..........เช้าวันที่ 26 มีนาคม 2553 ระหว่างเวลากาแฟของปารีส : พ่อได้กล่าวกับผมอย่างมีอารมณ์ (ดี) ว่า----
..........เฮ้ย-นาค!--ได้ผลว่ะ! –พ่อได้ดูความคิดเห็นของผู้อ่านใน “ผู้จัดการออนไลน์” แล้ว—สรุปว่าบทความที่แกเขียนมาสามตอนนี่—คนเขาเข้าใจกันทั่วแล้ว...!!!!!
..........เข้าใจเรื่องอะไรครับพ่อ?????—ผมย้อนถาม
..........ก็เรื่องคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองน่ะสิ !!! จะอะไรเสียอีก??????
..........ผมยังไม่เคยพูดถึงเรื่องนั้นเลยนะพ่อ....เสียมารยาท-เสียจรรยาบรรณของผมหมด....พ่อเป็นคนสอนผมเองไม่ใช่รึว่า- ในฐานะนักวิชาการทางกฎหมาย—อย่าไปให้ความเห็นระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุด? --- ประเดี๋ยวความยุ่งยากจะย้อนเข้าตัว !!!!!!!
..........ผมไม่ใช่นักกฎหมายสำนัก “วิบากนิยม” นะครับ!!! จะได้ชมชอบการ (ลัก) พาตัวเองเข้าไปสู่ความยุ่งยาก—โดยถือว่าเป็นที่สุดแห่งความสุข.......ประเภทไม่มีเหา—หาเหาใส่หัว--ไม่มีเรื่องหาเรื่องใส่ตัว?????
..........โดยเฉพาะถ้าเรื่องนั้นเป็นเพียง “ผลประโยชน์ส่วนตัวของคนเพียงคนเดียว”----ไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรต่อประเทศชาติและประชาชน??
..........โดยเฉพาะถ้า “เหา” ตัวนั้น นอกจากจะไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมแล้ว ยังเป็นปฏิปักษ์ต่อผลประโยชน์สาธารณะหรือผลประโยชน์ของมหาชน อย่างร้ายแรงอีกด้วย?????
..........ผมยอมโกนหัว ดีกว่าที่จะรอให้เหา เข้ามาไชชอนชีวิตความเป็นอยู่โดยปกติสุข ?????????
..........แล้วผมก็ยึดหลักธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เวลาจะพูด-จะกล่าวอะไรออกไป ก็ต้องถือหลักว่า ความเท็จนั้นไม่พูดเลย ส่วนความจริงนั้นถ้าไม่เป็นประโยชน์ก็จะไม่พูด แม้แต่ความจริงที่เป็นประโยชน์--ก็จะต้องดูความเหมาะสมของกาลเวลาในการกล่าว
..........โดยเฉพาะช่วงเทศกาลที่ศาลกำลังทำคำพิพากษา? นอกจากจะเป็นการ (เสือก) เข้าไปก้าวล่วงการทำงานของศาลในทางความคิดแล้ว เผลอๆ ท่านทนายของคู่ความ—ท่านก็อาจจะหยิบยก (พกพา) ไปใช้เป็นแนวทางในการต่อสู้คดีให้แก่ลูกความของท่าน--ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะปรากฏเป็น การตั้ง (และการนอน) รูปคดี—ทางนำสืบ (และทางนำสวน) พยาน--คำร้อง—คำขอ—คำแถลงการณ์ หรือแม้แต่ “อุทธรณ์—ฎีกา” ตลอดทั้งการซักถาม-ถามค้าน-ถามติงและถามตำ (ถามเข้าเนื้อพยานตัวเอง) ก็ตาม
...........หนักยิ่งไปกว่านั้น ท่านทนายของคู่ความ—ท่านอาจจะ...ถึงขั้นขอให้ศาล “หมายเรียก” เราไป--ในฐานะ “พยานความเห็น” ก็เป็นได้ นั่นก็อาจจะยิ่งทำให้สังคมเกิดความ “คลางแคลงใจ” หนักข้อเข้าไปอีกว่า “--เราคงจะได้รับผลประโยชน์หรือมีส่วนได้เสียในคดีนั้นอย่างแน่นอน??”
..........เข้าทำนองที่ภาษาดนตรีไทยท่านเรียกว่า –ลื่นไหลไปทั้ง “ลูกล้อ” และ “ลูกขัด” ยังกะ “เตี๊ยมกันมา??”---เจ้าข้าฯ เอ๊ย!!!!
..........นี่สมมติว่า--ถ้าบทความของเราตีพิมพ์เผยแพร่ในเว็บไซต์ทางวิชาการ—มิต้องเดือดร้อนท่านเจ้าของเว็บตัวจริง—จะต้องถูกหมายเรียกไปเป็นพยานศาล เพื่อยืนยันการเผยแพร่บทความ—ด้วยรึ ?????
..........ถ้าเป็นอย่างนั้น ผู้คนเขาอาจจะสงสัยเอาได้ว่า----โอ้หลั่นล้า!!!.....นี่พวกท่าน “ทำกันเป็นขบวนการ” เลยรึ ??????
..........โดยเฉพาะสมมติเอาว่า หาก “เทคนิค” ในการเขียนบทความ ของเรานั้น ใช้สำนวนการเขียนแบบ “อุทธรณ์” ยังไงยังงั้น!!—อย่างเช่น ตามปกติ—ถ้าเขียนตามรูปแบบ “อุทธรณ์” ก็จะเขียนว่า..... (การที่ศาลวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า...“จำเลยนี้โกงชาติ-โกงแผ่นดินได้อย่างแนบเนียน” นั้น จำเลยไม่เห็นพ้องด้วย) ---- แต่เวลาเขียนบทความ-เราก็ดัดแปลงไปว่า....(การที่ศาลวินิจฉัยเนื้อหาของคดีว่า...“จำเลยนี้โกงชาติ-โกงแผ่นดินได้อย่างแนบเนียน” นั้น คณะสองอากะละมัง (ใหญ่กว่าอาจานเล็กน้อย) คือนายนาคาและพ่อ ไม่เห็นพ้องด้วย)------ ดังนี้ เป็นต้น
..........แม้ว่าเราจะเปลี่ยนจากคำว่า ข้อเท็จจริง ไปเป็นคำว่า เนื้อหาของคดี (หรือหนังหา--กระดูกหาของคดี) ---ผู้คนเขาก็คงจะเข้าใจเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากว่า เนื้อหาของคดีนั้น--มันก็คือข้อเท็จจริงนั่นเอง เพราะการพิจารณา-พิพากษาคดีของศาลย่อมประกอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ในเมื่อเนื้อหาของคดีที่ผู้คนทั้งหลายเขาได้อ่านกันนั้น-มันไม่ใช่ ข้อกฎหมาย หรือที่ภาษาเก่าท่านเรียกว่า “ประเด็นหารือบท (กฎหมาย)” แล้วมันจะเป็นอะไรไปได้ล่ะ??---นอกจาก ข้อเท็จจริง????
..........การเขียน “บทความเชิงอุทธรณ์” เช่นนั้น “เป็นการเสี่ยงภัยอย่างยิ่ง” ต่อการที่จะถูกสังคม “ประทับตรา” เอาได้ว่า “เราทำตัวเป็นคู่ความเสียเอง?????” ---- ข้อหา (ทางสังคม) เช่นนี้--แม้ไม่หนักหนาถึงขั้นตาย-วายชีวาไปจากวงวิชาการ แต่ก็บาดเจ็บสาหัสไปอีกนานโขอยู่!!!!! เผลอๆ “รอยตรา” นั้นอาจจะทำให้เรากลายไปเป็นบุคคลที่สังคม “คลางแคลง” ในความเป็น “นักวิชาการจำแลง” ไปชั่วชีวิต --- ????
..........ก็แล้วหาก “นักวิชาการ” ซึ่งเป็น “คนนอกคดี” อย่างเราๆ—ไปวิจารณ์ “การรับฟังพยาน (ข้อเท็จจริง) ของศาล” โดยที่เราไม่ใช่คู่ความหรือทนายของคู่ความ--ไม่เคยอ่านสำนวนคดีของศาล--ไม่เคยรู้เลยว่าบรรยากาศการแสดงออกถึง “พฤติการณ์ของพยาน”แต่ละปาก ที่มาเบิกความในศาลแต่ละนัดนั้น--เป็นอย่างไร?—ศาลบันทึกถ้อยคำ-สำนวนและรายงานกระบวนพิจารณาคดีว่าอย่างไร?------พูดง่ายๆ ก็คือว่า เป็นการวิจารณ์แบบ “ตาบอดคลำช้าง” นั่นแหละ!!!!!
..........เช่นนี้—ก็เป็นเรื่องที่เราต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง???? แม้ว่าจะเป็นการวิจารณ์โดยสุจริต (แบบเราคิดเอาเอง) แต่ในทางสังคม—เราคงจะอธิบายความสุจริตให้ “ใสสะอาด” ได้ยาก?????
..........นั่นเพราะผู้คนในสังคม--เขาย่อมต้องสงสัยโดยมีเหตุอันสมควรว่า “.......เราไปแอบอ่านสำนวนของศาลตั้งแต่เมื่อไหร่?---จึงสามารถวิพากษ์วิจารณ์-การวินิจฉัยข้อเท็จจริงของศาลได้เป็นฉากๆ—ราวกับเป็นการเขียนอุทธรณ์แก้ต่างคดีให้กับคู่ความ???—หรือว่า “เรา (แอบ)เป็นที่ปรึกษากฎหมาย (ในทางลับ) ให้กับคู่ความ” อย่างนั้นหรือ???????
..........โดยความเป็นจริงแล้ว---ไม่ต้องแอบก็ได้—การเป็นที่ปรึกษากฎหมาย—ย่อมเป็นสัมมาชีพที่มีเกียรติและน่ายกย่อง????
..........บอกมาตรงๆ เลยว่า กระผมนายนาคา-เป็นที่ปรึกษากฎหมายให้กับจำเลย--แบบนี้สง่างามยิ่งนัก!!!! ดีกว่าจะประกาศตัวแบบ “เป็นกลางแต่เข้าทางฝ่ายจำเลย” ตลอดมา------จนกระทั่ง “ตัวเอง” นั่นแหละ—ที่เป็นคน (ชัก) นำ “ตัวเอง” เข้าไปสู่ “พงหนามแห่งความยุ่งยากของชีวิต”
..........จริงอยู่.....“ศาลไทย” ท่านไม่อ่อนไหวง่ายๆ กับเรื่องคดี “หมิ่นศาล” หร็อก!!! เพราะประเดี๋ยวผู้คนจะครหาเอาได้ว่าจะ “วิจารณ์คำพิพากษาของศาล” ไม่ได้หรืออย่างไรกัน ????????
...........ความจริงก็วิจารณ์ได้....โดยเฉพาะการวิจารณ์ “ข้อกฎหมาย” อันนี้สบายคล่องเลย!!! เพราะว่าเป็นการให้ความเห็นทางกฎหมายที่อาจจะแตกต่างจากศาลได้ ส่วนเหตุผลประกอบความเห็นทางกฎหมายนั้น ใน “ทางวิชาการ” จะถือว่าเป็นเครื่องบ่งบอกถึง “โลกทรรศน์” และ “ระดับภูมิปัญญา” ของผู้วิจารณ์!!!!!
...........ในทาง “ปฏิบัติการ” จะเป็นเครื่องบ่งบอกถึง “ความเป็นมืออาชีพ” หรือ “ความอ่อนหัด”—ไม่ประสี-ประสา ของผู้วิจารณ์--อย่างที่สำนวนพูดในวง “นิติสุรา” ของทนายไทย---พวกเรียกว่า “ความขี้เท่อ”
...........ตัวอย่างเช่นประโยคที่ว่า เฮ้ย!!! ไอ้นาค!!!..วันนี้เอ็งไปแสดงความขี้เท่อที่ศาลอาญามารึวะ?---พรุ่งนี้มหาวิทยาลัยไหนเขาเชิญเอ็งไปแสดงความขี้เท่ออีกล่ะวะ?---เอ็งแสดงความขี้เท่อมากี่ปีแล้ววะ?---เช่นนี้ เป็นต้น
...........ว่าแต่...การวิจารณ์นั้น....ต้องระวังอย่าไปใช้ถ้อยคำประเภทที่ “ลดค่า-ลดศักดิ์ศรีของความเป็นตุลาการหรือความเป็นมนุษย์” ซึ่งได้แก่ถ้อยคำดูหมิ่น—เหยียดหยาม—ใส่ร้าย-ป้ายสีทั้งหลายแหล่, อย่าไปใช้ข้อมูลที่ผู้วิจารณ์รู้อยู่แล้ว (หรือสมควรรู้อยู่แล้ว) ว่าเป็นเท็จ แล้วไอ้ที่เป็นเท็จนั้น—ก็ไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนเสียอีกด้วย????
...........ลองคิดดูทีว่า---ขนาดพวกเราเป็นราษฎรธรรมดาๆ—กฎหมายก็ยังให้ความคุ้มครองในส่วนที่เกี่ยวกับเกียรติยศ-ชื่อเสียง-------คนที่ทำหน้าที่ตัดสินคดี—กฎหมายก็ต้องให้ความคุ้มครองด้วยเช่นเดียวกัน!!!....ลองคิดแบบใจเขาใจเราบ้างก็จะเข้าใจได้ดี???........แล้วก็ล้างความคิด (ผิดๆ) ที่ว่า “ศาลวิจารณ์ไม่ได้” ออกจากหน่วยข้อมูลสมองให้หมดสิ้นเสีย!!!!
...........แต่ถ้าเป็นกรณี “สงสัยโดยมีเหตุอันสมควร” ถ้าปล่อยไว้จะทำให้ “สถาบันตุลาการด่างพร้อย”----โดยปกติศาลท่านก็จะมีเมตตาออก “หมายสอบถาม” หรือ “หมายเรียกไปเพื่อการสอบถาม” ให้เราไปชี้แจงที่ศาลก่อน แต่ถ้าศาลท่านถาม (แซวแบบเจ็บๆ) ว่า เราไปเกี่ยวข้องกับสำนวนคดีได้อย่างไร? ในฐานะอะไร? จึงสามารถ “เขียนบทความเชิงอุทธรณ์ (ในข้อเท็จจริง)” ได้เป็นประเด็นๆ ราวกับได้อ่านสำนวนคดีของศาลมาอย่างละเอียดลออเช่นนั้น......เราจะตอบศาลท่านว่าอย่างไรล่ะ?
..........ผมรู้มาจากการอ่านหนังสือพิมพ์—ดูโทรทัศน์—รับทราบมาจากการเสนอข่าวของสื่อ-งั้นรึ????
..........ศาลท่านก็คงจะยิ้มด้วยอาการสุภาพ แล้วคิดในใจว่า “สื่ออะไรหนอจึงสามารถนำเสนอได้ละเอียดยิบ—ราวกับ เป็นประจักษ์พยาน---เห็นมากับตา-ได้ยินมากับหู-------รู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในมูลคดีไปเสียทุกอย่าง??????”
..........แล้วผู้คนในสังคมก็อาจจะยิ่งตั้งข้อสงสัยหนักเข้าไปอีกว่า “สื่อเทวะ” ประเภทไหน(วะ)?? ถึงได้สามารถ “คัดสำเนา” คำเบิกความของพยานทุกปาก—หลักฐานทุกชิ้นจากสำนวนของศาล—มานำเสนอได้ขนาดนั้น—ขอให้ท่านอากะละมังนาคา(ใหญ่กว่าอาจานเล็กน้อย-โดยสภาพของภาชนะ—ขอย้ำ!!!! )-----ช่วยกรุณาชี้แจง-แถลงไขด้วย-----จะได้ไปหาอ่านบ้าง????-----จะว่ายังไงล่ะ????
..........ถ้าบอกว่า “อ่านจากคำพิพากษาฉบับเต็ม”---ผู้คนในสังคมก็อาจจะยิ่งเพิ่มพูนความสงสัยต่อไปอีกว่า ถ้างั้น—รู้ได้ยังไงว่า----ยังมีพยานหลักฐานในสำนวนบางอัน—ที่ศาลไม่ได้นำมาวินิจฉัย?????? ---จะจนแต้มก็ลูกนี้ ???????
..........นี่แหละ...ที่ผู้ใหญ่ท่านเตือนด้วยความเมตตาว่า “เด็กคนนี้” มีปัญหาเรื่อง “การครองตน” ต่อไปเกรงว่าจะหาทางออกจาก “พงหนามแห่งอัตตา” ไม่ได้?????
..........หรือจะอ้างว่า “ผมอ่อนด้อย—ผมอ่อนหัด—ผมไม่มีเชิงมวย—ผมรู้เท่าไม่ถึงการณ์—ผมบกพร่องโดยสุจริต????”
..........หนังสือพิมพ์หัวเขียว-หัวสีทั้งหลาย ก็คงจะพาดหัวตัวเป้ง---สื่อวิเคราะห์-วิจารณ์—สื่อเล่าข่าวทั้งหลาย--ก็คงจะนำไปขยายกันให้ลั่น-สนั่นเมืองว่า...ด็อกเตอร์นาคา--ยอมเอาหัวโขกพื้นธรณีหมื่นครั้งเพื่อขอขมาต่อศาล ในฐานอ่อนด้อย—อ่อนหัด—ไม่มีเชิงมวย—รู้เท่าไม่ถึงการณ์—บกพร่องโดยสุจริต???----เสียเกียรติภูมิด็อกเตอร์-อ็อง-ดรัว จนหมดสิ้น??—แถมจะสร้างรอยมลทินให้ด็อกเตอร์ฝรั่งเศสท่านอื่นๆ ไปเสียอีก????
.........หรือจะเลือกวิธี “คิดสั้นๆ” แบบว่า “ด่าศาล” แล้วหนีคดีไปกบดานในต่างประเทศ ต่อจากนั้นก็โฟนอ้า-โฟนหุบ-ผลุบๆ โผล่ๆ—สโลว์ความบ้าไปวันๆ-----รึว่าไง??????---แม่งวิจารณ์ไม่ได้??---แม่งไม่เป็นธรรม??---แม่งสองมาตรฐาน??
.........แล้วถ้าผู้คนในสังคม เขาพากันตั้งคำถามไว้เป็นข้อสังเกตว่า... “อากะละมังนาคา”---ท่านเคยเป็นทนายความ (มืออาชีพ) มั้ย? เคยว่าความมากี่คดี? รู้ไหมว่าขั้นตอน การทำงานของทนายความนั้นเป็นอย่างไร? มีความละเอียดลออเพียงใด? อย่างที่ภาษาทนายไทย-พวกเรามักเรียกกันว่า “เนียน” แค่ไหน? หรือว่า เคยรับราชการเป็นผู้พิพากษาสักครั้งมั้ยในชีวิต? รู้มั้ยว่า “ศาลมีวิธีพิจารณา-พิพากษาคดี—วิธีช่างน้ำหนักพยานหลักฐาน”----ตลอดจน----“มีวิธีทำคำพิพากษาอย่างไร?
..........รู้มั้ยว่า วิธีการทำคำพิพากษานั้น ศาลท่านจะวินิจฉัยพยานหลักฐานเฉพาะแต่ที่ “เป็นประเด็นโดยตรง” และ “เป็นสาระสำคัญแก่คดี” เท่านั้น ส่วนพยานหลักฐานอื่นที่—ถึงแม้นำมาวินิจฉัยก็จะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนไป--เช่นนี้ศาลจะไม่นำมาวินิจฉัย ถ้าขืนนำพยานหลักฐานทั้งหมดในสำนวน-มาวินิจฉัย ก็จะทำให้คำพิพากษาฟั่นเฝือ—กลายเป็น “วัวพันหลัก”---ขาดความน่าเชื่อถือไป!!!!!!-----ท่านผู้เขียนคำพิพากษาก็จะถูกปรามาสว่า--“เขียนไม่เป็น(สับปะรด-พุทรา-น้อยหน่าและลำไย)”---เพื่อนร่วมองค์คณะที่ไหนเลยจะยอมลงลายมือชื่อในคำพิพากษาร่วมกับท่าน???........เคยรู้มั้ยอย่างนี้?????
..........หนังสือ “คู่มือตุลาการ”น่ะ!! เคยอ่านสักครั้งไหม๊ในชีวิต?????
..........ถ้าไม่รู้....ไม่เห็น...ไม่ทราบล่ะก้อ.....หึ-หึ....ยังไม่ทันถึงสามเพลงก็ตกม้าตาย—ตามสำนวนสามกั๊ก (สุรา) !!!!
..........ถ้าเราเคร่งครัดใน “วัตรปฏิบัติ” ที่ “นิติปรมาจารย์” ท่านสอนสั่งไว้ใน “หลักวิชาชีพของนักกฎหมาย”—ถ้าเราเดินตามรอย หลักการแบ่งงานกันทำในสังคม (La division sociale du travail) ของท่าน Émile DURKHEIM โดยให้เกียรตินักกฎหมายท่านอื่นๆ ที่อยู่ในบทบาท-สถานภาพที่แตกต่างกัน-----ไม่เกินก้ำ-ล้ำเส้นอำนาจหน้าที่ของท่านอื่นๆ จนดูน่าเกลียด(น่าเต๊ะและน่าถีบ) ไม่ทำหน้าที่ “ตัวแสดงทางกฎหมาย (Les actes juridiques)” จนเกินเลย (บทบาท) ไปถึงขั้น “กระทำตนประหนึ่งว่าเป็นตัวความเสียเอง”-----ความยุ่งยากต่างๆ ในชีวิตของตนจะเกิดขึ้นหรือไม่???? เราจะมีปัญหาเรื่องการครองตน—จนผู้คนเขา “คลางแคลง” ในบทบาทหรือไม่????
..........เหิมหึก-คึกคะนอง-บ้าระห่ำ-ไม่รู้ต่ำรู้สูง เหมือนเด็กทารกที่เวลาแสดงอาการอย่างใดอย่างหนึ่งออกไป แล้วพวกผู้ใหญ่หัวเราะชอบใจ----สัญชาตญาณการเรียนรู้แบบทารกๆ เลยเข้าใจว่า เป็นสิ่งที่ดี-เป็นสิ่งที่ถูกต้อง—ที่ไหนได้กำลังยัดขี้เข้าปาก—แสนทุเรศ-ทุรังสิ้นดี !!!!!!!
..........ภาษาในทาง “นิติสุรา” พวกเราเรียกกันว่า “ไอ้พวกนักเที่ยวรุ่นน้อง” --- “ไอ้พวกไม่รู้จักตาย” !!!!!!!!!!!
..........ที่ผมว่ามาทั้งหมดนี่—เป็น “หลักการครองตนของนักกฎหมาย” ที่พ่อเคยสอนผมว่า.....บรรพตุลาการท่านได้สอนสั่ง-ปลูกฝัง-สืบต่อกันมาเป็นรุ่นๆ---ใช่ไหมครับ???????
...........มันก็จริงอย่างแกว่าแหละ--ไอ้นาค!!....แต่ทฤษฎีกฎหมายในโลกของความเป็นจริงที่แกเขียนนั่นแหละ พ่อว่า.......มันทำให้คนเขาสามารถวินิจฉัยปัญหาได้เองโดยอัตโนมัติ.....โดยที่ไม่ต้องรอฟังแกสาธยายเลยสักนิด!!!!!.......
..........ไม่ใช่แค่นั้นนะนาค!!......ไอ้โฟนหุบ-โฟนอ้า-เที่ยวล่าสุดนี่........เล่นหยิบเอา “วรรคทอง” ของแกไปตีกินหน้าตาเฉย!!!
..........ยุบสภา—ร่างรัฐธรรมนูญใหม่---มากันเป็นกระบิดกระบวน—ชวนกันมาเป็นคุ้ง-เป็นแควเชียว??---ท่าจะหนาวเหน็บกับระบบตรวจสอบอำนาจตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ?????
..........มีคนเขียนบทให้ล่ะมั้ง!!!.....ช่างเหอะน่าพ่อ...ไอ้ที่ผมพูดไปน่ะมันก็แค่หนึ่งในร้อยส่วน...คนเราถ้า “ความเห็นแก่ตัว” มันบดบัง “ปัญญา” ซะแล้ว....จะหยิบฉวยไปใช้ยังงั้ย!!—มันก็ผิดแผกไปทั้งเพน่ะแหละ!!...มีแต่จะทำให้คนฟังเขาเสื่อมศรัทธาหนักเข้าไปอีกล่ะไม่ว่า????
..........เว้นแต่...ถ้าข้อเขียนของผมทำให้ได้อนุสสติ-มองเห็นธรรมชาติของโลกตามความเป็นจริง—เกิดปัญญาญาณตามมา—ก็จะเป็นมหากุศลอันยิ่งใหญ่แก่เขาผู้นั้น!!!
..........ที่ผมเขียนๆ อยู่นี่ก็ด้วยความปรารถนา (ดี) อย่างแรงกล้า--อยากให้เขา “คิดได้ด้วยตนเอง” แล้วจะได้กลับมาใช้ชีวิตแบบปกติสุขเหมือนคนทั่วๆ ไป?????-----ไม่รู้ว่าจะคิดได้หรือเปล่าว่า “ผมเป็นกัลยาณมิตรที่แท้จริง” แนะนำให้กลับมาอยู่ใน “คลองแห่งความเป็นจริงของนิติรัฐ” ไม่เคยพาเข้ารก—เข้าพง แม้สักนิด?????????
..........เคยได้ยินคำพระท่านว่ามั้ย...เกิดจริง-ตายจริง-อยู่ไม่จริง----ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย---แต่คนเราตายเพราะหนีความจริงไม่พ้น----เพราะฉะนั้นอย่าหนีความจริงเลย---หนียังไงก็ไม่พ้นหรอก????
...........สู้รีบๆ กลับมาอยู่กับความเป็นจริงดีกว่า??? อยู่ในโลกของความบ้ามันหาความสุขไม่ได้หรอก—มีแต่จะร้อน-ทุรนทุรายจนวิมานไม่พอดิ้น?????? ไม่เชื่อลองสลัดความกังวลต่อโลภ-โกรธ-หลง---ทิ้งไป แล้วหันมาอยู่กับความจริงสักห้านาทีสิ จะรู้ว่าความสุขมันเย็นสบายอย่างนี้เอง------รู้อย่างนี้ไม่น่าหนีความจริงเลย!!!!!!!!
..........พ่อก็รู้นี่ครับว่า คนอย่างไอ้นาคนี่ เวลาแนะนำใครก็ต้องถือหลัก “ความถูกต้อง” แต่จะถูกใจหรือไม่นั้น “ไม่สำคัญเลย” ประเดี๋ยวจะมาเสียใจทีหลังว่า “สร้างบาปทางวิชาการ” อีกแล้ว ????????
..........อีกอย่างหนึ่ง—ผมก็เป็นนักมนุษย์นิยมนะพ่อ!!!! คนบางคนนี่ ไม่ว่าจะชั่วช้าสามานย์แค่ไหน แต่ก็เป็นมนุษย์ เมื่อเป็นมนุษย์ก็จะต้องได้รับการปฏิบัติจากสังคมนิติรัฐ “เยี่ยงมนุษย์” เว้นแต่ว่า “จะไม่ยอมรับหลักนิติรัฐ” กรณีนี้เป็นปัญหาว่า ตัวเขาเองยังประสงค์จะได้รับการปฏิบัติเยี่ยงมนุษย์อยู่อีกหรือไม่??? ในเมื่อเขาไม่เคยคิดจะปฏิบัติต่อผู้อื่นเยี่ยงมนุษย์เลย ??????
..........เออ...พูดถึงเรื่องนี้ ทำให้พ่อนึกถึง “รักเกียรติ” ขึ้นมาได้ พ่อว่าตอนนี้เขาจะช่วยประเทศชาติได้มากเลย แล้วจะเป็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่อีกด้วย เพียงแค่สื่อของรัฐเชิญให้เขามาเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณา-ประชาสัมพันธ์ เรื่องความซื่อสัตย์และเคารพกฎหมาย พูดเพียงสั้นๆ ว่า “.......ชีวิตของผมเคยเป็นทุกข์อย่างหนัก.....แต่วันนี้ผมพบกับความสุขอย่างแท้จริงแล้วเพราะผมไม่หนีความจริง.....”----งานนี้กระทรวงยุติธรรมควรจะเป็นเจ้าภาพจัดทำด้วยซ้ำไป!!!!!!
..........ดีครับพ่อ....แต่เขาอาจจะทำแล้วก็ได้นะ—ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ล่ะก้อ.......นอกจากจะให้คติชีวิตแก่ราษฎรไทยโดยทั่วไปแล้ว พวกเราทั้งประเทศก็พร้อมที่จะให้อภัยคนที่เคารพกฎหมายและสามารถกลับตัวได้ในที่สุด---พื้นฐานสังคมไทยเดิมๆ ก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีหรอกที่จะไปนิยมการใช้ความรุนแรงเข้าห้ำหั่นกัน!!!!!!
..........แล้วคนทั้งประเทศก็จะยิ่งเพิ่มพูนความรักและให้การยกย่อง “รักเกียรติ” อีกด้วยนา !!!....สังเกตให้ดีจะรู้ว่า “รักเกียรติ” นี่ถูกตัดสินจำคุกนานกว่า “คนที่หลบหนีคุกไปอยู่ต่างประเทศในตอนนี้เสียอีก”----ไม่เห็น “รักเกียรติ” บ่นสักคำว่า “สองมาตรฐาน?????”
..........ว่าแต่....อีกเก้าสิบเก้าส่วนที่แกว่า..........มันคืออะไรว่ะนาค??????
..........อยากรู้จริงอ่ะพ่อ....ก็เป็นต้นว่า....ผมสามารถเขียนอุทธรณ์ “ข้อกฎหมาย” ให้(แปลงร่าง) กลายเป็น “ข้อเท็จจริง (จำแลง)” ได้.........แล้วก็เขียนอุทธรณ์ “ข้อเท็จจริง” ให้ (แปลงร่าง) กลายเป็น “ข้อกฎหมาย (จำแลง)” ได้น่ะสิพ่อจ๋า???????.......ก็แค่ให้ศาลมีคำสั่ง “รับเป็นอุทธรณ์”....พอได้เบิกค่าทำอุทธรณ์นะพ่อ......หลังจากนั้นศาลจะสั่ง---“ยก-ยืน-คืน-กลับ-แก้”-อุทธรณ์----ยังไงนี่..ก็แล้วแต่กรรมของสัตว์โลกเถอะ!!!!!!!!
.........เฮ้ย!!!....ไอ้รากไม้ (ร้ายมาก)!!!....ไหนบอกว่ามีมารยาท-มีจรรยาบรรณยังไงล่ะวะ--ไอ้นาค????? (.....พ่อคว้าไม้เท้าจะเคาะหัวผม.....)
.........พูดเล่นน่ะพ่อ...ผมไม่ทำยังงั้นหรอก.....ความสามารถน่ะมันพอมี-แต่ความสามานย์นั้นหาไม่ได้แม้ปลายขี้เล็บ??
..........ผมลูกหม้อตุลาการเก่านะพ่อ!!!!....อีกอย่างหนึ่งเราพ่อ-ลูกก็เป็นทนายฝรั่ง...แม้จะมีใบอนุญาตว่าความในศาลไทย-ก็คงไม่คิดว่าจะกลับไปแย่งคดีความของเพื่อนฝูงหรอก!!!—มันผิดมารยาททนายความใช่มั้ยพ่อ???
..........แต่.....ขึ้นชื่อว่าคนไทยอย่างพวกเรา-ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน....ตัวก็ยังเป็นไทยและใจจะไม่เป็นทาสอย่างเด็ดขาด........ไม่ว่าจะเป็น--“ทาสน้ำเงิน”--“ทาสน้ำใจ”--“ทาสทวงบุญคุณ” หรือแม้แต่ “ทาสทางความคิด” ก็ตาม?????? สำนึกถูกผิด-ดีชั่วนี่—มันไม่ต้องให้ใครมาสอนหรอกจริงมั้ยพ่อ???
..........เป็นห่วงก็แต่เพื่อนๆ---อาจาน-อาชาม-อากาลามัง-อาถัง-อาปี๊บ-อากระป๋อง---ทั้งหลายนั่นแหละ!!!....กลัวว่าจะหาทางออกจาก “พงหนาม” แห่ง “อัตตา” ไม่ได้........ป่านนี้ไม่รู้ว่าพากัน---ทิ้งพยศ-ลดมานะ-ละทิฐิ—แล้วหันมาอยู่ในโลกของความเป็นจริง-รู้จักหาความสุขแบบง่ายๆ--กันได้บ้างหรือยัง??????
..........ไอ้ความอยากได้-อยากมี-อยากเป็น-อยากเด่น-อยากดังนี่ ไม่รู้ว่าบางเบาลงไปได้บ้างหรือเปล่า?? แล้วก็.....ถ้อยแถลงแก้ตัวทั้งหลายแหล่นั่น---ได้แต่ภาวนาให้ผู้คนทั้งหลายเชื่อถือก็แล้วกันนะพ่อนะ!!!
..........พ่อก็หวังอย่างนั้น...ว่าแต่แกจำได้ไหม๊ที่พ่อสอนแกสมัยเด็กๆว่า....เห็นผิดเป็นชอบครั้งแรก-เขาเรียก“พลาด”---ถ้าขืนทำอีกเป็นครั้งที่สอง--เขาเรียก “ผิด”, ถ้าทำซ้ำครั้งที่สามเขาเรียก--“โง่”, หากดื้อดึงทำครั้งที่สี่อีก—เขาเรียก--“งมงาย”, ตะแบงไปอีกครั้งที่ห้าและต่อๆไปอย่างนี้เขาเรียก------ “ชั่วช้า-สามานย์”.........
...........จำได้แม่นเลยแหละ!!! ผมยังเคยแย้งพ่อเลยว่า ความจริงมันน่าจะเรียกว่า “ชั่วช้าสามานย์” มาตั้งแต่ครั้งที่สามแล้วล่ะ!!!!!!!!
...........ว่าแต่.....ผู้อ่านจำนวนมาก—อยากให้แกนำหลักวิชาการมาอธิบายเรื่องคดียึดทรัพย์นะ!! แกจะไม่สนองพระเดชพระคุณซะหน่อยรึวะ??
............คู่ความเขาก็ยื่นอุทธรณ์ไปแล้วนี่....?????.......รึไงนาค??????
...........คดียังไม่ถึงที่สุดครับพ่อ!!!......แม้ว่าคู่ความยื่นอุทธรณ์แล้ว แต่ศาลยังไม่สั่งในเนื้อหาของอุทธรณ์?? ในทางเทคนิคคู่ความก็จะสามารถยื่นคำแถลงการณ์ประกอบอุทธรณ์ได้อีก แล้วถ้าแถลงการณ์ประกอบอุทธรณ์นั้นเกิดไปอ้างบทความของผม แล้วให้ศาลหมายเรียกผมไปให้ความเห็น---นั่นแล้ว--นิติวิพากษ์—จะพาให้เกิดวิบาก-ระทม ความยุ่งยากก็จะเกิดกับชีวิตล่ะทีนี้???????????
...........แม้ว่า.....”พยานความเห็น” นั้น ศาลจะให้น้ำหนักในการรับฟังน้อยมาก—แบบริบหรี่ก็ตาม !!!!!!!!
...........และแม้ว่า อุทธรณ์นั้นจะต้องห้ามตามกฎหมาย หรือไม่มีสาระควรแก่การวินิจฉัยก็ตาม ????
...........ผมก็คงกลายเป็นบุคคลที่สังคม “คลางแคลง” ไปอีกนาน ???????..............................................
กราบคารวะท่านผู้อ่านที่เคารพอย่างสูง เนื่องในวาระสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ผมจึงขออนุญาต “เปิดประเด็น” เป็นบรรยากาศในโลกของ “หัสนิยาย” แบบสบายๆ—สไตล์ “สัพเพเหระคดี” ของท่านครู “โก้ บางกอก”—ผู้ซึ่งกระทำความผิดตาม “ประมวลกฎหมายปัญญา” อย่างร้ายแรง--ฐานทำให้ผม “เสพติดการอ่านหนังสือ” มาตั้งแต่ก่อนวัยแตกพาน—ตามสมการต่อไปนี้
นิยาย (100 ส่วน) = เค้าโครงเรื่องจริง (10 ส่วน) + เรื่องแต่ง (90 ส่วน)
หากท่านผู้อ่านได้รับความรู้และอารมณ์ขัน (แบบคันๆ) ที่แฝงอยู่ในสำนวนแบบ “นิติหัสนิยาย” ดังกล่าว ผมก็ขอยกคุณความดี บรรดามีทั้งหมด-ทั้งสิ้น ให้แก่ท่านครูวิลาศ มณีวัตร และท่านครูอบ ไชยวสุ--ผู้ที่ผมลอกเลียนแบบ “สำนวน” และ “กลวิธี” มานำเสนอแก่ท่านทั้งหลายในคราวนี้
ผมอยากเห็นสังคมไทยของเราเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ อยากเห็นพวกเราคนไทยทุกคนอ่านหนังสือกันให้มากขึ้น ดังนั้นในช่วงงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาตินี้-----ผมขอเชิญทุกท่านไปเลือกซื้อหามาอ่านกันตามอัธยาศัย!!!!
ถ้าอยากได้ชื่อว่า “เป็นผู้รู้จริง”--ในเรื่องความเห็นที่ “เป็นปฏิภาคผกผัน” ระหว่างฝ่ายเหลืองและฝ่ายแดงอย่างแจ้งชัด!!!....ต้องอ่านหนังสือ “วิวาทะกรรมเหลือง-แดง” ซึ่งท่านสุรวิชช์ วีรวรรณ ได้ “บรรจงรจนา” จาก “ภูมิปัญญาอันล้ำลึก” --- อ่านแล้วจะมีจิตสำนึกเป็น “สัมมาทิฐิ”---รับประกันคำนิยมโดย ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ----รีบไปเสาะหามาอ่าน แล้วท่านจะรู้ว่า “ความเข้าใจ—ทำให้เกิดความมั่นใจ” และ “ปัญญาประดุจดังอาวุธ” นั้น สามารถเป็นจริงได้ด้วยหนังสือเล่มนี้อย่างแน่นอน!!!!!!!!!!
..........เฮ้ย-นาค!--ได้ผลว่ะ! –พ่อได้ดูความคิดเห็นของผู้อ่านใน “ผู้จัดการออนไลน์” แล้ว—สรุปว่าบทความที่แกเขียนมาสามตอนนี่—คนเขาเข้าใจกันทั่วแล้ว...!!!!!
..........เข้าใจเรื่องอะไรครับพ่อ?????—ผมย้อนถาม
..........ก็เรื่องคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองน่ะสิ !!! จะอะไรเสียอีก??????
..........ผมยังไม่เคยพูดถึงเรื่องนั้นเลยนะพ่อ....เสียมารยาท-เสียจรรยาบรรณของผมหมด....พ่อเป็นคนสอนผมเองไม่ใช่รึว่า- ในฐานะนักวิชาการทางกฎหมาย—อย่าไปให้ความเห็นระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุด? --- ประเดี๋ยวความยุ่งยากจะย้อนเข้าตัว !!!!!!!
..........ผมไม่ใช่นักกฎหมายสำนัก “วิบากนิยม” นะครับ!!! จะได้ชมชอบการ (ลัก) พาตัวเองเข้าไปสู่ความยุ่งยาก—โดยถือว่าเป็นที่สุดแห่งความสุข.......ประเภทไม่มีเหา—หาเหาใส่หัว--ไม่มีเรื่องหาเรื่องใส่ตัว?????
..........โดยเฉพาะถ้าเรื่องนั้นเป็นเพียง “ผลประโยชน์ส่วนตัวของคนเพียงคนเดียว”----ไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรต่อประเทศชาติและประชาชน??
..........โดยเฉพาะถ้า “เหา” ตัวนั้น นอกจากจะไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมแล้ว ยังเป็นปฏิปักษ์ต่อผลประโยชน์สาธารณะหรือผลประโยชน์ของมหาชน อย่างร้ายแรงอีกด้วย?????
..........ผมยอมโกนหัว ดีกว่าที่จะรอให้เหา เข้ามาไชชอนชีวิตความเป็นอยู่โดยปกติสุข ?????????
..........แล้วผมก็ยึดหลักธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เวลาจะพูด-จะกล่าวอะไรออกไป ก็ต้องถือหลักว่า ความเท็จนั้นไม่พูดเลย ส่วนความจริงนั้นถ้าไม่เป็นประโยชน์ก็จะไม่พูด แม้แต่ความจริงที่เป็นประโยชน์--ก็จะต้องดูความเหมาะสมของกาลเวลาในการกล่าว
..........โดยเฉพาะช่วงเทศกาลที่ศาลกำลังทำคำพิพากษา? นอกจากจะเป็นการ (เสือก) เข้าไปก้าวล่วงการทำงานของศาลในทางความคิดแล้ว เผลอๆ ท่านทนายของคู่ความ—ท่านก็อาจจะหยิบยก (พกพา) ไปใช้เป็นแนวทางในการต่อสู้คดีให้แก่ลูกความของท่าน--ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะปรากฏเป็น การตั้ง (และการนอน) รูปคดี—ทางนำสืบ (และทางนำสวน) พยาน--คำร้อง—คำขอ—คำแถลงการณ์ หรือแม้แต่ “อุทธรณ์—ฎีกา” ตลอดทั้งการซักถาม-ถามค้าน-ถามติงและถามตำ (ถามเข้าเนื้อพยานตัวเอง) ก็ตาม
...........หนักยิ่งไปกว่านั้น ท่านทนายของคู่ความ—ท่านอาจจะ...ถึงขั้นขอให้ศาล “หมายเรียก” เราไป--ในฐานะ “พยานความเห็น” ก็เป็นได้ นั่นก็อาจจะยิ่งทำให้สังคมเกิดความ “คลางแคลงใจ” หนักข้อเข้าไปอีกว่า “--เราคงจะได้รับผลประโยชน์หรือมีส่วนได้เสียในคดีนั้นอย่างแน่นอน??”
..........เข้าทำนองที่ภาษาดนตรีไทยท่านเรียกว่า –ลื่นไหลไปทั้ง “ลูกล้อ” และ “ลูกขัด” ยังกะ “เตี๊ยมกันมา??”---เจ้าข้าฯ เอ๊ย!!!!
..........นี่สมมติว่า--ถ้าบทความของเราตีพิมพ์เผยแพร่ในเว็บไซต์ทางวิชาการ—มิต้องเดือดร้อนท่านเจ้าของเว็บตัวจริง—จะต้องถูกหมายเรียกไปเป็นพยานศาล เพื่อยืนยันการเผยแพร่บทความ—ด้วยรึ ?????
..........ถ้าเป็นอย่างนั้น ผู้คนเขาอาจจะสงสัยเอาได้ว่า----โอ้หลั่นล้า!!!.....นี่พวกท่าน “ทำกันเป็นขบวนการ” เลยรึ ??????
..........โดยเฉพาะสมมติเอาว่า หาก “เทคนิค” ในการเขียนบทความ ของเรานั้น ใช้สำนวนการเขียนแบบ “อุทธรณ์” ยังไงยังงั้น!!—อย่างเช่น ตามปกติ—ถ้าเขียนตามรูปแบบ “อุทธรณ์” ก็จะเขียนว่า..... (การที่ศาลวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า...“จำเลยนี้โกงชาติ-โกงแผ่นดินได้อย่างแนบเนียน” นั้น จำเลยไม่เห็นพ้องด้วย) ---- แต่เวลาเขียนบทความ-เราก็ดัดแปลงไปว่า....(การที่ศาลวินิจฉัยเนื้อหาของคดีว่า...“จำเลยนี้โกงชาติ-โกงแผ่นดินได้อย่างแนบเนียน” นั้น คณะสองอากะละมัง (ใหญ่กว่าอาจานเล็กน้อย) คือนายนาคาและพ่อ ไม่เห็นพ้องด้วย)------ ดังนี้ เป็นต้น
..........แม้ว่าเราจะเปลี่ยนจากคำว่า ข้อเท็จจริง ไปเป็นคำว่า เนื้อหาของคดี (หรือหนังหา--กระดูกหาของคดี) ---ผู้คนเขาก็คงจะเข้าใจเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากว่า เนื้อหาของคดีนั้น--มันก็คือข้อเท็จจริงนั่นเอง เพราะการพิจารณา-พิพากษาคดีของศาลย่อมประกอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ในเมื่อเนื้อหาของคดีที่ผู้คนทั้งหลายเขาได้อ่านกันนั้น-มันไม่ใช่ ข้อกฎหมาย หรือที่ภาษาเก่าท่านเรียกว่า “ประเด็นหารือบท (กฎหมาย)” แล้วมันจะเป็นอะไรไปได้ล่ะ??---นอกจาก ข้อเท็จจริง????
..........การเขียน “บทความเชิงอุทธรณ์” เช่นนั้น “เป็นการเสี่ยงภัยอย่างยิ่ง” ต่อการที่จะถูกสังคม “ประทับตรา” เอาได้ว่า “เราทำตัวเป็นคู่ความเสียเอง?????” ---- ข้อหา (ทางสังคม) เช่นนี้--แม้ไม่หนักหนาถึงขั้นตาย-วายชีวาไปจากวงวิชาการ แต่ก็บาดเจ็บสาหัสไปอีกนานโขอยู่!!!!! เผลอๆ “รอยตรา” นั้นอาจจะทำให้เรากลายไปเป็นบุคคลที่สังคม “คลางแคลง” ในความเป็น “นักวิชาการจำแลง” ไปชั่วชีวิต --- ????
..........ก็แล้วหาก “นักวิชาการ” ซึ่งเป็น “คนนอกคดี” อย่างเราๆ—ไปวิจารณ์ “การรับฟังพยาน (ข้อเท็จจริง) ของศาล” โดยที่เราไม่ใช่คู่ความหรือทนายของคู่ความ--ไม่เคยอ่านสำนวนคดีของศาล--ไม่เคยรู้เลยว่าบรรยากาศการแสดงออกถึง “พฤติการณ์ของพยาน”แต่ละปาก ที่มาเบิกความในศาลแต่ละนัดนั้น--เป็นอย่างไร?—ศาลบันทึกถ้อยคำ-สำนวนและรายงานกระบวนพิจารณาคดีว่าอย่างไร?------พูดง่ายๆ ก็คือว่า เป็นการวิจารณ์แบบ “ตาบอดคลำช้าง” นั่นแหละ!!!!!
..........เช่นนี้—ก็เป็นเรื่องที่เราต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง???? แม้ว่าจะเป็นการวิจารณ์โดยสุจริต (แบบเราคิดเอาเอง) แต่ในทางสังคม—เราคงจะอธิบายความสุจริตให้ “ใสสะอาด” ได้ยาก?????
..........นั่นเพราะผู้คนในสังคม--เขาย่อมต้องสงสัยโดยมีเหตุอันสมควรว่า “.......เราไปแอบอ่านสำนวนของศาลตั้งแต่เมื่อไหร่?---จึงสามารถวิพากษ์วิจารณ์-การวินิจฉัยข้อเท็จจริงของศาลได้เป็นฉากๆ—ราวกับเป็นการเขียนอุทธรณ์แก้ต่างคดีให้กับคู่ความ???—หรือว่า “เรา (แอบ)เป็นที่ปรึกษากฎหมาย (ในทางลับ) ให้กับคู่ความ” อย่างนั้นหรือ???????
..........โดยความเป็นจริงแล้ว---ไม่ต้องแอบก็ได้—การเป็นที่ปรึกษากฎหมาย—ย่อมเป็นสัมมาชีพที่มีเกียรติและน่ายกย่อง????
..........บอกมาตรงๆ เลยว่า กระผมนายนาคา-เป็นที่ปรึกษากฎหมายให้กับจำเลย--แบบนี้สง่างามยิ่งนัก!!!! ดีกว่าจะประกาศตัวแบบ “เป็นกลางแต่เข้าทางฝ่ายจำเลย” ตลอดมา------จนกระทั่ง “ตัวเอง” นั่นแหละ—ที่เป็นคน (ชัก) นำ “ตัวเอง” เข้าไปสู่ “พงหนามแห่งความยุ่งยากของชีวิต”
..........จริงอยู่.....“ศาลไทย” ท่านไม่อ่อนไหวง่ายๆ กับเรื่องคดี “หมิ่นศาล” หร็อก!!! เพราะประเดี๋ยวผู้คนจะครหาเอาได้ว่าจะ “วิจารณ์คำพิพากษาของศาล” ไม่ได้หรืออย่างไรกัน ????????
...........ความจริงก็วิจารณ์ได้....โดยเฉพาะการวิจารณ์ “ข้อกฎหมาย” อันนี้สบายคล่องเลย!!! เพราะว่าเป็นการให้ความเห็นทางกฎหมายที่อาจจะแตกต่างจากศาลได้ ส่วนเหตุผลประกอบความเห็นทางกฎหมายนั้น ใน “ทางวิชาการ” จะถือว่าเป็นเครื่องบ่งบอกถึง “โลกทรรศน์” และ “ระดับภูมิปัญญา” ของผู้วิจารณ์!!!!!
...........ในทาง “ปฏิบัติการ” จะเป็นเครื่องบ่งบอกถึง “ความเป็นมืออาชีพ” หรือ “ความอ่อนหัด”—ไม่ประสี-ประสา ของผู้วิจารณ์--อย่างที่สำนวนพูดในวง “นิติสุรา” ของทนายไทย---พวกเรียกว่า “ความขี้เท่อ”
...........ตัวอย่างเช่นประโยคที่ว่า เฮ้ย!!! ไอ้นาค!!!..วันนี้เอ็งไปแสดงความขี้เท่อที่ศาลอาญามารึวะ?---พรุ่งนี้มหาวิทยาลัยไหนเขาเชิญเอ็งไปแสดงความขี้เท่ออีกล่ะวะ?---เอ็งแสดงความขี้เท่อมากี่ปีแล้ววะ?---เช่นนี้ เป็นต้น
...........ว่าแต่...การวิจารณ์นั้น....ต้องระวังอย่าไปใช้ถ้อยคำประเภทที่ “ลดค่า-ลดศักดิ์ศรีของความเป็นตุลาการหรือความเป็นมนุษย์” ซึ่งได้แก่ถ้อยคำดูหมิ่น—เหยียดหยาม—ใส่ร้าย-ป้ายสีทั้งหลายแหล่, อย่าไปใช้ข้อมูลที่ผู้วิจารณ์รู้อยู่แล้ว (หรือสมควรรู้อยู่แล้ว) ว่าเป็นเท็จ แล้วไอ้ที่เป็นเท็จนั้น—ก็ไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนเสียอีกด้วย????
...........ลองคิดดูทีว่า---ขนาดพวกเราเป็นราษฎรธรรมดาๆ—กฎหมายก็ยังให้ความคุ้มครองในส่วนที่เกี่ยวกับเกียรติยศ-ชื่อเสียง-------คนที่ทำหน้าที่ตัดสินคดี—กฎหมายก็ต้องให้ความคุ้มครองด้วยเช่นเดียวกัน!!!....ลองคิดแบบใจเขาใจเราบ้างก็จะเข้าใจได้ดี???........แล้วก็ล้างความคิด (ผิดๆ) ที่ว่า “ศาลวิจารณ์ไม่ได้” ออกจากหน่วยข้อมูลสมองให้หมดสิ้นเสีย!!!!
...........แต่ถ้าเป็นกรณี “สงสัยโดยมีเหตุอันสมควร” ถ้าปล่อยไว้จะทำให้ “สถาบันตุลาการด่างพร้อย”----โดยปกติศาลท่านก็จะมีเมตตาออก “หมายสอบถาม” หรือ “หมายเรียกไปเพื่อการสอบถาม” ให้เราไปชี้แจงที่ศาลก่อน แต่ถ้าศาลท่านถาม (แซวแบบเจ็บๆ) ว่า เราไปเกี่ยวข้องกับสำนวนคดีได้อย่างไร? ในฐานะอะไร? จึงสามารถ “เขียนบทความเชิงอุทธรณ์ (ในข้อเท็จจริง)” ได้เป็นประเด็นๆ ราวกับได้อ่านสำนวนคดีของศาลมาอย่างละเอียดลออเช่นนั้น......เราจะตอบศาลท่านว่าอย่างไรล่ะ?
..........ผมรู้มาจากการอ่านหนังสือพิมพ์—ดูโทรทัศน์—รับทราบมาจากการเสนอข่าวของสื่อ-งั้นรึ????
..........ศาลท่านก็คงจะยิ้มด้วยอาการสุภาพ แล้วคิดในใจว่า “สื่ออะไรหนอจึงสามารถนำเสนอได้ละเอียดยิบ—ราวกับ เป็นประจักษ์พยาน---เห็นมากับตา-ได้ยินมากับหู-------รู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในมูลคดีไปเสียทุกอย่าง??????”
..........แล้วผู้คนในสังคมก็อาจจะยิ่งตั้งข้อสงสัยหนักเข้าไปอีกว่า “สื่อเทวะ” ประเภทไหน(วะ)?? ถึงได้สามารถ “คัดสำเนา” คำเบิกความของพยานทุกปาก—หลักฐานทุกชิ้นจากสำนวนของศาล—มานำเสนอได้ขนาดนั้น—ขอให้ท่านอากะละมังนาคา(ใหญ่กว่าอาจานเล็กน้อย-โดยสภาพของภาชนะ—ขอย้ำ!!!! )-----ช่วยกรุณาชี้แจง-แถลงไขด้วย-----จะได้ไปหาอ่านบ้าง????-----จะว่ายังไงล่ะ????
..........ถ้าบอกว่า “อ่านจากคำพิพากษาฉบับเต็ม”---ผู้คนในสังคมก็อาจจะยิ่งเพิ่มพูนความสงสัยต่อไปอีกว่า ถ้างั้น—รู้ได้ยังไงว่า----ยังมีพยานหลักฐานในสำนวนบางอัน—ที่ศาลไม่ได้นำมาวินิจฉัย?????? ---จะจนแต้มก็ลูกนี้ ???????
..........นี่แหละ...ที่ผู้ใหญ่ท่านเตือนด้วยความเมตตาว่า “เด็กคนนี้” มีปัญหาเรื่อง “การครองตน” ต่อไปเกรงว่าจะหาทางออกจาก “พงหนามแห่งอัตตา” ไม่ได้?????
..........หรือจะอ้างว่า “ผมอ่อนด้อย—ผมอ่อนหัด—ผมไม่มีเชิงมวย—ผมรู้เท่าไม่ถึงการณ์—ผมบกพร่องโดยสุจริต????”
..........หนังสือพิมพ์หัวเขียว-หัวสีทั้งหลาย ก็คงจะพาดหัวตัวเป้ง---สื่อวิเคราะห์-วิจารณ์—สื่อเล่าข่าวทั้งหลาย--ก็คงจะนำไปขยายกันให้ลั่น-สนั่นเมืองว่า...ด็อกเตอร์นาคา--ยอมเอาหัวโขกพื้นธรณีหมื่นครั้งเพื่อขอขมาต่อศาล ในฐานอ่อนด้อย—อ่อนหัด—ไม่มีเชิงมวย—รู้เท่าไม่ถึงการณ์—บกพร่องโดยสุจริต???----เสียเกียรติภูมิด็อกเตอร์-อ็อง-ดรัว จนหมดสิ้น??—แถมจะสร้างรอยมลทินให้ด็อกเตอร์ฝรั่งเศสท่านอื่นๆ ไปเสียอีก????
.........หรือจะเลือกวิธี “คิดสั้นๆ” แบบว่า “ด่าศาล” แล้วหนีคดีไปกบดานในต่างประเทศ ต่อจากนั้นก็โฟนอ้า-โฟนหุบ-ผลุบๆ โผล่ๆ—สโลว์ความบ้าไปวันๆ-----รึว่าไง??????---แม่งวิจารณ์ไม่ได้??---แม่งไม่เป็นธรรม??---แม่งสองมาตรฐาน??
.........แล้วถ้าผู้คนในสังคม เขาพากันตั้งคำถามไว้เป็นข้อสังเกตว่า... “อากะละมังนาคา”---ท่านเคยเป็นทนายความ (มืออาชีพ) มั้ย? เคยว่าความมากี่คดี? รู้ไหมว่าขั้นตอน การทำงานของทนายความนั้นเป็นอย่างไร? มีความละเอียดลออเพียงใด? อย่างที่ภาษาทนายไทย-พวกเรามักเรียกกันว่า “เนียน” แค่ไหน? หรือว่า เคยรับราชการเป็นผู้พิพากษาสักครั้งมั้ยในชีวิต? รู้มั้ยว่า “ศาลมีวิธีพิจารณา-พิพากษาคดี—วิธีช่างน้ำหนักพยานหลักฐาน”----ตลอดจน----“มีวิธีทำคำพิพากษาอย่างไร?
..........รู้มั้ยว่า วิธีการทำคำพิพากษานั้น ศาลท่านจะวินิจฉัยพยานหลักฐานเฉพาะแต่ที่ “เป็นประเด็นโดยตรง” และ “เป็นสาระสำคัญแก่คดี” เท่านั้น ส่วนพยานหลักฐานอื่นที่—ถึงแม้นำมาวินิจฉัยก็จะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนไป--เช่นนี้ศาลจะไม่นำมาวินิจฉัย ถ้าขืนนำพยานหลักฐานทั้งหมดในสำนวน-มาวินิจฉัย ก็จะทำให้คำพิพากษาฟั่นเฝือ—กลายเป็น “วัวพันหลัก”---ขาดความน่าเชื่อถือไป!!!!!!-----ท่านผู้เขียนคำพิพากษาก็จะถูกปรามาสว่า--“เขียนไม่เป็น(สับปะรด-พุทรา-น้อยหน่าและลำไย)”---เพื่อนร่วมองค์คณะที่ไหนเลยจะยอมลงลายมือชื่อในคำพิพากษาร่วมกับท่าน???........เคยรู้มั้ยอย่างนี้?????
..........หนังสือ “คู่มือตุลาการ”น่ะ!! เคยอ่านสักครั้งไหม๊ในชีวิต?????
..........ถ้าไม่รู้....ไม่เห็น...ไม่ทราบล่ะก้อ.....หึ-หึ....ยังไม่ทันถึงสามเพลงก็ตกม้าตาย—ตามสำนวนสามกั๊ก (สุรา) !!!!
..........ถ้าเราเคร่งครัดใน “วัตรปฏิบัติ” ที่ “นิติปรมาจารย์” ท่านสอนสั่งไว้ใน “หลักวิชาชีพของนักกฎหมาย”—ถ้าเราเดินตามรอย หลักการแบ่งงานกันทำในสังคม (La division sociale du travail) ของท่าน Émile DURKHEIM โดยให้เกียรตินักกฎหมายท่านอื่นๆ ที่อยู่ในบทบาท-สถานภาพที่แตกต่างกัน-----ไม่เกินก้ำ-ล้ำเส้นอำนาจหน้าที่ของท่านอื่นๆ จนดูน่าเกลียด(น่าเต๊ะและน่าถีบ) ไม่ทำหน้าที่ “ตัวแสดงทางกฎหมาย (Les actes juridiques)” จนเกินเลย (บทบาท) ไปถึงขั้น “กระทำตนประหนึ่งว่าเป็นตัวความเสียเอง”-----ความยุ่งยากต่างๆ ในชีวิตของตนจะเกิดขึ้นหรือไม่???? เราจะมีปัญหาเรื่องการครองตน—จนผู้คนเขา “คลางแคลง” ในบทบาทหรือไม่????
..........เหิมหึก-คึกคะนอง-บ้าระห่ำ-ไม่รู้ต่ำรู้สูง เหมือนเด็กทารกที่เวลาแสดงอาการอย่างใดอย่างหนึ่งออกไป แล้วพวกผู้ใหญ่หัวเราะชอบใจ----สัญชาตญาณการเรียนรู้แบบทารกๆ เลยเข้าใจว่า เป็นสิ่งที่ดี-เป็นสิ่งที่ถูกต้อง—ที่ไหนได้กำลังยัดขี้เข้าปาก—แสนทุเรศ-ทุรังสิ้นดี !!!!!!!
..........ภาษาในทาง “นิติสุรา” พวกเราเรียกกันว่า “ไอ้พวกนักเที่ยวรุ่นน้อง” --- “ไอ้พวกไม่รู้จักตาย” !!!!!!!!!!!
..........ที่ผมว่ามาทั้งหมดนี่—เป็น “หลักการครองตนของนักกฎหมาย” ที่พ่อเคยสอนผมว่า.....บรรพตุลาการท่านได้สอนสั่ง-ปลูกฝัง-สืบต่อกันมาเป็นรุ่นๆ---ใช่ไหมครับ???????
...........มันก็จริงอย่างแกว่าแหละ--ไอ้นาค!!....แต่ทฤษฎีกฎหมายในโลกของความเป็นจริงที่แกเขียนนั่นแหละ พ่อว่า.......มันทำให้คนเขาสามารถวินิจฉัยปัญหาได้เองโดยอัตโนมัติ.....โดยที่ไม่ต้องรอฟังแกสาธยายเลยสักนิด!!!!!.......
..........ไม่ใช่แค่นั้นนะนาค!!......ไอ้โฟนหุบ-โฟนอ้า-เที่ยวล่าสุดนี่........เล่นหยิบเอา “วรรคทอง” ของแกไปตีกินหน้าตาเฉย!!!
..........ยุบสภา—ร่างรัฐธรรมนูญใหม่---มากันเป็นกระบิดกระบวน—ชวนกันมาเป็นคุ้ง-เป็นแควเชียว??---ท่าจะหนาวเหน็บกับระบบตรวจสอบอำนาจตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ?????
..........มีคนเขียนบทให้ล่ะมั้ง!!!.....ช่างเหอะน่าพ่อ...ไอ้ที่ผมพูดไปน่ะมันก็แค่หนึ่งในร้อยส่วน...คนเราถ้า “ความเห็นแก่ตัว” มันบดบัง “ปัญญา” ซะแล้ว....จะหยิบฉวยไปใช้ยังงั้ย!!—มันก็ผิดแผกไปทั้งเพน่ะแหละ!!...มีแต่จะทำให้คนฟังเขาเสื่อมศรัทธาหนักเข้าไปอีกล่ะไม่ว่า????
..........เว้นแต่...ถ้าข้อเขียนของผมทำให้ได้อนุสสติ-มองเห็นธรรมชาติของโลกตามความเป็นจริง—เกิดปัญญาญาณตามมา—ก็จะเป็นมหากุศลอันยิ่งใหญ่แก่เขาผู้นั้น!!!
..........ที่ผมเขียนๆ อยู่นี่ก็ด้วยความปรารถนา (ดี) อย่างแรงกล้า--อยากให้เขา “คิดได้ด้วยตนเอง” แล้วจะได้กลับมาใช้ชีวิตแบบปกติสุขเหมือนคนทั่วๆ ไป?????-----ไม่รู้ว่าจะคิดได้หรือเปล่าว่า “ผมเป็นกัลยาณมิตรที่แท้จริง” แนะนำให้กลับมาอยู่ใน “คลองแห่งความเป็นจริงของนิติรัฐ” ไม่เคยพาเข้ารก—เข้าพง แม้สักนิด?????????
..........เคยได้ยินคำพระท่านว่ามั้ย...เกิดจริง-ตายจริง-อยู่ไม่จริง----ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย---แต่คนเราตายเพราะหนีความจริงไม่พ้น----เพราะฉะนั้นอย่าหนีความจริงเลย---หนียังไงก็ไม่พ้นหรอก????
...........สู้รีบๆ กลับมาอยู่กับความเป็นจริงดีกว่า??? อยู่ในโลกของความบ้ามันหาความสุขไม่ได้หรอก—มีแต่จะร้อน-ทุรนทุรายจนวิมานไม่พอดิ้น?????? ไม่เชื่อลองสลัดความกังวลต่อโลภ-โกรธ-หลง---ทิ้งไป แล้วหันมาอยู่กับความจริงสักห้านาทีสิ จะรู้ว่าความสุขมันเย็นสบายอย่างนี้เอง------รู้อย่างนี้ไม่น่าหนีความจริงเลย!!!!!!!!
..........พ่อก็รู้นี่ครับว่า คนอย่างไอ้นาคนี่ เวลาแนะนำใครก็ต้องถือหลัก “ความถูกต้อง” แต่จะถูกใจหรือไม่นั้น “ไม่สำคัญเลย” ประเดี๋ยวจะมาเสียใจทีหลังว่า “สร้างบาปทางวิชาการ” อีกแล้ว ????????
..........อีกอย่างหนึ่ง—ผมก็เป็นนักมนุษย์นิยมนะพ่อ!!!! คนบางคนนี่ ไม่ว่าจะชั่วช้าสามานย์แค่ไหน แต่ก็เป็นมนุษย์ เมื่อเป็นมนุษย์ก็จะต้องได้รับการปฏิบัติจากสังคมนิติรัฐ “เยี่ยงมนุษย์” เว้นแต่ว่า “จะไม่ยอมรับหลักนิติรัฐ” กรณีนี้เป็นปัญหาว่า ตัวเขาเองยังประสงค์จะได้รับการปฏิบัติเยี่ยงมนุษย์อยู่อีกหรือไม่??? ในเมื่อเขาไม่เคยคิดจะปฏิบัติต่อผู้อื่นเยี่ยงมนุษย์เลย ??????
..........เออ...พูดถึงเรื่องนี้ ทำให้พ่อนึกถึง “รักเกียรติ” ขึ้นมาได้ พ่อว่าตอนนี้เขาจะช่วยประเทศชาติได้มากเลย แล้วจะเป็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่อีกด้วย เพียงแค่สื่อของรัฐเชิญให้เขามาเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณา-ประชาสัมพันธ์ เรื่องความซื่อสัตย์และเคารพกฎหมาย พูดเพียงสั้นๆ ว่า “.......ชีวิตของผมเคยเป็นทุกข์อย่างหนัก.....แต่วันนี้ผมพบกับความสุขอย่างแท้จริงแล้วเพราะผมไม่หนีความจริง.....”----งานนี้กระทรวงยุติธรรมควรจะเป็นเจ้าภาพจัดทำด้วยซ้ำไป!!!!!!
..........ดีครับพ่อ....แต่เขาอาจจะทำแล้วก็ได้นะ—ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ล่ะก้อ.......นอกจากจะให้คติชีวิตแก่ราษฎรไทยโดยทั่วไปแล้ว พวกเราทั้งประเทศก็พร้อมที่จะให้อภัยคนที่เคารพกฎหมายและสามารถกลับตัวได้ในที่สุด---พื้นฐานสังคมไทยเดิมๆ ก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีหรอกที่จะไปนิยมการใช้ความรุนแรงเข้าห้ำหั่นกัน!!!!!!
..........แล้วคนทั้งประเทศก็จะยิ่งเพิ่มพูนความรักและให้การยกย่อง “รักเกียรติ” อีกด้วยนา !!!....สังเกตให้ดีจะรู้ว่า “รักเกียรติ” นี่ถูกตัดสินจำคุกนานกว่า “คนที่หลบหนีคุกไปอยู่ต่างประเทศในตอนนี้เสียอีก”----ไม่เห็น “รักเกียรติ” บ่นสักคำว่า “สองมาตรฐาน?????”
..........ว่าแต่....อีกเก้าสิบเก้าส่วนที่แกว่า..........มันคืออะไรว่ะนาค??????
..........อยากรู้จริงอ่ะพ่อ....ก็เป็นต้นว่า....ผมสามารถเขียนอุทธรณ์ “ข้อกฎหมาย” ให้(แปลงร่าง) กลายเป็น “ข้อเท็จจริง (จำแลง)” ได้.........แล้วก็เขียนอุทธรณ์ “ข้อเท็จจริง” ให้ (แปลงร่าง) กลายเป็น “ข้อกฎหมาย (จำแลง)” ได้น่ะสิพ่อจ๋า???????.......ก็แค่ให้ศาลมีคำสั่ง “รับเป็นอุทธรณ์”....พอได้เบิกค่าทำอุทธรณ์นะพ่อ......หลังจากนั้นศาลจะสั่ง---“ยก-ยืน-คืน-กลับ-แก้”-อุทธรณ์----ยังไงนี่..ก็แล้วแต่กรรมของสัตว์โลกเถอะ!!!!!!!!
.........เฮ้ย!!!....ไอ้รากไม้ (ร้ายมาก)!!!....ไหนบอกว่ามีมารยาท-มีจรรยาบรรณยังไงล่ะวะ--ไอ้นาค????? (.....พ่อคว้าไม้เท้าจะเคาะหัวผม.....)
.........พูดเล่นน่ะพ่อ...ผมไม่ทำยังงั้นหรอก.....ความสามารถน่ะมันพอมี-แต่ความสามานย์นั้นหาไม่ได้แม้ปลายขี้เล็บ??
..........ผมลูกหม้อตุลาการเก่านะพ่อ!!!!....อีกอย่างหนึ่งเราพ่อ-ลูกก็เป็นทนายฝรั่ง...แม้จะมีใบอนุญาตว่าความในศาลไทย-ก็คงไม่คิดว่าจะกลับไปแย่งคดีความของเพื่อนฝูงหรอก!!!—มันผิดมารยาททนายความใช่มั้ยพ่อ???
..........แต่.....ขึ้นชื่อว่าคนไทยอย่างพวกเรา-ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน....ตัวก็ยังเป็นไทยและใจจะไม่เป็นทาสอย่างเด็ดขาด........ไม่ว่าจะเป็น--“ทาสน้ำเงิน”--“ทาสน้ำใจ”--“ทาสทวงบุญคุณ” หรือแม้แต่ “ทาสทางความคิด” ก็ตาม?????? สำนึกถูกผิด-ดีชั่วนี่—มันไม่ต้องให้ใครมาสอนหรอกจริงมั้ยพ่อ???
..........เป็นห่วงก็แต่เพื่อนๆ---อาจาน-อาชาม-อากาลามัง-อาถัง-อาปี๊บ-อากระป๋อง---ทั้งหลายนั่นแหละ!!!....กลัวว่าจะหาทางออกจาก “พงหนาม” แห่ง “อัตตา” ไม่ได้........ป่านนี้ไม่รู้ว่าพากัน---ทิ้งพยศ-ลดมานะ-ละทิฐิ—แล้วหันมาอยู่ในโลกของความเป็นจริง-รู้จักหาความสุขแบบง่ายๆ--กันได้บ้างหรือยัง??????
..........ไอ้ความอยากได้-อยากมี-อยากเป็น-อยากเด่น-อยากดังนี่ ไม่รู้ว่าบางเบาลงไปได้บ้างหรือเปล่า?? แล้วก็.....ถ้อยแถลงแก้ตัวทั้งหลายแหล่นั่น---ได้แต่ภาวนาให้ผู้คนทั้งหลายเชื่อถือก็แล้วกันนะพ่อนะ!!!
..........พ่อก็หวังอย่างนั้น...ว่าแต่แกจำได้ไหม๊ที่พ่อสอนแกสมัยเด็กๆว่า....เห็นผิดเป็นชอบครั้งแรก-เขาเรียก“พลาด”---ถ้าขืนทำอีกเป็นครั้งที่สอง--เขาเรียก “ผิด”, ถ้าทำซ้ำครั้งที่สามเขาเรียก--“โง่”, หากดื้อดึงทำครั้งที่สี่อีก—เขาเรียก--“งมงาย”, ตะแบงไปอีกครั้งที่ห้าและต่อๆไปอย่างนี้เขาเรียก------ “ชั่วช้า-สามานย์”.........
...........จำได้แม่นเลยแหละ!!! ผมยังเคยแย้งพ่อเลยว่า ความจริงมันน่าจะเรียกว่า “ชั่วช้าสามานย์” มาตั้งแต่ครั้งที่สามแล้วล่ะ!!!!!!!!
...........ว่าแต่.....ผู้อ่านจำนวนมาก—อยากให้แกนำหลักวิชาการมาอธิบายเรื่องคดียึดทรัพย์นะ!! แกจะไม่สนองพระเดชพระคุณซะหน่อยรึวะ??
............คู่ความเขาก็ยื่นอุทธรณ์ไปแล้วนี่....?????.......รึไงนาค??????
...........คดียังไม่ถึงที่สุดครับพ่อ!!!......แม้ว่าคู่ความยื่นอุทธรณ์แล้ว แต่ศาลยังไม่สั่งในเนื้อหาของอุทธรณ์?? ในทางเทคนิคคู่ความก็จะสามารถยื่นคำแถลงการณ์ประกอบอุทธรณ์ได้อีก แล้วถ้าแถลงการณ์ประกอบอุทธรณ์นั้นเกิดไปอ้างบทความของผม แล้วให้ศาลหมายเรียกผมไปให้ความเห็น---นั่นแล้ว--นิติวิพากษ์—จะพาให้เกิดวิบาก-ระทม ความยุ่งยากก็จะเกิดกับชีวิตล่ะทีนี้???????????
...........แม้ว่า.....”พยานความเห็น” นั้น ศาลจะให้น้ำหนักในการรับฟังน้อยมาก—แบบริบหรี่ก็ตาม !!!!!!!!
...........และแม้ว่า อุทธรณ์นั้นจะต้องห้ามตามกฎหมาย หรือไม่มีสาระควรแก่การวินิจฉัยก็ตาม ????
...........ผมก็คงกลายเป็นบุคคลที่สังคม “คลางแคลง” ไปอีกนาน ???????..............................................
กราบคารวะท่านผู้อ่านที่เคารพอย่างสูง เนื่องในวาระสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ผมจึงขออนุญาต “เปิดประเด็น” เป็นบรรยากาศในโลกของ “หัสนิยาย” แบบสบายๆ—สไตล์ “สัพเพเหระคดี” ของท่านครู “โก้ บางกอก”—ผู้ซึ่งกระทำความผิดตาม “ประมวลกฎหมายปัญญา” อย่างร้ายแรง--ฐานทำให้ผม “เสพติดการอ่านหนังสือ” มาตั้งแต่ก่อนวัยแตกพาน—ตามสมการต่อไปนี้
นิยาย (100 ส่วน) = เค้าโครงเรื่องจริง (10 ส่วน) + เรื่องแต่ง (90 ส่วน)
หากท่านผู้อ่านได้รับความรู้และอารมณ์ขัน (แบบคันๆ) ที่แฝงอยู่ในสำนวนแบบ “นิติหัสนิยาย” ดังกล่าว ผมก็ขอยกคุณความดี บรรดามีทั้งหมด-ทั้งสิ้น ให้แก่ท่านครูวิลาศ มณีวัตร และท่านครูอบ ไชยวสุ--ผู้ที่ผมลอกเลียนแบบ “สำนวน” และ “กลวิธี” มานำเสนอแก่ท่านทั้งหลายในคราวนี้
ผมอยากเห็นสังคมไทยของเราเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ อยากเห็นพวกเราคนไทยทุกคนอ่านหนังสือกันให้มากขึ้น ดังนั้นในช่วงงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาตินี้-----ผมขอเชิญทุกท่านไปเลือกซื้อหามาอ่านกันตามอัธยาศัย!!!!
ถ้าอยากได้ชื่อว่า “เป็นผู้รู้จริง”--ในเรื่องความเห็นที่ “เป็นปฏิภาคผกผัน” ระหว่างฝ่ายเหลืองและฝ่ายแดงอย่างแจ้งชัด!!!....ต้องอ่านหนังสือ “วิวาทะกรรมเหลือง-แดง” ซึ่งท่านสุรวิชช์ วีรวรรณ ได้ “บรรจงรจนา” จาก “ภูมิปัญญาอันล้ำลึก” --- อ่านแล้วจะมีจิตสำนึกเป็น “สัมมาทิฐิ”---รับประกันคำนิยมโดย ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ----รีบไปเสาะหามาอ่าน แล้วท่านจะรู้ว่า “ความเข้าใจ—ทำให้เกิดความมั่นใจ” และ “ปัญญาประดุจดังอาวุธ” นั้น สามารถเป็นจริงได้ด้วยหนังสือเล่มนี้อย่างแน่นอน!!!!!!!!!!