็ถูกทางกัมพูชาเอาปืนไล่ ขณะที่กัมพูชาได้ให้ทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มาตั้งเสาไฟฟ้าบนที่ดินของชาวบ้าน โดยเป็นการขายไฟฟ้าให้กับกัมพูชา
****ยันจุด"พนิช"ถูกจับเป็นแผ่นดินไทย
จ.ส.อ.ฤทธี กล่าวต่อว่า เห็นว่า เรื่องของเรื่อง คือ ทหารไทยไม่ทำอะไรตั้งแต่เสร็จสิ้นสมัยสงครามภายในประเทศกัมพูชา โดยพื้นที่ดังกล่าว เคยเป็นพื้นที่ลี้ภัยของกองกำลังเขมรเสรี และต่อมาทางสหประชาชาติได้จัดเป็นพื้นที่ลี้ภัยสงครามให้กับชาวกัมพูชา จากนั้นได้เคยมีผู้มาไล่ชาวกัมพูชาที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ แต่ชาวกัมพูชาไม่ยอมออกจากพื้นที่โดยอ้างว่าจนกว่าจะมีหลักแดนที่ชัดเจน ซึ่งตนมองว่า หากผู้บัญชาการทหารบกในยุคนั้นจัดการตั้งแต่แรกปัญหาก็จะไม่เกิด โดยขณะนี้มีชุมชนกัมพูชามาอาศัยอยู่ในพื้นที่แล้วกว่า 50 หลัง รวมทั้งร้านคาราโอเกะด้วย พร้อมกับมีทหารกัมพูชาแต่งชุดไปรเวตยึดครองบริเวณหลักเขตดังกล่าว ซึ่งมีฐานอยู่หลังหลักเขตกัมพูชาแต่ตัวทหารกัมพูชาเองกลับข้ามมาอยู่ในเขตไทย ซึ่งตนเชื่อว่าเป็นชุดเดียวกับที่จับกุมนายพนิช
ส่วนที่กระทรวงการต่างประเทศ และทางรัฐบาลพยายามที่สรุปว่าจุดที่ดินดังกล่าวเป็นแผ่นดินของกัมพูชานั้น จ.ส.อ.ฤทธี กล่าวว่า ตนอยากรัฐบาลให้ลงมาดูที่หลักเขต ว่า ตรงไหนเป็นของเรา ตรงไหนเป็นของเขา อย่าได้แต่พูด ถ้านายกฯ หรือนายกษิต กล้ามาจริง ตนจะขอกราบเท้าเลย ทั้งนี้ ตนเชื่อว่า จุดที่ นายพนิช ยืนและถูกจับกุมเป็นพื้นที่เขตแดนไทย คาดว่า ทหารเขมรคงยังซุ่มอยู่จนเห็นว่าเข้ามาใกล้ดินแดนจึงจับกุมและสร้างหลักฐานว่ารุกล้ำพื้นที่ ซึ่งถ้าเดินจากหลักเสาตามคลิปดังกล่าวไปจนถึงหมุดที่ 46 จะมีระยะทางประมาณ 600-800 เมตร
“ผมขอนายกฯ ช่วยดูแลเรื่องนี้ เพราะชาวบ้านเขาเสียภาษีให้รัฐแต่ไม่ได้ที่ทำกิน จนไม่มีเงินจะเสียแล้ว ผมอยากให้ลงมาดูพื้นที่ว่าเป็นอย่างไร และหากินอย่างไร ทำนาแล้วมีปัญหาไหม ถ้ารัฐบาลจะไม่เอาคืนที่ดินจากเขมร ก็ควรจะหาที่ทำกินให้ใหม่และจ่ายค่าดำเนินการเสียหายซึ่งไม่ได้ทำกินมากว่า 30 ปี ส่วนที่ว่าอาจมีผลประโยชน์ระหว่างทหารนั้น ผมไม่ขอพูดถึง แต่อยากให้นายกฯ ลงมาเอง ขอให้มาเงียบๆ แต่งตัวแบบชาวบ้าน นั่งรถกระบะมา จะได้เห็นอะไรดีๆ ทั้งนั้น” เจ้าของที่ดินในหลักเขตที่ 46-48 กล่าว
จ.ส.อ.ฤทธี กล่าวอีกว่า ล่าสุด ตนได้เดินไปสำรวจในพื้นที่ดังกล่าวพบว่าขณะนี้ได้ขึ้นป้ายกฎอัยการศึกไว้แล้ว ส่วนผู้ที่มาคัดค้านการชุมนุมของกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาตินั้น ตนเห็นว่า กลุ่มดังกล่าวถูกบีบให้ออกมาเคลื่อนไหว เพราะเกรงว่าจะเสียประโยชน์ในการค้าขายกับเขมร ตนก็แปลกใจทั้งๆ ที่สมัยก่อนที่หมู่บ้านถูกชาวกัมพูชารุกราน แต่ตนเชื่อว่าหลังจบเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วทั้ง 2 ประเทศก็จะกลับมาค้าขายเหมือนเดิม
*** เตรียมยื่นประกันเมื่อคดีขึ้นสู่ศาล
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า กำลังรอประสานงานขั้นตอนต่อไปก่อนที่จะนำตัวทั้ง 7 คน ขึ้นสู่ศาล โดยถ้าเร่งรัดการประบวนการนี้ได้ ก็จะเป็นเรื่องที่ดี เพราะหากมีการตัดสินคดีไปในทางใดทางหนึ่งแล้ว คงมีโอกาสที่รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ จะได้พูดจากัน เพื่อหาทางนำคนไทยทั้ง 7 คนกลับมาให้เร็วที่สุด แต่ตราบใดที่ยังไม่ได้ขึ้นสู่ศาล และศาลยังไม่ได้ขึ้นนั่งบัลลังก์เปิดการไต่สวนก็ต้องยอมรับว่า ยังไม่สมารถจะยื่นขอประกันตัวได้ เพราะเท่าที่สอบถามจากทนายความพบว่าจะยื่นขอประกันได้ต่อเมื่อมีการไต่ศาลของศาลแล้ว ถ้ามีการไต่สวนเมื่อใด ก็จะยื่นประกันตัวทันที
**ขู่ฟ้อง"ไชยวัฒน์"ใส่ร้าย"ประวิตร"
เมื่อเวลา 10.30 น. วันเดียวกัน ที่กองทัพบก พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงว่า จากกรณีนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ได้กล่าวในระหว่างการชุมนุม ที่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 3 ม.ค. 2554 ที่ระบุว่า ได้ข้อมูลที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ติดต่อกับนายพลของกัมพูชา เพื่อให้จับกุมคนไทยดังกล่าว แต่เมื่อมีส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมอยู่ด้วย จึงพยายามเจรจาให้ปล่อยตัว ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ว่า เป็นคำกล่าวที่ บิดเบือน เลื่อนลอย ไม่มีมูลความจริง ทั้งยังก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม และเกิดความเสียหาย ต่อประเทศในด้านความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และในฐานะโฆษกกระทรวงกลาโหม จะประสานกับหน่วยงานด้านกฎหมาย คือ กรมพระธรรมนูญ ศึกษาในรายละเอียดเพื่อดำเนินการต่อไป ว่าจะมีการฟ้องร้องดำเนินคดีหรือไม่ โดยจะทำในนามกระทรวงกลาโหม
** กกต.รีบขอข้อมูลหาทางฟันพ้นส.ส.
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวว่า กกต. ได้ส่งหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าวว่า เป็นอย่างไร เพราะกรณีที่เป็นเหตุให้สิ้นสภาพความเป็นส.ส. ต้องคำพิพากษาให้จำคุก และถูกคุมขังโดยหมายศาล ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่มีข้อเท็จจริงที่ชัดเจนว่าเป็นอย่างไร รู้ว่าขณะนี้นายพนิช ถูกคุมขังอยู่ แต่จะต้องมีคำพิพากษา หรือหมายของศาลด้วย เพียงแต่ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน ดังนั้น ทางด้านบริหารงานเลือกตั้งจึงต้องทำหนังสือเพื่อสอบถามไปยังกระทรวงการต่างประเทศ ว่าการที่นายพนิช กำลังถูกทางการกัมพูชาคุมขังอยู่ในขณะนี้ เป็นการถูกคุมขังโดยหมายศาลกัมพูชาหรือไม่ หากได้ข้อเท็จจริงกลับแล้ว อาจจะนำเรียนต่อกกต. เพื่อตั้งคณะทำงานหรือคณะอนุกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง ว่า นายพนิช จะพ้นสภาพการเป็นส.ส.หรือไม่
เมื่อเวลา 14.40 น. วานนี้ (4 ม.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงความคืบหน้าการช่วยเหลือนายพนิช วิกฤตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมคนไทยรวม 7 คน หลังถูกทหารกัมพูชาจับกุมไปว่า นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ รายงานว่าภารกิจของรัฐบาลในขณะนี้ คือ การให้ความช่วยเหลือทั้ง 7 คนกลับมาโดยเร็วที่สุด โดยการทำงานจะใช้ลักษณะของการประสานงานเกือบทุกช่องทาง เพราะต้องการให้เรื่องนี้ได้ข้อยุติโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดการบานปลาย และเห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในชายแดนนั้น ถ้าสามารถปฏิบัติกันในลักษณะซึ่งไม่เข้าไปยืดเยื้ออยู่ในกระบวนการยุติธรรมก็จะดีที่สุด
ส่วนการดูแลเรื่องความเป็นอยู่ของคนเหล่านี้ เมื่อวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา ทางญาติของทั้ง 7 คน ก็ได้เข้าไปเยี่ยม และจะต้องมีการดูแลเรื่องความเป็นอยู่อย่างต่อเนื่อง
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเดินทางของทั้ง 7 คนในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ทราบมาก่อนล่วงหน้า หรือมีการสั่งนายพนิช ด้วยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนเคยแถลงข่าวไปเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2553 ถ้าจำได้ ตนได้บอกว่า ตนได้มอบหมายให้นายพนิช ให้ประสานงานกับกลุ่มคน ซึ่งมีความข้องใจเกี่ยวกับเรื่องปัญหาของไทยและกัมพูชา เพื่อที่จะลดความขัดแย้งในสังคมไทย ซึ่งมันอาจจะลุกลามไปสู่การกระทบต่อทั้งสองประเทศ และประเด็นที่เกี่ยวกับการลงพื้นที่ เป็นเรื่องที่นายพนิช เคยรายงานให้ตนทราบว่ามีประชาชนที่ประสบกับความเดือดร้อนในเรื่องของที่ทำกินกับการอยู่ที่บริเวณชายแดน ฉะนั้น ก็จะไปลงพื้นที่เพื่อดูแลในเรื่องนี้ ซึ่งวันที่ไปก็ยังบอกกับตนว่าจะไป จ.ปราจีนบุรี ไม่ใช่ จ.สระแก้ว และก็สอบถามตนว่า การประสานงานกับเจ้าหน้าที่จะทำอย่างไร ตนก็บอกว่าเมื่อเดินทางไปถึงจุดที่ควรที่จะต้องประสานกับเจ้าหน้าที่ ก็ขอให้แจ้งกลับมา แต่ในข้อเท็จจริงก็บอกว่า เลขาฯ ของนายพนิช โทรเข้ามาติดต่อกับเลขาฯ ตน เมื่อตอนที่ถูกจับกุมแล้ว
เมื่อถามว่า ในการลงพื้นที่จริง ดูเหมือนว่าไม่ได้มีทหารไปด้วย ได้มีการตั้งข้อสังเกตหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า บริเวณดังกล่าวเป็นบริเวณ ซึ่งขณะนี้ตำรวจตะเวนชายแดน (ตชด.) เป็นผู้ที่รับผิดชอบ และปัญหาตรงนี้ต้องไปตรวจสอบกันว่า ด่านของตชด.ตามถนน เกิดอะไรขึ้น
***ชี้คลิป4 นาทีถูกตัดต่อเหลือนาทีกว่า
เมื่อถามว่าในคลิปที่เผยแพร่ออกมา มีการระบุว่า แม้แต่ทางตชด.ยังไม่กล้าเข้าไป แต่ทางคณะกลับเข้าไป จะเหมือนเป็นการท้าทายหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เหตุการณ์เคยเกิดขึ้นที่มีการถูกจับกุม และทางตชด.ได้เข้าไปประสาน
เมื่อถามว่านายกฯ ได้ดูคลิปแล้วหรือยัง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ได้ดูแล้ว ขอเรียนว่าคลิปนี้มีความยาว 4 นาทีกว่า แต่มีคนที่ไปโพสต์ ขึ้นในลักษณะตัดเหลือเพียงนาทีกว่า ทำให้เกิดความสับสน จริงๆ แล้ว สิ้นสุดคลิปสั้น นายพนิชได้พูดต่ออีกและไม่เหมือนกับตอนที่พูดตอนแรก คือ นายพนิช มีความเชื่อว่ายังอยู่ในเขตไทย และกำลังจะไปที่หลักหมุดที่ 46 ฉะนั้นไม่ควรจะไปดูเฉพาะนาทีกว่า และทำให้เกิดความเข้าใจว่านายพนิช กำลังบอกว่ามากัมพูชาโดยที่นายกฯรู้อะไรอย่างนั้น ไม่ใช่ ข้อเท็จจริง คือ ตนรู้ว่านายพนิช จะลงพื้นที่ เป็นเรื่องปัญหาชายแดน ปัญหาที่ทำกิน ซึ่งมีผลกระทบมา แต่การประสานเจ้าหน้าที่ ไม่ได้เกิดขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า จากการเผยแพร่คลิปนี้ สร้างปัญหาอะไรให้เกิดขึ้นกับการช่วยเหลือคนไทยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ยังไม่มีประเด็นอะไรบ่งบอกว่าจะเป็นปัญหา แต่ได้ให้ทุกฝ่ายติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะบังเอิญไม่ใช่เรื่องนอกเหนือไปจากที่นายกษิต เดินทางไปพบรัฐมนตรีต่างประเทศของกัมพูชา ดังนั้น ตรงนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ เราไม่ได้ปิดบังอะไร ในกรณีที่นายพนิช ไปประสานกับกลุ่มที่เคลื่อนไหวในเรื่องนี้ และจะไปลงพื้นที่บริเวณชายแดน
***เผยกัมพูชามีหลักฐานวิดีโอ 20 นาที
เมื่อถามต่อว่า ดูจะหน่อมแน้มไปหน่อยหรือเปล่าที่อยู่ๆ เราจะเข้าไปโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นเขตแดนของเรา หรือของกัมพูชา นายกฯ กล่าวว่า บริเวณนี้การพูดถึงเรื่องเขตแดนเวลาจะอยู่ในพื้นที่ จะยากลำบากพอสมควร สิ่งที่เราทำเพื่อให้เห็นว่าช่วงที่ผ่านมาคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2553 และตลอดทั้งวัน เราได้พยายามให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ประสานงาน แก้ปัญหาในระดับท้องถิ่น แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
ต่อมาบ่ายวันที่ 30 ธ.ค. นายกษิตได้เดินทางไปกัมพูชา และได้รับสิ่งที่กัมพูชาบอกว่า เป็นหลักฐานคือ วิดีโอทั้งหลาย ซึ่งไม่ใช่แค่ 1 นาที หรือ 4 นาที แต่ถึง 20 นาที และกัมพูชาบอกเป็นการแสดงให้เห็นว่า มีการรุกล้ำเข้าไป ซึ่งเราได้นำวิดีโอนั้นกลับมา และส่งเจ้าหน้าที่ไปในวันที่ 31 ธ.ค. โดยเข้าไปในพื้นที่ ตามที่ปรากฏภาพในวิดีโอ เพื่อหาพิกัด ทำงานกันต่อเนื่องจนกระทั้งเคาต์ดาวน์ เพราะตอนตีหนึ่ง ตนยังคุยโทรศัพท์อยู่ และในวันที่ 1 ม.ค.2554 ก็เอาข้อมูลที่ได้มาดูพิกัด บวกกับแผนที่ เพื่อลงจุดให้ได้ แต่แผนที่ที่มีอยู่ขาดรายละเอียดพอสมควร ทำให้เกิดปัญหาการลงจุดในพื้นที่
***ยังไม่รู้คดีจะขึ้นสู่ศาลเมื่อไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า กระบวนการศาลของกัมพูชา เราสามารถรู้ได้หรือไม่ว่า จะใช้เวลานานแค่ไหน และเราสามารถเข้าไปประกันตัวได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทั้ง 7 คน จะมีทีมทนายที่ช่วยดูเรื่องนี้อยู่ โดยสถานทูตเป็นผู้จัดหาทนายให้
เมื่อถามต่อว่า แสดงว่าตอนนี้ตอบไม่ได้ว่า กระบวนการศาลจะใช้เวลาเท่าไร และจะเข้าไปประกันตัวได้เมื่อไร นายกฯ กล่าวว่า เราก็ติดตามตลอด โดยประสานทุกช่องทาง และขอให้ทางเจ้าหน้าที่ได้ทำงานอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ เข้าใจว่าทุกคนมีความเป็นห่วงเป็นใย และมีความเห็น แต่การพูดในแต่ละครั้ง แต่ละเรื่อง บางทีอาจส่งผลได้ เพราะถูกตีความผิด ฉะนั้นอยากให้ช่วยกันระมัดระวัง
ส่วนที่มีรายงานแจ้งว่า คนไทยทั้ง 7 คน จะถูกนำตัวขึ้นศาลประมาณกลางเดือนม.ค.นี้ นายกฯ กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่มีความชัดเจน และไม่ขอแสดงความเห็น ขณะนี้ขอให้เจ้าหน้าที่ประสานอยู่ เป้าหมายของเรา คือ ให้คนเหล่านี้ได้รับการปล่อยตัวมาโดยเร็วที่สุด ซึ่งคดีเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถไปกำหนดได้ แต่เป้าหมายของเรา คือ ทำอย่างไรให้คนเหล่านี้ได้รับการปล่อยตัว โดยเราพยายามสื่อสารกับทางฝ่ายกัมพูชาว่า เรื่องลักษณะนี้เป็นเรื่องซึ่งเกิดขึ้นอยู่เป็นระยะๆ ตามแนวชายแดน ไม่ควรจะให้มาลุกลาม บานปลาย อย่างไรก็ตาม ตอนนี้รัฐบาลกัมพูชายังไม่ท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
"ตอนนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ ผมขอไม่พูดอะไรมาก เพราะอยากให้คนทำงานได้ทำงานอย่างไม่มีปัญหาอุปสรรค" นายกรัฐมนตรี กล่าว
เมื่อถามว่า การเจรจาเบื้องต้นที่เราขอให้กัมพูชาไม่นำทั้ง 7 คนขึ้นสู่กระบวนการศาล แต่ไม่สำเร็จ ตรงนี้ทำให้เราต้องทบทวนอะไร หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวย้ำว่า เรามีเป้าหมายชัดเจน และจะดำเนินการไปตามความเหมาะสมของสถานการณ์ต่างๆ และถึงตอนนี้ ตนก็ยังไม่ได้คุยกับสมเด็จฮุนเซน
***วอนหยุดเคลื่อนไหวหวั่นบานปลาย
เมื่อถามว่า การชุมนุมที่ จ.สระแก้ว จะเป็นแรงกดดันหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการประสานงานกับผู้ชุมนุม ซึ่งมีทั้งผู้ที่เดินทางเข้าไป และต่อต้านการเดินทางเข้าไป แนวทาง คือ พยายามไม่ให้เกิดปัญหากัน
ทั้งนี้ ผู้ที่เคลื่อนไหวจะมีแนวคิดอย่างไร ตนอยากจะขอให้มาพูดคุยกันได้ แต่การเคลื่อนไหวที่ทำให้ถูกตีความ หรือสร้างแรงกดดัน อาจไม่เป็นผลดี ดังนั้น อยากให้นำความกังวล และความห่วงใยทั้งหลาย มาพูดคุยกับทางรัฐบาลได้ ยืนยันรัฐบาลไม่ได้ละเลย หรือเพิกเฉย และพูดตามจริง การที่นายพนิช มาอยู่ในเรื่องนี้ทั้งหมด เพราะรัฐบาลไม่ได้เพิกเฉยเกี่ยวกับข้อร้องเรียนของราษฎร เรื่องที่ทำกิน หากรัฐบาลเพิกเฉย นายพนิช คงไม่มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ต้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า ข้อความจากในคลิปที่นายพนิช ให้เลขาฯ แจ้งนายกฯ คนเดียว ตรงนี้จะชี้แจงอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องรุกล้ำ ไม่รุกล้ำ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ฟังเสียงคลิปต่อจาก 1 นาที จากที่นายพนิช พูด และคลิปตัวเต็มก็อยู่ในยูทูป เหตุที่ต้องแจ้งตนเองคนเดียว เพราะตอนที่นายพนิชจะไป ได้รายงานตน ฉะนั้น เลขาฯ ตนไปบอกคนอื่น ก็คงไม่รู้เรื่องว่าคืออะไร ก็ต้องแจ้งตน จะไปแจ้งใคร
เมื่อถามว่า การเดินทางเข้าไปยังกัมพูชา เป็นทางลับหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่าจะลับอะไร ซึ่งวันเกิดเหตุ ที่ตนแถลงข่าว ตนก็ได้บอกว่า ก่อนที่นายพนิชไปได้บอกว่าจะไปดูชายแดน เรื่องพื้นที่ทำกิน ที่ชาวบ้านมีเอกสารสิทธิ์ แล้วเข้าไปทำกินไม่ได้ และเป็นข้อห่วงใยในปัญหาอื่นๆ และนายพนิช ยังได้บอกอีกว่า ถ้าถึงจุดที่ต้องมีการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ จะทำอย่างไร ตนยังบอกว่า ให้แจ้งกลับมา
***มีวีธีเดียวคือใช้ความจริงเข้าสู้
เมื่อถามว่า คลิปดังกล่าว จะมีน้ำหนักทำให้กัมพูชาดำเนินคดีกับ 7 คนไทย หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ต้องดูให้จบ และสิ่งที่เจ้าหน้าที่ 2 ฝ่ายดำเนินการกันอยู่ คือ สภาพพื้นที่ตรงนั้น มีความไม่ชัดเจนหลายเรื่อง เพราะตัวเขตแดนยังอยู่ในกระบวนการที่ยังไม่ได้ข้อยุติ มีเพียงหลักเขตบันทึกทางวาจาเดิม ซึ่งเป็นจุดแผนที่ 1 ต่อ 5 หมื่น ใช้เป็นแนวอยู่ และถนนตรงนั้นทั้ง เค 5 และถนนศรีเพ็ญ ก็วกไปวนมา
เมื่อถามว่า โดยสรุปตอนนี้ทางการของไทยตอบไม่ได้ว่า 7 คนไทยรุกล้ำ หรือไม่รุกล้ำที่กัมพูชา แล้วจะเอาอะไรไปต่อสู้คดีในศาล นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราเอาข้อเท็จจริง แต่ปัญหาตอนนี้ คือ ทำอย่างไร เอาตัวพิกัดมาลงตามแผนที่
ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุการณ์เกิดมาก่อนปีใหม่ ทำไมยังไม่สามารถหาพิกัดได้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มันมีเลขพิกัดอยู่ 2-3 ตัว แต่ก็มีประเด็นอีกว่าจุดที่ถือว่าถูกจับกุม คือจุดไหน ห่างกัน 2-3 ร้อยเมตรตรงนั้น ก็มีผลมาก แต่ถ้าฟังจากคำพูดของคณะทั้ง 7 คนอย่างครบถ้วน เห็นว่าเขาไม่ได้มีเจตนาที่จะเข้าไปรุกล้ำ เขาไปในพื้นที่ซึ่งเขาเห็นว่า เป็นพื้นที่ของเรา ส่วนข้อเท็จจริงเป็นเรื่องต้องว่า กันตามข้อเท็จจริง และคำพูดของนายพนิช ที่เกิน 1 นาทีครึ่งไปนิดเดียว เขาพูดเองว่า เรากำลังเดินไปหาหมุดที่ 46 มีประโยคที่บอกว่า เป็นพื้นที่ของไทย
ผู้สื่อข่าวถามว่า เรียกว่าตายน้ำตื้นได้หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า วันนี้เรามีหน้าที่ช่วยเหลือคนเหล่านี้ เมื่อถามว่าจะนำคลิปฉบับเต็มมาเปิดเผยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คลิป 4 นาทีกว่านั้น ตนก็ดูจากยูทูป แต่ตนได้มีโอกาสเห็นวิดีโอ 20 กว่านาที ที่ให้กระทรวงการต่างประเทศมาด้วย แต่ในที่สุดความจริงย่อมหนีไปไม่พ้นความจริง ขณะนี้ภาระหน้าที่เรา คือ ทำอย่างไรไม่ให้เรื่องนี้บานปลาย และให้ 7 คนของเรากลับมาได้โดยเร็วที่สุด
เมื่อถามว่า ทำไมนายกฯ ไม่คุยโดยตรงกับนายกฯ ฮุนเซน ยังไม่ถึงเวลา หรือในระดับเจ้าหน้าที่ยังสามารถแก้ไขปัญหาได้ นายกฯ กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่กำลังทำงานกันอยู่ ไม่อยากให้เกิดความสับสน ขอเรียนว่า เรื่องแบบนี้ไม่ขอพูดรายละเอียด อยากให้การทำงานไปได้ราบรื่นมากที่สุด
เมื่อถามว่า เป็นเพราะประมาทหรือไม่ จึงทำให้เรื่องอาจบานปลาย นายกฯ กล่าวว่า สถานการณ์ตอนนี้เรามีหน้าที่ค้นหาความจริง และช่วยเหลือคนที่ถูกจับตัวไป เมื่อถามว่า สมมุตินายกฯ เป็นประชาชนคนทั่วไป การที่ 7 คนเข้าไปโดยไม่มีเจ้าหน้าที่ตชด.พาไป คิดว่า มันผิดปกติอะไรหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตนคงไม่มีหน้าที่ต้องตอบคำถามนี้ และวันนี้อยากให้สังคมไทยร่วมตัวกัน มีเป้าหมายอย่างแน่ชัด คือ การปกป้องช่วยเหลือคนไทย และปกป้องอธิปไตยของไทย การแสดงความคิดเห็นในระหว่างการแก้ไขปัญหายังไม่ลุล่วง จะทำให้การแก้ไขปัญหายุ่งยากขึ้น และการแก้ปัญหาถึงจุดหนึ่ง มันก็ต้องมีคำตอบออกมา แต่ถ้าเราวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งกันและกัน กับฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง คิดว่า ไม่ใช่เรื่องที่จะทำในขณะนี้ ควรให้การทำงานของเจ้าหน้าที่บรรลุเป้าหมาย คือ รักษาสิทธิของประเทศไทย และคนไทยให้ราบรื่นที่สุด หลังจากนั้นหากเหตุการณ์ผ่านพ้นไปแล้ว แน่นอนเราก็มาสะสางเรื่องราวต่างๆ อื่นๆได้
**ให้พนิชลงพื้นที่หวังแก้เกมพันธมิตร
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ ยังปฏิเสธการเดินทางไป เพราะรู้ว่าถ้าไปก็ถูกจับ กลุ่มที่ไปก็ดูเหมือนรู้ว่า ไปแล้วจะถูกจับ นายพนิช ได้แจ้งตรงนี้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นายพนิชบอกว่าจะไป จ.ปราจีนบุรี ดูเรื่องทำกิน และตนก็ขอตอบเฉพาะที่เกี่ยวกับตน ไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น
เมื่อถามว่า ถือว่านายพนิช ทำนอกเหนือคำสั่งหรือไม่ นายกฯ กล่าวย้ำว่า ไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ใคร ตนเพียงแต่บอกความชัดเจนว่านายพนิช เข้าไปเกี่ยวข้อง และตนเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างไร ตนก็บอกว่านายพนิช พยายามจะไปรับฟังประเด็นที่กลุ่มเขาเคลื่อนไหว เรื่องไทย-กัมพูชาอยู่ และเขาเห็นว่า มีประเด็นควรจะต้องได้รับการแก้ไขโดยรัฐบาล และตนไม่ได้ต้องการให้บ้านเมืองวุ่นวายว่า เราจะต้องมาทะเลาะกันเอง และมีผลกระทบความสัมพันธ์ เขาก็ไปช่วยหาข้อมูล แต่การไปหาข้อมูลตนไม่ทราบข้อเท็จจริง และนายพนิช แจ้งว่า จะไปลงพื้นที่ ที่ปราจีนบุรี แต่ไมได้บอกละเอียด และไม่ได้บอกว่าจะไปกับนายวีระ สมความคิด แกนนกลุ่มประชาชนคนไทยหัวใจรักชาติ
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้นายกฯ บอกว่า ให้นายพนิช ไปประสานกับกลุ่มที่เคลื่อนไหว นายกฯ ยอมรับว่า ถูกต้อง และถือเป็นเรื่องการทำงานของเขา แต่การเดินทางไปของนายพนิช ระบุว่าไปกับพันตรี แซมดิน เลิศบุศย์ คนสนิท พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ และวันที่นายพนิช ไปเขาพูดถึงปัญหาว่า ผ่านด่านตชด.ไป โดยที่ไม่เจอใครเลย และในวิดีโอเจ้าหน้าที่กัมพูชามาพูดบอกว่า ทำไมไม่ประสาน เขาก็บอกว่าไม่เจอใคร เมื่อถามต่อว่าแบบนี้แสดงว่า นายพนิช ให้ข้อมูลนายกฯครบหรือไม่ที่จ.สระแก้ว นายกฯ กล่าวว่า ไม่ขอพูดเพิ่มเติม แต่ข้อเท็จจริงที่ได้รับทราบ เป็นอย่างนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯ เครียดหรือไม่กับการที่ให้นายพนิช ประสานกับพันธมิตรฯ แต่กลับกลายเป็นการสร้างปัญหาระหว่างประเทศ และกลายเป็นปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างนายกฯ กับพันธมิตรฯด้วย นายกฯ กล่าวว่า หน้าที่ตนคือ การช่วยเหลือบุคคลเหล่านี้ และจะแก้ปัญหาจากข้อมูล และเหตุที่ปรากฏว่ามีหลายประเด็น ที่จะต้องแก้ไข
เมื่อถามว่า ตอบได้หรือไม่ว่า ทั้ง 7 คนจะได้รับการปล่อยตัวไม่เกินเดือนม.ค.นี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เดี๋ยวเราจะติดตามสถานการณ์ และไม่อยากให้ความคิดเห็น คาดการณ์อะไรต่างๆ อยากให้เจ้าหน้าที่ทำงานโดยไม่มีอุปสรรคเพิ่มเติมดีที่สุด
***เงียบ! ถูกถามขอ"แม้ว"ช่วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะไม่ขอความช่วยเหลือจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับทางกัมพูชา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ทราบ เป้าหมายของเรา คือ ไม่ต้องการให้เหตุการณ์บานปลาย แต่หลังจากที่นายพนิช ถูกจับยังไม่เคยคุยกับนายพนิชเลย เมื่อถามว่า ตอนนี้ระดับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ยังปกติใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ณ ขณะนี้ใช่ครับ แต่ไม่ขอตอบเหตุการณ์ล่วงหน้า ขณะนี้ขอให้เราทำงานเรื่องนี้ ถ้าเราไปพูดอะไร จะกลายเป็นถูกตีความอย่างนั้น อย่างนี้
**"กษิต"ขีดเส้น 1-2 วันกดดันเขมร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมครม.วานนี้ ที่ประชุมได้ใช้เวลาหารือเรื่องนี้ โดยนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ (กต.) ได้ชี้แจงต่อ ครม.ว่า รัฐบาลพยายามที่จะโน้มน้าว โดยให้ยึดหลักการตามที่ผู้นำทั้ง 2 ประเทศ เคยตกลงกันไว้ว่า ถ้าหากมีปัญหาอะไร ก็ขอให้เจรจาหาทางแก้ปัญหากันให้จบ อย่าให้ต้องไปถึงกระบวนการยุติธรรม แต่คราวนี้ นายวีระ สมความคิด แกนนำกลุ่มเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ได้เข้าไปในพื้นที่เป็นครั้งที่ 3 แล้ว ซึ่งตอนนี้เรื่องมันเข้าไปถึงระบบศาลแล้ว จึงล่วงเลยกระบวนการที่จะให้ปล่อยตัวไปแล้ว แต่เมื่อเรื่องเข้าสู่ระบบศาลแล้วก็ต้องเร่งให้เร็วขึ้นในการที่จะให้ปล่อยตัว ในส่วนของการให้ความช่วยเหลือคนไทยทั้ง 7 คน ทางกต.ได้ส่งทนายความเข้าไปช่วยเหลือ 2 คน กำลังเร่งประสานงานกระบวนการไต่สวน เพื่อให้เรื่องจบโดยเร็วในวันสองวันนี้
นอกจากนี้ มีเจ้าหน้าที่ของกต. และกรมแผนที่ทหารที่เข้าไปตรวจสอบพื้นที่ที่คนไทยถูกจับกุม พบว่าหากยึดตามแนวหลักเขต ก็จะพบว่ามีการเลยเข้าไปประมาณ 40-50 เมตร แต่หากยึดเอาแนวสันปันน้ำ ก็เกินเข้าไปประมาณ 8 เมตร ทั้งนี้ ยังมีพื้นที่ที่ยังมีปัญหาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนกันอยู่ประมาณ 15 จุด ที่ยังไม่มีความชัดเจน
"เข้าใจว่าในวันสองนี้ ศาลกัมพูชาคงจะตัดสินออกมา ถ้าไม่ตัดสิน ไม่จบ เราก็คงจะต้องทบทวนความสัมพันธ์" แหล่งข่าวอ้างคำพูดนายกษิต
** "มาร์ค"รับในครม.สั่งให้"พนิช" เข้าไป
นอกจากนี้ นายกฯ ยังได้กล่าวชี้แจงให้ครม.ทราบถึง เรื่องคลิปที่ทางฝ่ายกัมพูชานำมาเปิดเผยทางเว็บไซต์ โดยยอมรับว่าใช่ ที่ระบุว่า ตนได้ให้นายพนิช เข้าไป เพราะถ้ามีการชุมนุมกันของกลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มต่างๆ ในบริเวณนั้น ก็อาจจะกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ง่าย จึงมอบหมายให้นายพนิช เข้าไปดู ซึ่งนายพนิช ก็ได้โทรศัพท์มาบอกว่า อาจจะต้องใช้ตชด. แต่เท่าที่ทราบเลขาฯ ของนายพนิช กับเลขาฯ ของตน โทรศัพท์ติดต่อกันไม่ได้ แต่เมื่อโทรศัพท์มาอีกที ก็ปรากฏว่า ถูกจับกุมไปแล้ว
ส่วนเรื่องคลิปที่นำมาเปิดนั้น ความจริงคลิปมีอยู่ 2 อัน แต่มีคลิปอยู่อันหนึ่ง ที่มีความยาว 4 นาที แต่ถูกเปิดเพียง 1.36 นาที ซึ่งถ้านำมาฉายครบทั้ง 4 นาที ก็จะเห็นว่า มีคำพูดที่นายพนิช พูดว่า เรากำลังจะเข้าไปดูหลักหมุดที่ 46 ของไทย ซึ่งอยู่ในเขตของไทย ซึ่งมันก็มีหลักเขตหลายอัน ที่เรากำลังโต้แย้งกันอยู่ ของฝ่ายไทยมีเอกสารสิทธิด้วยซ้ำไป แต่ราษฎรไทยบอกว่า เข้าไปทำกินไม่ได้ ซึ่งในพื้นที่ที่มียังปัญหาอยู่ ทั้ง 2 ฝ่ายก็ตกลงกันว่า ให้นิ่งก่อนไม่ให้มีการขยายพื้นที่ไปมา แต่ก็ทั้ง 2 ฝ่ายก็ยังมีการนำกำลังทหารไปตรึง กดดันกันไว้ทั้งสองด้าน ซึ่งปัญหาเรื่องหลักหมุดที่ยังไม่ชัดเจนในชุมชนที่มีทั้งราษฎรไทย และกัมพูชา เข้าไป และต่างฝ่ายก็อ้างกรรมสิทธิ์อยู่ ก็เป็นปัญหามา 30-40 ปีแล้ว
" ตอนนี้เอาเรื่องการช่วยเหลือคนก่อน ส่วนเรื่องเขตแดน ยังไม่เจรจาตอนนี้ เพราะยังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และไม่ควรจะนำเอามารวมกัน" แหล่งข่าวอ้างคำพูดนายกฯ
ขณะที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม กล่าวว่า ขณะนี้ทางกลุ่มพันธมิตรฯ จะขอเข้าไปในพื้นที่ที่เกิดปัญหา ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้มีการประสานกับทางการกัมพูชาอยู่ และวานนี้ (4ม.ค.) ยังได้ประสานงานกับทางการกัมพูชาถึงการที่ฝ่ายไทยจะขอส่งกำลังทหารจากกองกำลังบูรพา เพื่อเข้าไปตรวจสอบพิกัดของพื้นที่ที่กลุ่มคนไทยทั้ง 7 คนถูกจับกุม ว่าอยู่ในพื้นที่ตรงไหน พิกัดใด เพราะยังไม่ชัดเจนว่าจุดที่ถูกจับกุม อยู่ในพื้นที่ตรงไหนกันแน่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมครม. ตามระเบียบวาระแล้ว นายกรัฐมนตรี ได้เชิญรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง อาทิ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นายกษิต ภิรมย์ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม ไปหารือกันนอกรอบ โดยใช้เวลาหารือ ประมาณ 15 นาที
***ร้องมาหลายรัฐบาลแต่ไม่มีใครสนใจแก้
จ.ส.อ.ฤทธี เคยประสิทธิ์ เจ้าของที่ดินในหลักเขตที่ 46-48 อ.โคกสูง จ.สระแก้ว กล่าวในรายการ News Hour ทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ถึงกรณีพื้นที่ที่นายพนิช และคณะ ถูกทหารกัมพูชาจับกุม ว่า เคยเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการแล้วในเรื่องที่ทำกินเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งก็ได้มีเจ้าหน้าที่เดินทางเข้าไปดูในพื้นที่ดังกล่าว ก็หลักเขตที่ 46 จริง พร้อมมีการถ่ายรูปและยิงสัญญาณดาวเทียม ซึ่งจากนั้นตนก็จะพาเดินเข้าไปในหลักเขตที่ 47 แต่คณะเดินทางไม่ยอมไป โดยอ้างว่ายิงสัญญาณดาวเทียมไปแล้ว หลังจากนั้น ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นตามคำร้องเรียน กระนั้นเมื่อสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ตนได้เดินทางไปยื่นหนังสือให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เกาะช้าง แต่ก็ไม่มีการดำเนินการอะไร หลังจากนั้น ได้ไปปยื่นต่อ นายอลงกรณ์ พลบุตร ซึ่งนายอลงกรณ์ ก็ได้ตั้งกระทู้ถามสดในสภาผู้แทนราษฎรต่อ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น โดย พล.อ.ชวลิต ตอบกระทู้ว่าจะชดเชยให้ ซึ่ง นายอลงกรณ์ ก็ได้ส่งเทปการตอบกระทู้สดมาให้ตน แต่หลังจากนั้น พล.อ.ชวลิต ก็ไม่ทำอะไร จากนั้นตนก็ไปยื่นหนังสือให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ อีกครั้งหนึ่ง ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่ดำเนินเรื่องให้
พอนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาเป็นนายกรัฐมนตรี ตนก็ฝากเรื่องไป แต่เรื่องก็เงียบหายไป ต่อมานายวีระ สมความคิด แกนนำกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ได้เข้ามาในพื้นที่ ชาวบ้านก็เลยพาเข้าไปในบริเวณเขตแดนไทยที่กัมพูชาครอบครองอยู่ ก่อนที่จะโดนจับ ซึ่งในครั้งนั้นตนได้โทรศัพท์ประสานกับตชด.ให้นำคนของเราออกมาได้สำเร็จ ทั้งนี้ ตนยืนยันว่า มีเอกสารสิทธิในที่ดินทำกิน แต่ตนก็ไม่เข้าไปทำนาในพื้นที่ไม่ได้ พอจะเข้าไปทำนาในพื้นที่ของตนก็ถูกทางกัมพูชาเอาปืนไล่ ขณะที่กัมพูชาได้ให้ทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มาตั้งเสาไฟฟ้าบนที่ดินของชาวบ้าน โดยเป็นการขายไฟฟ้าให้กับกัมพูชา
****ยันจุด"พนิช"ถูกจับเป็นแผ่นดินไทย
จ.ส.อ.ฤทธี กล่าวต่อว่า เห็นว่า เรื่องของเรื่อง คือ ทหารไทยไม่ทำอะไรตั้งแต่เสร็จสิ้นสมัยสงครามภายในประเทศกัมพูชา โดยพื้นที่ดังกล่าว เคยเป็นพื้นที่ลี้ภัยของกองกำลังเขมรเสรี และต่อมาทางสหประชาชาติได้จัดเป็นพื้นที่ลี้ภัยสงครามให้กับชาวกัมพูชา จากนั้นได้เคยมีผู้มาไล่ชาวกัมพูชาที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ แต่ชาวกัมพูชาไม่ยอมออกจากพื้นที่โดยอ้างว่าจนกว่าจะมีหลักแดนที่ชัดเจน ซึ่งตนมองว่า หากผู้บัญชาการทหารบกในยุคนั้นจัดการตั้งแต่แรกปัญหาก็จะไม่เกิด โดยขณะนี้มีชุมชนกัมพูชามาอาศัยอยู่ในพื้นที่แล้วกว่า 50 หลัง รวมทั้งร้านคาราโอเกะด้วย พร้อมกับมีทหารกัมพูชาแต่งชุดไปรเวตยึดครองบริเวณหลักเขตดังกล่าว ซึ่งมีฐานอยู่หลังหลักเขตกัมพูชาแต่ตัวทหารกัมพูชาเองกลับข้ามมาอยู่ในเขตไทย ซึ่งตนเชื่อว่าเป็นชุดเดียวกับที่จับกุมนายพนิช
ส่วนที่กระทรวงการต่างประเทศ และทางรัฐบาลพยายามที่สรุปว่าจุดที่ดินดังกล่าวเป็นแผ่นดินของกัมพูชานั้น จ.ส.อ.ฤทธี กล่าวว่า ตนอยากรัฐบาลให้ลงมาดูที่หลักเขต ว่า ตรงไหนเป็นของเรา ตรงไหนเป็นของเขา อย่าได้แต่พูด ถ้านายกฯ หรือนายกษิต กล้ามาจริง ตนจะขอกราบเท้าเลย ทั้งนี้ ตนเชื่อว่า จุดที่ นายพนิช ยืนและถูกจับกุมเป็นพื้นที่เขตแดนไทย คาดว่า ทหารเขมรคงยังซุ่มอยู่จนเห็นว่าเข้ามาใกล้ดินแดนจึงจับกุมและสร้างหลักฐานว่ารุกล้ำพื้นที่ ซึ่งถ้าเดินจากหลักเสาตามคลิปดังกล่าวไปจนถึงหมุดที่ 46 จะมีระยะทางประมาณ 600-800 เมตร
“ผมขอนายกฯ ช่วยดูแลเรื่องนี้ เพราะชาวบ้านเขาเสียภาษีให้รัฐแต่ไม่ได้ที่ทำกิน จนไม่มีเงินจะเสียแล้ว ผมอยากให้ลงมาดูพื้นที่ว่าเป็นอย่างไร และหากินอย่างไร ทำนาแล้วมีปัญหาไหม ถ้ารัฐบาลจะไม่เอาคืนที่ดินจากเขมร ก็ควรจะหาที่ทำกินให้ใหม่และจ่ายค่าดำเนินการเสียหายซึ่งไม่ได้ทำกินมากว่า 30 ปี ส่วนที่ว่าอาจมีผลประโยชน์ระหว่างทหารนั้น ผมไม่ขอพูดถึง แต่อยากให้นายกฯ ลงมาเอง ขอให้มาเงียบๆ แต่งตัวแบบชาวบ้าน นั่งรถกระบะมา จะได้เห็นอะไรดีๆ ทั้งนั้น” เจ้าของที่ดินในหลักเขตที่ 46-48 กล่าว
จ.ส.อ.ฤทธี กล่าวอีกว่า ล่าสุด ตนได้เดินไปสำรวจในพื้นที่ดังกล่าวพบว่าขณะนี้ได้ขึ้นป้ายกฎอัยการศึกไว้แล้ว ส่วนผู้ที่มาคัดค้านการชุมนุมของกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาตินั้น ตนเห็นว่า กลุ่มดังกล่าวถูกบีบให้ออกมาเคลื่อนไหว เพราะเกรงว่าจะเสียประโยชน์ในการค้าขายกับเขมร ตนก็แปลกใจทั้งๆ ที่สมัยก่อนที่หมู่บ้านถูกชาวกัมพูชารุกราน แต่ตนเชื่อว่าหลังจบเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วทั้ง 2 ประเทศก็จะกลับมาค้าขายเหมือนเดิม
*** เตรียมยื่นประกันเมื่อคดีขึ้นสู่ศาล
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า กำลังรอประสานงานขั้นตอนต่อไปก่อนที่จะนำตัวทั้ง 7 คน ขึ้นสู่ศาล โดยถ้าเร่งรัดการประบวนการนี้ได้ ก็จะเป็นเรื่องที่ดี เพราะหากมีการตัดสินคดีไปในทางใดทางหนึ่งแล้ว คงมีโอกาสที่รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ จะได้พูดจากัน เพื่อหาทางนำคนไทยทั้ง 7 คนกลับมาให้เร็วที่สุด แต่ตราบใดที่ยังไม่ได้ขึ้นสู่ศาล และศาลยังไม่ได้ขึ้นนั่งบัลลังก์เปิดการไต่สวนก็ต้องยอมรับว่า ยังไม่สมารถจะยื่นขอประกันตัวได้ เพราะเท่าที่สอบถามจากทนายความพบว่าจะยื่นขอประกันได้ต่อเมื่อมีการไต่ศาลของศาลแล้ว ถ้ามีการไต่สวนเมื่อใด ก็จะยื่นประกันตัวทันที
**ขู่ฟ้อง"ไชยวัฒน์"ใส่ร้าย"ประวิตร"
เมื่อเวลา 10.30 น. วันเดียวกัน ที่กองทัพบก พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงว่า จากกรณีนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ได้กล่าวในระหว่างการชุมนุม ที่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 3 ม.ค. 2554 ที่ระบุว่า ได้ข้อมูลที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ติดต่อกับนายพลของกัมพูชา เพื่อให้จับกุมคนไทยดังกล่าว แต่เมื่อมีส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมอยู่ด้วย จึงพยายามเจรจาให้ปล่อยตัว ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ว่า เป็นคำกล่าวที่ บิดเบือน เลื่อนลอย ไม่มีมูลความจริง ทั้งยังก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม และเกิดความเสียหาย ต่อประเทศในด้านความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และในฐานะโฆษกกระทรวงกลาโหม จะประสานกับหน่วยงานด้านกฎหมาย คือ กรมพระธรรมนูญ ศึกษาในรายละเอียดเพื่อดำเนินการต่อไป ว่าจะมีการฟ้องร้องดำเนินคดีหรือไม่ โดยจะทำในนามกระทรวงกลาโหม
** กกต.รีบขอข้อมูลหาทางฟันพ้นส.ส.
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวว่า กกต. ได้ส่งหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าวว่า เป็นอย่างไร เพราะกรณีที่เป็นเหตุให้สิ้นสภาพความเป็นส.ส. ต้องคำพิพากษาให้จำคุก และถูกคุมขังโดยหมายศาล ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่มีข้อเท็จจริงที่ชัดเจนว่าเป็นอย่างไร รู้ว่าขณะนี้นายพนิช ถูกคุมขังอยู่ แต่จะต้องมีคำพิพากษา หรือหมายของศาลด้วย เพียงแต่ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน ดังนั้น ทางด้านบริหารงานเลือกตั้งจึงต้องทำหนังสือเพื่อสอบถามไปยังกระทรวงการต่างประเทศ ว่าการที่นายพนิช กำลังถูกทางการกัมพูชาคุมขังอยู่ในขณะนี้ เป็นการถูกคุมขังโดยหมายศาลกัมพูชาหรือไม่ หากได้ข้อเท็จจริงกลับแล้ว อาจจะนำเรียนต่อกกต. เพื่อตั้งคณะทำงานหรือคณะอนุกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง ว่า นายพนิช จะพ้นสภาพการเป็นส.ส.หรือไม่