กลายเป็นเรื่องตลก ที่คนเสื้อแดงทั้งในสนามรบและที่แอบอยู่ข้างๆ สนาม พยายามจะกลบเกลื่อนแก้ข้อกล่าวหา “ฝักใฝ่ทุนนิยมสามานย์” ด้วยการพยายามจะอธิบายว่าพวกเขาหวังเพียงจะใช้นายทุนอย่างทักษิณเป็นเครื่องมือเพื่อก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือการล้มอำมาตยาธิปไตย ที่ถูกมองว่าเป็นอุปสรรคในการพัฒนาชาติ
เพราะข้ออ้างทั้งหมด มันช่างสวนทางกับทิศทางการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ที่เรียกร้องให้มีการยุบสภาตามความต้องการของทักษิณ ขอให้ทักษิณกลับประเทศโดยไม่ต้องรับโทษ ขอให้คืนทรัพย์สินให้ทักษิณ ขอให้ประกาศนิรโทษกรรมให้ทักษิณ หรือแม้แต่ขอให้พระราชทานอภัยโทษให้ทักษิณ โดยทักษิณไม่ต้องกลับมาติดคุกก่อน เหมือนคนธรรมดาทั่วๆ ไปเขาทำกัน
เมื่อทิศทางการร้องขอทั้งหมดที่เกิดขึ้นตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาของคนเสื้อแดงเป็นเช่นนี้ มันจึงสะท้อนให้เห็นเด่นชัดว่า การเคลื่อนทัพของเสื้อแดง ที่อยากจะแดงทั้งแผ่นดิน เป็นเพียงปรากฏการณ์ของไพร่และทาสที่ปล่อยไม่ไปที่หวังจะร่วมมือกันยึดบ้านยึดเมืองคืนให้กับมหาอำมาตย์ใหม่ นช.ทักษิณเท่านั้น หาใช่การเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่ทางที่ดีไม่
เป็นเหมือนที่หลวงตามหาบัวท่านว่า คือเป็นเพียง ...กบเลือกนาย...
เหมือนคำกล่าวที่ว่า การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม ผู้นำต้องเป็นผู้นำที่มีความชอบธรรม มีจริยธรรม และเสียสละเพื่อส่วนรวม ตราบใดที่คนเสื้อแดงหวังจะสู้โดยชูทักษิณเป็น “แม่ทัพ” เป็น “นายใหญ่” การเคลื่อนไหวมันก็ไปได้ไม่ไกล เป็นได้แค่การเคลื่อนไหวที่ติดหล่ม ติดกับดักอยู่ในหลุมดำมืดที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร วันยังค่ำ
คำประกาศว่าจะโค่นอธรรม โค่นอำมาตย์ ล้มพวกบ้าอำนาจ ลบล้างสองมาตรฐานกลายเป็นคำพูดที่พูดออกไปก็มีแต่เปลืองน้ำลายเปล่าๆ เจ็บคอฟรีๆ หากหัวค่ำ แกนนำยังต้องทำพิธีตั้งแถวหน้ากระดาน รอรับนักโทษหนีคุก ขานชื่อผ่านโฟนอินจากแดนไกลเยี่ยงที่ทำกันมา ทั้งที่ ทักษิณ ชินวัตร ชื่อนี้คนทั้งโลกรู้ดีว่าได้กลายเป็นยี่ห้อ “มหาอำมาตย์ใหม่ สองมาตรฐานตัวพ่อ” ผู้ก่อคดีทุจริตแล้วเปิดตูดหนีออกนอกประเทศไปไหนต่อไหน ตั้งนานแล้ว
..ดูอย่าง เนื้อหาในคำพิพากษาศาลอาญาชั้นต้น ที่สั่งจำคุก คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร เป็นเวลา 3 ปี คดีหลีกเลี่ยงการชำระภาษีอากร หุ้นบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) นั่นเป็นไร ที่ศาลท่านตัดสินไว้ในยุคที่รัฐบาลพรรคพลังประชาชนเรืองอำนาจ ว่าใครคือผู้สร้างความไม่เป็นธรรมให้สังคม ศาลท่านว่า …
..จำเลยทั้ง 3 (นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ อดีตประธานกรรมการบริหารชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), คุณหญิงพจมาน ชินวัตร และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการ) เป็นผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูง โดยเฉพาะจำเลยที่ 2 เป็นภริยาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับผู้บริหารประเทศ แต่กลับร่วมกันการกระทำผิดฐานให้ถ้อยคำเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่เป็นธรรมต่อสังคมและระบบภาษี ทั้งที่จำนวนภาษีที่ต้องชำระ (273,060,000 บาท) เทียบไม่ได้กับจำนวนทรัพย์สินที่จำเลยที่ 2 และครอบครัวมีอยู่
หรือแม้แต่คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสั่งจำคุก 2 ปีไม่รอลงอาญา คดีทุจริตประมูลซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก ที่ออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน ศาลท่านชี้ให้เห็นเป็นอย่างดีถึงสันดานนักการเมืองที่แสวงหาประโยชน์จากระบบ “สังคมอุปถัมภ์” ในไทย โดยระบุว่า...
...จำเลยที่ 1 เป็นนายกฯ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) มีอำนาจบารมีเหนือรัฐมนตรีและมีอำนาจทางการเมืองสูงอีกทั้งฐานะการเงินมั่งคั่ง ตามหลักธรรมาภิบาลนายกรัฐมนตรี ภริยา หรือบุตรไม่สมควรเข้าไปประมูลซื้อเพราะการซื้อได้ราคาต่ำก็เป็นผลทำให้กองทุนฯ มีรายได้น้อยลง…
...ขณะที่จำเลยที่ 2 (คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร) มีผู้รู้จักจำนวนมาก ประกอบกับข้าราชการมีค่านิยมจำนนต่อผู้มีบารมีสูง นอกจากนั้น ยังอาจให้คุณให้โทษทางราชการได้ เมื่อปรากฏว่า จำเลยที่ 1 ให้บัตรประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีลงนามยินยอมให้จำเลยที่ 2 ทำสัญญาซื้อขายที่ดินย่อมถือได้ว่า เป็นการเข้าทำสัญญาด้วยตัวเอง ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. มาตรา 100 (1) วรรคสาม …
...จำเลยที่ 1 กระทำความผิด ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นนายกฯ ได้รับมอบหมายให้บริหารราชการแผ่นดินเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการและประชาชน แต่จำเลยที่ 1 กลับฝ่าฝืนกฎหมายทั้งที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล ต้องกระทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ประพฤติตนในสิ่งที่ดีงามตามจริยธรรมของนักการเมืองให้เหมาะสมกับที่ได้รับความไว้วางใจในตำแหน่งหน้าที่อันสำคัญยิ่ง จึงไม่สมควรรอการลงโทษ...
นี่ยังไม่พูดถึงคำวินิจฉัยของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มีมติเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 เห็นว่าทักษิณยามเป็นนายกรัฐมนตรี แทนที่จะปกครองบ้านเมืองเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน กลับออกมาตรการ และนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจ และคนในเครือข่ายของตนเอง จนศาลท่านวินิจฉัยให้ยึดทรัพย์เป็นเงินกว่า 4 หมื่น 6 พันล้านบาท
ถึงวันนี้ทางเดียวที่เสื้อแดงจะเดินสู่เส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงได้จริง ก็ต้องพิสูจน์ให้คนในสังคมเห็นเสียก่อนว่า พวกท่านข้ามพ้นจากการเป็น “ทาสระบอบทักษิณ” ไปแล้ว และจะให้ดี สงครามที่ท่านประกาศ หากหวังจะได้ชัย ควรจะเลือกเซ่นสังเวยด้วยศพของอำมาตย์ทักษิณให้โลกได้เห็นจริงเสียก่อน มิฉะนั้นก็มิอาจลบล้างข้อครหาอ้างการต่อสู้เพื่อแลกเศษเงินไปวันๆ จากมหาอำมาตย์ใหม่เท่านั้นเอง...
เพราะข้ออ้างทั้งหมด มันช่างสวนทางกับทิศทางการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ที่เรียกร้องให้มีการยุบสภาตามความต้องการของทักษิณ ขอให้ทักษิณกลับประเทศโดยไม่ต้องรับโทษ ขอให้คืนทรัพย์สินให้ทักษิณ ขอให้ประกาศนิรโทษกรรมให้ทักษิณ หรือแม้แต่ขอให้พระราชทานอภัยโทษให้ทักษิณ โดยทักษิณไม่ต้องกลับมาติดคุกก่อน เหมือนคนธรรมดาทั่วๆ ไปเขาทำกัน
เมื่อทิศทางการร้องขอทั้งหมดที่เกิดขึ้นตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาของคนเสื้อแดงเป็นเช่นนี้ มันจึงสะท้อนให้เห็นเด่นชัดว่า การเคลื่อนทัพของเสื้อแดง ที่อยากจะแดงทั้งแผ่นดิน เป็นเพียงปรากฏการณ์ของไพร่และทาสที่ปล่อยไม่ไปที่หวังจะร่วมมือกันยึดบ้านยึดเมืองคืนให้กับมหาอำมาตย์ใหม่ นช.ทักษิณเท่านั้น หาใช่การเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่ทางที่ดีไม่
เป็นเหมือนที่หลวงตามหาบัวท่านว่า คือเป็นเพียง ...กบเลือกนาย...
เหมือนคำกล่าวที่ว่า การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม ผู้นำต้องเป็นผู้นำที่มีความชอบธรรม มีจริยธรรม และเสียสละเพื่อส่วนรวม ตราบใดที่คนเสื้อแดงหวังจะสู้โดยชูทักษิณเป็น “แม่ทัพ” เป็น “นายใหญ่” การเคลื่อนไหวมันก็ไปได้ไม่ไกล เป็นได้แค่การเคลื่อนไหวที่ติดหล่ม ติดกับดักอยู่ในหลุมดำมืดที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร วันยังค่ำ
คำประกาศว่าจะโค่นอธรรม โค่นอำมาตย์ ล้มพวกบ้าอำนาจ ลบล้างสองมาตรฐานกลายเป็นคำพูดที่พูดออกไปก็มีแต่เปลืองน้ำลายเปล่าๆ เจ็บคอฟรีๆ หากหัวค่ำ แกนนำยังต้องทำพิธีตั้งแถวหน้ากระดาน รอรับนักโทษหนีคุก ขานชื่อผ่านโฟนอินจากแดนไกลเยี่ยงที่ทำกันมา ทั้งที่ ทักษิณ ชินวัตร ชื่อนี้คนทั้งโลกรู้ดีว่าได้กลายเป็นยี่ห้อ “มหาอำมาตย์ใหม่ สองมาตรฐานตัวพ่อ” ผู้ก่อคดีทุจริตแล้วเปิดตูดหนีออกนอกประเทศไปไหนต่อไหน ตั้งนานแล้ว
..ดูอย่าง เนื้อหาในคำพิพากษาศาลอาญาชั้นต้น ที่สั่งจำคุก คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร เป็นเวลา 3 ปี คดีหลีกเลี่ยงการชำระภาษีอากร หุ้นบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) นั่นเป็นไร ที่ศาลท่านตัดสินไว้ในยุคที่รัฐบาลพรรคพลังประชาชนเรืองอำนาจ ว่าใครคือผู้สร้างความไม่เป็นธรรมให้สังคม ศาลท่านว่า …
..จำเลยทั้ง 3 (นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ อดีตประธานกรรมการบริหารชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), คุณหญิงพจมาน ชินวัตร และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการ) เป็นผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูง โดยเฉพาะจำเลยที่ 2 เป็นภริยาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับผู้บริหารประเทศ แต่กลับร่วมกันการกระทำผิดฐานให้ถ้อยคำเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่เป็นธรรมต่อสังคมและระบบภาษี ทั้งที่จำนวนภาษีที่ต้องชำระ (273,060,000 บาท) เทียบไม่ได้กับจำนวนทรัพย์สินที่จำเลยที่ 2 และครอบครัวมีอยู่
หรือแม้แต่คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสั่งจำคุก 2 ปีไม่รอลงอาญา คดีทุจริตประมูลซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก ที่ออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน ศาลท่านชี้ให้เห็นเป็นอย่างดีถึงสันดานนักการเมืองที่แสวงหาประโยชน์จากระบบ “สังคมอุปถัมภ์” ในไทย โดยระบุว่า...
...จำเลยที่ 1 เป็นนายกฯ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) มีอำนาจบารมีเหนือรัฐมนตรีและมีอำนาจทางการเมืองสูงอีกทั้งฐานะการเงินมั่งคั่ง ตามหลักธรรมาภิบาลนายกรัฐมนตรี ภริยา หรือบุตรไม่สมควรเข้าไปประมูลซื้อเพราะการซื้อได้ราคาต่ำก็เป็นผลทำให้กองทุนฯ มีรายได้น้อยลง…
...ขณะที่จำเลยที่ 2 (คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร) มีผู้รู้จักจำนวนมาก ประกอบกับข้าราชการมีค่านิยมจำนนต่อผู้มีบารมีสูง นอกจากนั้น ยังอาจให้คุณให้โทษทางราชการได้ เมื่อปรากฏว่า จำเลยที่ 1 ให้บัตรประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีลงนามยินยอมให้จำเลยที่ 2 ทำสัญญาซื้อขายที่ดินย่อมถือได้ว่า เป็นการเข้าทำสัญญาด้วยตัวเอง ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. มาตรา 100 (1) วรรคสาม …
...จำเลยที่ 1 กระทำความผิด ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นนายกฯ ได้รับมอบหมายให้บริหารราชการแผ่นดินเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการและประชาชน แต่จำเลยที่ 1 กลับฝ่าฝืนกฎหมายทั้งที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล ต้องกระทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ประพฤติตนในสิ่งที่ดีงามตามจริยธรรมของนักการเมืองให้เหมาะสมกับที่ได้รับความไว้วางใจในตำแหน่งหน้าที่อันสำคัญยิ่ง จึงไม่สมควรรอการลงโทษ...
นี่ยังไม่พูดถึงคำวินิจฉัยของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มีมติเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 เห็นว่าทักษิณยามเป็นนายกรัฐมนตรี แทนที่จะปกครองบ้านเมืองเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน กลับออกมาตรการ และนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจ และคนในเครือข่ายของตนเอง จนศาลท่านวินิจฉัยให้ยึดทรัพย์เป็นเงินกว่า 4 หมื่น 6 พันล้านบาท
ถึงวันนี้ทางเดียวที่เสื้อแดงจะเดินสู่เส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงได้จริง ก็ต้องพิสูจน์ให้คนในสังคมเห็นเสียก่อนว่า พวกท่านข้ามพ้นจากการเป็น “ทาสระบอบทักษิณ” ไปแล้ว และจะให้ดี สงครามที่ท่านประกาศ หากหวังจะได้ชัย ควรจะเลือกเซ่นสังเวยด้วยศพของอำมาตย์ทักษิณให้โลกได้เห็นจริงเสียก่อน มิฉะนั้นก็มิอาจลบล้างข้อครหาอ้างการต่อสู้เพื่อแลกเศษเงินไปวันๆ จากมหาอำมาตย์ใหม่เท่านั้นเอง...