พุทโธ่ เอ๋ย!! ขณะที่คนทั้งประเทศเฝ้าจับตามอง “การประกาศสงครามไพร่เพื่อล้มอำมาตย์” ของกลุ่มคนเสื้อแดงที่นำโดย “นช.ทักษิณ ชินวัตร” ด้วยความวิตกกังวลว่า จะมีทีเด็ดทีขาดเพื่อเผด็จศึกด้วยใจระทึกว่าจะสร้างความฉิบหายให้แก่บ้านเมืองเหมือนเมื่อครั้งสงกรานต์เลือด หรือมี “ทัพพิสดาร” ที่สั่นสะเทือนรัฐบาลได้มากน้อยแค่ไหน
แต่เอาเข้าจริง เมื่อถึงวันที่ 12 มี.ค. ไล่เรื่อยไปจนถึงวันที่ 18 มี.ค. ทัพไพร่ของ “ซูเปอร์นายทุนศักดินาตัวพ่อ” ก็ยังมิอาจทำอะไรที่มีวี่แววว่าจะสามารถนำไปสู่ชัยชนะเลยแม้แต่น้อย
มิหนำซ้ำยิ่งสู้ยิ่งออกทะเล แต่ละแผนแต่ละหมาก ล้วนแล้วแต่ “บ้อท่า” และออกอาการ “มุขแป้ก” สงคราม 10 ทัพในวันแรกคนก็โหรงเหรง บุกราบ 11 บีบให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา คนส่วนใหญ่ของประเทศก็ไม่ตอบรับ ใช้มนต์ดำ “ดูดเลือดไพร่” ล้างระบอบอำมาตย์ ก็เป็นที่น่าขยะแขยงและสะอิดสะเอียนไปทั้งแผ่นดิน
คำปราศรัยหรือดาราบนเวทีก็กร่อยๆ มีแต่พวกถ่อยๆ ที่พูดจาสุนัขไม่รับประทานและวนเวียนแต่เรื่องเก่าๆ 2 มาตรฐาน ล้มระบอบอำมาตย์ ทวงคืนประชาธิปไตยที่แท้จริง ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว หางแดงทำเพื่อ “พ่อแม้ว” เพียงคนเดียวเท่านั้น
แถมแต่ละกลุ่มแต่ละก๊วนก็ไปกันคนละทางสองทาง แดงสยาม-เสธ.แดงแตกคอกับ 3 เกลือหัวขวด ขณะที่ “แดงตัวพ่อ” ที่คนเสื้อแดงเคารพนับถือบูชายิ่งกว่าพ่อก็ต้องหนีหัวซุกหัวซุนจนแทบไม่มีแผ่นดินจะอยู่ ล่าสุดต้องถูกตะเพิดออกจาก “ดูไบ” ไปซุกหัวอยู่ “มอนเตรเนรโก”
เรียกว่า ทั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธี ม็อบคนเสื้อแดงแพ้อย่างไม่เป็นท่า และทำท่าว่าจะงัดไม้ตายท่าสุดท้ายคือ ก่อจลาจล ก่อวินาศกรรม เผาบ้านเผาเมืองให้พังพินาศสมกับแรงแค้นมาใช้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
**สงคราม 10 ทัพ แพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้รบ
12 มี.ค.53 คือวันแรกที่กลุ่มคนเสื้อแดงประกาศทำสงครามที่พวกเขาใช้ชื่อว่า “สงคราม 10 ทัพ” ซึ่งหลังแผนการรบปรากฏออกมาสู่สายตาสาธารณชนก็เป็นที่หวาดวิตกว่า จะสร้างความฉิบหายวายป่วงให้เกิดขึ้นอย่างมิอาจคาดเดาได้ เพราะกลุ่มคนเสื้อแดงวางแผนที่จะไปม็อบกันในจุดเป็นจุดตายของกรุงเทพฯ ถึง 6 จุดด้วยกัน เรียกว่า เป็นการปิดเมืองเพื่อยึดประเทศเลยทีเดียว
เกมนี้ แม่ทัพคนเสื้อแดงต้องการแสดงให้เห็นว่า ไพร่เสื้อแดงที่อยู่ในกทม.และปริมณฑลมีจำนวนไม่น้อย และต้องการแสดงให้เห็นว่า ม็อบคนเสื้อแดงไม่ได้มีแต่ไพร่ที่มาจากต่างจังหวัด โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคอีสานเท่านั้น
แต่เอาเข้าจริง ไพร่เสื้อแดงในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลกลับไม่ได้มีจำนวนมากสมราคาคุย มากันอย่าง “หร็อมแหร็ม” ทำให้ไม่สามารถขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ให้บรรลุเป้าหมายได้ จนต้องประกาศสลายการชุมนุมไปในเวลาอันรวดเร็ว โดยอ้างว่า เป็นเพียงแค่การแสดงสัญลักษณ์โหมโรงของการต่อสู้ แต่ความจริงคือ ถ้าหากปล่อยต่อไปจะทำให้ขายขี้หน้าตั้งแต่ยังไม่ได้รบ
ขณะที่การคาดหวังว่า การม็อบของไพร่เสื้อแดงจะได้รับการยอมรับจากคนกรุง ก็กลับเป็นว่า บรรดาคนกรุงต่างพากันหอบหิ้วลูกหลานหนีภัยสงครามออกไปต่างจังหวัดกันจนกรุงเทพฯ แทบจะเป็นเมืองร้าง การปิดถนนกดดันจึงหกคะเมนหงายเก๋งไปอย่างไม่เป็นท่า
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพหรือกรุงเทพโพลล์เผยผลสำรวจความคิดเห็นของคนกรุงต่อการชุมนุมของม็อบแดงออกมาชัดเจนว่า คนกรุงเทพฯ ถึงร้อยละ 41 มีความเบื่อหน่ายและเซ็งต่อการชุมนุมของม็อบแดงอย่างมาก
นอกจากนี้ ไพร่แดงยังสร้างวีรกรรมที่ตอกย้ำความถ่อยให้เห็นอีก นั่นก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่บริเวณหน้าศาลากลางปทุมธานี ขณะที่ไพร่เสื้อแดงกำลังขับรถกระจายเสียงเพื่อชักชวนให้ชาวบ้านออกมาร่วมชุมนุม “นายธานินทร์ บุญเกษม” ซึ่งขับรถผ่านมาในเส้นทางนั้นพอดีได้ขอร้องให้หลีกทาง แต่กลับไม่ได้รับความสนใจ แถมทำให้ “นายสันต์ชัย เพชรประเสริฐ” ทาสเสื้อแดงย่านเมืองปทุมไม่พอใจ และจบลงด้วยการใช้โทรโข่งขนาดใหญ่ที่ใช้พูดฟาดเข้าใส่จนถึงขั้นเลือดตกยางออก จนคนกรุงไม่อยากเฉียดกรายเข้าไปใกล้คนเสื้อแดง
**อีแต๋น-ทัพเรือโม้ตัวพ่อ แดงรับจ้าง-แดงทัศนาจรเพียบ
หลังพ่ายแพ้จนแทบจะต้องเอาหน้าไปซุกกระโปรงให้หายอายในวันแรก คนเสื้อแดงก็รีบแจ้นไปจัดขบวนใหม่ ซึ่งสังคมก็เฝ้าจับตามองว่า ในวันที่ 14 มี.ค.ที่จะเป็นการเริ่มต้นการทำสงครามไพร่ล้มอำมาตย์อย่างเต็มรูปแบบนั้น พวกเขาคงมีทีเด็ดทีขาดอย่างไรให้สมกับเป็นสงครามครั้งสุดท้าย
แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะทัพไพร่แดง(ส่วนใหญ่) ที่หลั่งไหลเข้ามาด้วยฝีมือการจัดตั้งของ “ส.ส.พรรคเพื่อไทย” ที่ได้รับท่อน้ำเลี้ยงจากนายใหญ่ก็มิได้น่าสะพรึงกลัวแต่อย่างใด ทั้งปริมาณและคุณภาพ
เพราะมีประจักษ์พยานยืนยันว่า ม็อบคนต่างจังหวัดที่ยกขบวนเข้ามาสมทบนั้น ไม่ได้มาเพราะคลั่งไคล้และศรัทธาในตัว นช.ทักษิณอย่างแท้จริง ดังเช่นคลิปที่ถูกส่งมาจากนครพนมที่ปรากฏภาพกลุ่มคนเสื้อแดงยืนเข้าแถวรับเงินกันหัวละ 2,000 บาทก่อนเข้ากรุง
นอกจากนี้ อีกส่วนหนึ่งก็ร่วมขบวนมาเพียงเพื่อขอทัศนศึกษาและเที่ยวชมกรุงเทพฯ หรือพูดง่ายๆ คือขอติดรถฟรีที่มีพ็อกเก็ตมันนี่และอาหารการกินเพื่อมาเที่ยวกรุงเทพฯ ไม่ได้มุ่งหวังมาร่วมม็อบเพื่อโค่นอำมาตย์แต่ประการใด เพราะฟังคำปราศรัยแล้วยังงงๆ ว่า อำมาตย์ที่จะพามาให้ล้มนั้นคือใครกันแน่
สำหรับการประกาศยกขบวน “รถอีแต๋น” จากต่างจังหวัดเข้ามาอย่างเอิกเกริก รวมทั้งคำโม้ที่จะยกขบวนชลมารคเคลื่อนทัพมาทางเรือ 500 ลำ สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่ “สีสัน” ของการม็อบเท่านั้น เพราะเอาเข้าจริงก็แทบไม่เห็นรถอีแต๋นโผล่มาให้เห็น ส่วนกองเรือที่ทำท่าว่าจะมายกพลขึ้นบกที่ท่าศิริราช ทีแรกนึกว่าจะมาเป็นขบวนใหญ่ยาวเหยียดจนแน่นแม่น้ำเจ้าพระยาไปหมด สุดท้ายก็มีแค่ประมาณไม่เกิน 10 ลำ ทำได้แค่เพียงให้ช่างภาพได้ถ่ายภาพเอาไปลงข่าวอย่างเดียว
ขณะที่การประกาศโม้ว่าจะมีหางแดงมาร่วมม็อบมากถึง 1 ล้านคนนั้นก็เป็นเพียงแค่ราคาคุย เพราะบทสรุปสุดท้ายพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่า งานนี้มีการทรยศ-หักหลังงาบหัวคิวท่อน้ำเลี้ยงกันอย่างมันปาก จากที่คาดหมายว่าจะมาถึงล้านกลับลดฮวบฮาบ มาอย่างมากก็ราวๆ แสนคน ส่งผลทำให้ นช.ทักษิณถึงกับคับแค้นแน่นอยู่ในอกกับแม่ทัพนายกองทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น 3 เกลอหัวขวดหรือ ส.ส.ปากมัน ที่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้รักกันจริง แต่ที่มาร่วมขบวนก็เพียงเพื่อหวังอามิสสินจ้าง รวมทั้งหลอกสูบเงินเพื่อยกสถานะของตัวเองให้เป็น “แดงสู้แล้วรวย” เสียมากกว่า
แถมไอ้ที่มาราวแสนคน ทำไปทำมาเพียงไม่กี่วัน ยอดก็ลดฮวบฮาบจน นช.ทักษิณต้องโฟนอิน ต้องวิดีโอลิงก์มาออดอ้อนให้ออกมาชุมนุมกันให้เยอะกว่านี้
**บุกราบ 11 บีบยุบสภา แค่พาเหรดยืดเส้นยืดสาย
เมื่อกำลังของกองทัพไพร่พร้อมสรรพโดยยึด “สะพานผ่านฟ้าลีลาศ” เป็นกองบัญชาการส่วนหน้า หลายคนอดสงสัยและตั้งคำถามไม่ได้อีกว่า การกำหนดให้สะพานผ่านฟ้าเป็นศูนย์การนำนั้นมีความเหมาะสมหรือไม่ เพราะเหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นว่า จะเป็นชัยภูมิที่ “ดีเด่น” แต่ประการใด นอกเสียจากว่า ต้องการทำเพื่อเป็น “เคล็ดทางไสยศาสตร์” ตามวัตถุประสงค์หลักของการม็อบครั้งนี้
เพราะชื่อของสะพานผ่านฟ้าฯ นั้น ตรงตามเป้าหมายของ นช.ทักษิณที่ต้องการ “ผ่านฟ้า” เพื่อยึดอำนาจรัฐและสถาปนารัฐไทยใหม่ที่มีระบบการปกครองที่พวกเขามักใช้คำอย่างโก้เก๋ “ประชาธิปไตยที่แท้จริง” เป็นการปกครองระบอบสาธารณรัฐเหมือนดังเช่นสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศสหรือเนปาล เฉกเช่นเดียวกับการประกาศสงคราม 10 ทัพแทนที่จะเป็นสงคราม 9 ทัพก็น่าจะเป็นมนต์ดำทางไสยศาสตร์ เพราะต้องไม่ลืมว่า นช.ทักษิณนั้นมีความผูกพันและเชื่อตัวเลข 10 เป็นอย่างมาก เนื่องจากเขาปรารถนาที่จะเป็น “ผู้นำหนึ่งเดียวหมายเลข 10” แห่งแผ่นดินไทย
จากนั้น หัวโจกม็อบไพร่แดงก็ยื่นคำขาดบีบรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ทันที โดยหมัดแรกที่ถูกส่งออกมาก็คือ การขีดเส้นตายให้นายอภิสิทธิ์ยุบสภาก่อนเวลา 12.00 น. ของวันที่ 15 มี.ค.มิฉะนั้นแล้วจะยกขบวนปิดล้อมกทม.ให้พินาศย่อยยับตายตกไปตามๆ กัน
หลังประกาศขีดเส้นตาย เช้าวันที่ 15 มี.ค. 3 เกลือหัวขวดแดงก็ประกาศนำลี้พลไพร่แดงเคลื่อนขบวนออกจากสะพานผ่านฟ้าฯ ไปปิดล้อมกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์(ร.11 รอ.) เนื่องจากนายอภิสิทธิ์และบุคคลสำคัญหลายคนย้ายไปพำนักพักอาศัยที่นี่ รวมทั้งเป็นที่ตั้งของศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ(ศอ.รส.)
ทั้งนี้ นอกจากหวังปิดล้อมราบ 11 แล้ว ยังหวังที่จะยั่วยุทหารให้ตบะแตกจนต้องหยิบอาวุธขึ้นมาประหัตประหารไพร่แดงตามที่วางแผนเอาไว้
ทว่า ยุทธวิธีนี้ก็ล้มเหลวอีก เนื่องจากก่อนที่ไพร่แดงจะเคลื่อนขบวนไปถึงราบ 11 และก่อนที่จะถึงเส้นตายในเวลา 12.00 น. นายอภิสิทธิ์ก็ได้ชิงประกาศอย่างชัดเจนด้วยความหนักแน่นและเป็นเหตุเป็นผลอีกว่า หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็ไม่ประกาศยุบสภา เพราะการยุบสภาไม่สามารถแก้ปัญหาของชาติได้
ดังนั้น เมื่อม็อบแดงไปถึงจึงออกอาการ “เหวอ” จนไม่สามารถคิดแผนออกมารับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนได้ทัน สุดท้ายหันรีหันขวางอยู่พักใหญ่ “นายวีระ มุสิกพงศ์” ตัดสินใจประกาศชัยชนะและประกาศสลายตัวกลับไปยังฐานที่มั่นสะพานผ่านฟ้าฯ
เรียกว่า ม็อบแดงยังไม่ทันมารวมกันที่ราบ 11 ครบถ้วนทั่วทุกตัวคน แกนนำก็ประกาศให้กลับเสียแล้ว
งานนี้ เล่นเอาบรรดาแดงฮาร์ดคอร์หัวเสียไปตามๆ กัน เพราะเดิมทีตั้งใจจะมาทำสงครามแตกหัก บุกค่ายทหารให้รู้ดำรู้แดงกันไป แต่แกนนำกลับหลอกให้เดินให้นั่งรถมาเหนื่อยฟรีๆ ดังนั้น แดงฮาร์ดคอร์จำนวนไม่น้อยจึงพากันบ่ายหน้าออกจากราบ 11 กลับบ้านช่องห้องหับของตัวเองแบบเข็ดขี้เข็ดเยี่ยวกันไปอีกนาน
“รอยเตอร์” ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ของ “นายมนัส เต็งมณี” จากจังหวัดลำปางว่า “ผมอยากให้รุกคืบกว่านี้ และทำอะไรที่ดุดัน ผมว่าถ้าไม่เลือดสาดจริงๆ ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก”
ขณะที่ภาคธุรกิจ ทั้งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทยและหอการค้าไทย ก็ไม่ตอบรับแนวคิดเรียกร้องให้ยุบสภาของม็อบ เกมนี้ รัฐบาลจึงคว้าชัยชนะได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
**“สูบเลือดไพร่”มนต์ดำทำทัพแตก
แก๊งอีเพ็ญ-เสธ.แดงฟาดปาก 3 เกลอ
ระหว่างที่ศูนย์การนำกำลังเสียขบวน ทัพไพร่แดงกำลังหัวเสียที่ถูกหลอกให้ฝ่าแดดที่ร้อนเปรี้ยงแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จู่ๆ “นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ที่ได้รับความไว้อกไว้ใจจากนช.ทักษิณมากที่สุด ก็หยิบไมค์โผล่ขึ้นมาบนรถขยายเสียงพร้อมประกาศแผนใหม่ที่ดูเหมือนจะคิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน นั่นก็คือ “แผนสูบเลือดไพร่” ให้ได้ 3 ล้านซีซี.เพื่อนำไปเทที่ทำเนียบรัฐบาล ที่พรรคประชาธิปัตย์และที่บ้านของนายอภิสิทธิ์ที่ซอยสวัสดี ถนนสุขุมวิท
นัยว่าเป็นการกระทำเพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้รัฐบาลเห็นว่า ความรุนแรงกำลังจะเกิดขึ้น
ทว่า แท้ที่จริงแล้ว การเทเลือดที่เกิดขึ้นคือพิธีกรรมไสยศาสตร์หรือมนต์ดำที่ม็อบแดงใช้เพื่อสาปแช่งให้บ้านเมืองฉิบหาย ซึ่งเรื่องนี้ได้มีการยอมรับออกมาจากปากของพราหมณ์เสื้อแดงอย่าง ”พราหมณ์ศักดิ์ระพี พรหมชาติ” บุตรชายของ “พราหมณ์" จ้ง พรหมชาติ” พราหมณ์ราชสำนักอาวุโส ผู้ที่รับหน้าที่เป็นพราหมณ์เจ้าพิธีในการชุมนุมทุกครั้งของเหล่าคนเสื้อแดง รวมถึงพิธีการเทเลือดที่เกิดขึ้นด้วย
“ยอมรับว่าเป็นพิธีอัปมงคลที่มีการทำกันเป็นครั้งแรก โดยทางพราหมณ์แจ้งผู้เป็นพ่อก็เตือนว่าจะส่งผลที่ไม่ดีต่อบ้านเมือง เพราะบ้านเมืองจะเจอกับความหายนะฉิบหายไม่เว้นแม้กระทั่งผู้กระทำและตัวผู้ถูกกระทำ ผลร้ายถึงหายนะของประเทศชาติ เพราะพิธีนี้จุดธูป 1 ดอก เป็นการกราบไหว้คนตาย ไม่ใช่แค่ 3-4คน แต่เป็นทั้งครม. ที่ต้องเหยียบย่ำเลือดคนเสื้อแดงก่อนเข้าประตูทางเข้าและทางออก เหตุผลที่ต้องเทเลือดในครั้งนี้ก็เพราะรัฐบาลไม่ฟังเสียงของประชาชน" พราหมณ์เก๊ประจำกลุ่มเสื้อแดงกล่าว
ทันทีที่สังคมรับทราบ เสียงก่นด่าก็ตามมาอย่างไม่ขาดสาย เพราะเป็นการกระทำอุบาทว์ชาติชั่วอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จากนั้นความคิดเห็นของประชาชนก็สะท้อนออกมาอย่างรุนแรงผ่านทางสื่อต่างๆ โดยเฉพาะสื่อออนไลน์
“พระราชครูวามเทพมุนี” หัวหน้าพราหมณ์เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า เป็นการทำพิธีที่ไม่ใช่การกระทำในวิถีของพราหมณ์ เพราะการนำเลือดคนมาเททิ้งนั้น เป็นการไม่ให้เกียรติ การให้เลือดคนมาหนึ่งหยด ก็มีคุณค่า แต่กลับนำมาเทด้วยความอาฆาตมาดร้าย หรือ สาปแช่งด้วยวิธีต่างๆ จึงไม่ใช่วิถีพราหมณ์ที่จะปฏิบัติ ซึ่งวิถีของพราหมณ์ คือ การส่งเสริมความสงบ ความสุข สันติเกิดขึ้นในจิตใจ
ส่วนการที่ นายศักดิ์ระพี พรหมชาติ ผู้ที่แต่งกายเป็นพราหมณ์นำประกอบพิธี และได้มีการอ้างตนว่ามีพ่อเป็นพราหมณ์หลวงในสำนักพระราชวังนั้น ความจริงแล้วเขามีเชื้อสายพราหมณ์ แต่พ่อเขาไม่ได้ทำงานในวัง และไม่ได้เป็นพราหมณ์ของสำนักพระราชวัง แต่เคยมาอยู่ในโบสถ์พราหมณ์เมื่อ 20 ปีที่แล้ว โดยได้มาทำพิธีที่ทำให้เสื่อมเสียและปฏิบัติตนไม่เหมาะสมจึงให้ออกไป เพราะฉะนั้นจึงไม่ถือว่าเขาเป็นพราหมณ์ อีกทั้งนายศักดิ์ระพีก็ไม่ได้มาบวชที่โบสถ์พราหมณ์แต่อย่างใด แต่ได้แต่งตัวและทำตัวเป็นพราหมณ์ขึ้นมาเอง
แต่ที่น่าสนใจก็คือ ในแก๊งเสื้อแดงเองก็ไม่เห็นด้วยกับมนต์ดำการเทเลือด รวมทั้งยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีในการนำม็อบของ 3 เกลอเพราะเล็งเห็นแล้วว่า “ไร้ประสิทธิภาพ” และนับวันยิ่งจะนำม็อบเสื้อแดงไปสู่ความพ่ายแพ้
แดงสยามตัวพ่อ หัวหน้าขบวนล้มเจ้าตัวเอ้อย่าง “นายสุรชัย แซ่ด่าน” ถึงกับอดรนทนไม่ไหวต้องออกมาเปิดปากไล่ 3 เกลอให้พ้นไปจากการนำหลังจากถูกการ์ด นปช.คนกันเองแสดงท่าทีไม่พอใจขณะที่เขากำลังปราศรัยกับกลุ่มแดงสยามบริเวณหน้าอาคารสหประชาชาติ
สหายสุรชัยซัด 3 เกลออย่างไม่ไว้หน้าว่า แนวทางการต่อสู้ของสามเกลอมีแต่จะทำให้แพ้ ไม่สามารถโค่นล้มอำมาตย์ได้ พร้อมแนะนำให้ใช้แนวทางการปฏิวัติตามที่นายจักรภพเคยเสนอให้นายใหญ่ด้วยการปรับเปลี่ยนทั้งโครงสร้าง
ตามต่อด้วย “พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล” หรือ “เสธ.แดง” ที่ซัดเข้าเป้าทันทีว่า “การเจาะเลือดไม่ใช่นโยบายของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เป็นแนวความคิดของแกนนำ นปช.เอง และหากกรีดเลือดแล้วรัฐบาลไม่ยุบสภา จะทำอย่างไร นายจตุพรไม่ต้องเผาตัวเองเลยหรือ วันนี้นปช.สู้ไม่ได้ ก็ควรยอมรับ นำประชาชนถอยทัพกลับไป แล้วก็ควรจะมีการจัดทัพใหม่”
มนต์ดำเลือดแดงกลับกลายเป็นชนวนที่ทำให้ไพร่แดงแตกคอกันอย่างเละเทะ เมื่อ 3 เกลอหัวขวดสวยยกขบวนหัวโจกนปช.แดงทั้งแผ่นดินขึ้นเวทีประกาศตัดญาติขาดมิตรกับนายสุรชัยและพล.ต.ขัตติยะ
แต่เอาเข้าจริงนั่นอาจเป็นเพียงแค่ “แผนหลอก” ในช่วงที่มีการปรับแผนจากนายใหญ่ หรือเป็นเพียงแค่ “การฆ่าตัดตอน” หลังจากที่นายใหญ่มีคำสั่งให้นำแผนฮาร์ดคอร์มาใช้
เป็นการทำให้ภาพของไพร่แดงที่ผ่านฟ้าฯ เป็นภาพของมวลชนที่เคลื่อนไหวอย่างสงบ สันติและอหิงสา เพื่อเปิดทางให้แดงฮาร์ดคอร์ก่อความรุนแรงตามแผนที่นายใหญ่บัญชา
ทั้งนี้ เพื่อปฏิเสธว่า พวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น หรือหมายความว่า ถ้าเกิดระเบิดหรือมีใครบาดเจ็บล้มตาย ไม่ใช่ฝีมือของ 3 เกลอ หากแต่เป็นฝีมือของนายสุรชัยและเสธ.แดงแทน ทั้งๆ ที่พวกเขาก็ยังคงเป็นพวกเดียวกันเหมือนเดิม เพียงแต่สร้างภาพให้เกิดความแตกแยกเพื่อแยกกันไปปฏิบัติการตามแนวทางของนายใหญ่เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เลือดไพร่ที่ถูกสูบออกมานั้น เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ครบ 3 ล้านซี.ซี . ตามเป้าที่กำหนดไว้เพราะม็อบโหรงเหรง หร็อมแหร็มเหลือคนไม่กี่มากน้อย แถมยังมีการตั้งข้อสังเกตว่า เป็นเลือดคนจริงๆ หรือไม่ ดังเช่นที่นายทศพล เพ็งส้ม ส.ส.นนทบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า ได้รับแจ้งจากชาวบ้านในย่านตลาดท่าอิฐ ว่า เมื่อคืนวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา มีกลุ่มคนเสื้อแดงนนทบุรีไปขอซื้อเลือดวัว เลือดควาย จากโรงเชือดวัวและควายในชุมชนพี่น้องมุสลิมย่านท่าอิฐกว่า 30 ลิตร โดยบรรจุในแกลลอนขนาดถังละ 5 ลิตร จำนวน 6 แกลลอน เท่ากับ 30 ลิตร คาดว่า จะนำไปผสมน้ำและสารบางตัวที่ทำให้เลือดไม่จับตัวแข็งเป็นก้อน เพื่อนำไปใช้อ้างว่าเป็นเลือดคนเพื่อใช้เทที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ที่หน้าพรรคประชาธิปัตย์และที่บ้านของนายกรัฐมนตรี
**มุขแป้ก ร้อง ส.ส.เพื่อไทยลาออก
ขณะที่การวิดีโอลิงก์เข้ามาล้างสมองไพร่แดงของ นช.ทักษิณเองก็ไม่สามารถสะกดไพร่พลของตัวเองเอาไว้ได้ เพราะมีแต่เรื่องเก่าๆ ที่ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องโกหกพกลมทั้งสิ้น แถมการงัด “คลิปเสียง” ของนายอภิสิทธิ์ที่เขาอ้างว่า เป็นคลิปเสียงที่นายอภิสิทธิ์สั่งให้ใช้ความรุนแรงจริง ก็เป็นเรื่องที่ตลกโปกฮาเข้าไปใหญ่ เนื่องจากมีการพิสูจน์ให้เห็นชัดๆ แล้วว่าเป็นการตัดต่อ
ขณะเดียวกันก็ไม่ได้มีข้อมูลทีเด็ดเกี่ยวกับการทุจริตคอรัปชั่นของรัฐบาลออกมาให้สังคมเห็น เรียกร้องแต่การล้มระบอบอำมาตย์ ประชาธิปไตยที่แท้จริง ซึ่งเป็นนามธรรมที่บัดนี้คนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยก็ยังงงๆ ว่า ไอ้ประชาธิปไตยที่แท้จริงหรือระบอบอำมาตย์นั้นมันหมายถึงอะไร
แต่ที่เรียกว่าน่าสมเพชเวทนาและสร้างความเจ็บปวดในหัวใจของไพร่เสื้อแดงที่สุดคือ ขณะที่พ่อแม้วโฆษณาชวนเชื่อให้ไพร่เสื้อแดงออกศึก แต่ตัวเองกลับสั่งลูกเมียและวงศ์วานว่านเครือหนีไปต่างประเทศเสียเฉยๆ
ความรู้สึกของไพร่เสื้อแดงจึงปวดร้าวอย่างไม่อาจหาคำบรรยายได้พร้อมกับคำถามว่า “นี่มันหลอกมาตายกันนี่หว่า...”
ดังนั้น นับวันพลพรรคไพร่แดงจึงเริ่มเห็นธาตุแท้ของ นช.ทักษิณชัดเจนขึ้นว่า การนำม็อบออกมาสร้างความวุ่นวายให้กับบ้านเมืองนั้น เป็นการทำเพื่อตัวเองทั้งสิ้น ขณะที่ไพร่แดงอย่างพวกเขาต้องทั้งตากแดดที่ร้อนราวกับจะเผาให้ละลาย ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย ต้องทนเหม็นกับสิ่งปฏิกูลที่ขับถ่ายออกมา
ระหว่างนั้นเอง นายวีระก็ยิงมุขใหม่ออกมาอีกมุขหนึ่งโดยเสนอให้ “ส.ส.พรรคเพื่อไทย” ซึ่งเป็นแนวร่วมในการยึดบ้านยึดเมืองยื่น “ใบลาออก” เพื่อกดดันให้รัฐบาลยุบสภา แต่ก่อนพูดนายวีระคงลืมไปซาวด์เสียงพรรคพวกก่อนว่า จะเอาด้วยหรือไม่ เพราะทันทีที่โยนข้อเสนอออกมา บรรดา ส.ส.พท. รวมถึงน้องรักของนายวีระคือนายจตุพร พรหมพันธุ์ หรือแม้แต่ นช.ทักษิณเองก็ไม่เห็นด้วย
งานนี้เลยสะท้อนภาพให้เห็นถึงความมั่วที่ต่างคนต่างทำ ต่างคนแย่งกันเป็นใหญ่ โดยไม่ได้มีการปรึกษาหารือให้สะเด็ดน้ำเสียก่อนที่จะโยนแผนออกมา
** วินาศกรรม-ส่ง M-79 หาเหยื่อสังเวยเกมอำนาจ
อย่างไรก็ตาม เมื่อหนทางที่พยายามสร้างภาพว่า ม็อบไพร่แดงยึดหลัก “สงบ สันติ อหิงสา” เป็นธงนำในการทำม็อบทำท่าจะตีบตันไปทุกที เพราะไพร่พลที่ระดมขนกันมาก็เก็บข้าวเก็บของทยอยกลับกันไปทีละคนสองคน ทางเลือกของซูเปอร์นายทุนศักดินาตัวพ่อดูจะเหลือน้อยไปทุกที
ปฏิบัติการแผน 2 จึงได้เริ่มสำแดงอิทธิฤทธิ์ออกมาให้เห็น นั่นคือการใช้ความรุนแรง แม้ขณะนี้มิอาจสรุปได้ว่า ใครเป็นคนลงมือทำ แต่เชื่อว่า สังคมคงคาดเดาไม่ยากว่าใครเป็นคนทำ
และระเบิดลูกแรกก็เกิดขึ้นขณะที่ไพร่แดงกำลังจะยกขบวนกลับจากราบ 11 เมื่อมีการยิง M-79 ถล่มกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ หรือ ร.1พัน 1 รอ.ซึ่งตั้งอยู่บริเวณถนนวิภาวดีรังสิตขาออกจำนวน 4 ลูก ส่งผลทำให้ทหารได้รับบาดเจ็บทันที 2 นายคือ จ.ส.อ.ปรีชา ปานสมุทรและพลทหารหนุ่ม ศรีเฝือง
M-79 ที่ถูกยิงออกมานั้น มิอาจหมายความเป็นอื่นได้ เพราะคนที่ยิงมีเจตนาชัดเจนว่า ต้องการยั่วทหารให้โกรธจนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ จนต้องสั่งให้มีการใช้ความรุนแรงกับม็อบ แต่เกมยั่วครั้งนี้ก็ไม่ประสบความสำเร็จอีกเช่นเคย เนื่องจากทหารไม่หลงกล
จากนั้น M-79 ลูกที่สองก็ถูกส่งออกมาอีก คราวนี้เป้าหมายอยู่ที่บุคคลสำคัญคือ “นายอักขราทร จุฬารัตน” ประธานศาลปกครองสูงสุด ซึ่งถึงแม้ M-79 จะพลาดเป้าบ้านพักของนายอักขราทรพอสมควร แต่ก็มิอาจตีความเป็นอย่างอื่นได้ว่า มีเจตนาเพื่อบีบคั้นสถานการณ์ให้เลวร้าย แต่เกมยั่วครั้งนี้ก็ไม่ประสบความสำเร็จอีกเช่นเคย
ตามต่อด้วยการส่งจักรยานยนต์ไปปาระเบิดบ้าน “นายคะแนน สุภา” พ่อตานายเนวิน ชิดชอบ ที่จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้กระจกสำนักงานชั้นล่างแตกเสียหาย 1 บาน แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งคนทำมีเจตนาที่จะยั่วยุให้นายเนวินโมโหและสั่งขุนทหารพร้อมขุนตำรวจเสื้อน้ำเงินออกมาแก้แค้นม็อบ จนก่อให้เกิดการจลาจลขึ้น แต่เกมยั่วก็ไม่ประสบความสำเร็จเหมือนเดิม
ดังนั้น นับจากนี้เป็นต้นไป จึงมีความสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งที่เป้าหมายต่อไปในการยิง M-79 ก็มีสิทธิ์เป็นไปได้ที่จะปรับเปลี่ยนเป็นการยิงเข้ามาที่เวทีชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงแทน เพื่อใช้ชีวิตและเลือดไพร่เป็นเครื่องบัดพลีชัยชนะในการทำสงคราม ดังเช่นที่มีข่าวออกมาว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาประกาศแจ้งเตือนมายังรัฐบาลไทยว่า จากการดักฟังทางโทรศัพท์ของ นช.ทักษิณขณะเดินทางไปยังมอนเตรเนโกร พบมีการสั่งการให้“ก่อวินาศกรรม”
นอกจากนี้ คำยืนยันจาก “พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย” โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่ยอมรับถึงกระแสข่าวการลอบสังหารนายอภิสิทธิ์และบุคคลสำคัญในบ้านเมือง โดยกำลังจับตากลุ่มผู้ต้องสงสัยประมาณ 5-6 กลุ่ม ที่เคยก่อเหตุและสร้างสถานการณ์ความรุนแรงป่วนบ้านเมืองในช่วงที่ผ่านมา ก็คือ สิ่งที่ต้องระวังเช่นกัน
ความน่าสะพรึงกลัวเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
แต่เอาเข้าจริง เมื่อถึงวันที่ 12 มี.ค. ไล่เรื่อยไปจนถึงวันที่ 18 มี.ค. ทัพไพร่ของ “ซูเปอร์นายทุนศักดินาตัวพ่อ” ก็ยังมิอาจทำอะไรที่มีวี่แววว่าจะสามารถนำไปสู่ชัยชนะเลยแม้แต่น้อย
มิหนำซ้ำยิ่งสู้ยิ่งออกทะเล แต่ละแผนแต่ละหมาก ล้วนแล้วแต่ “บ้อท่า” และออกอาการ “มุขแป้ก” สงคราม 10 ทัพในวันแรกคนก็โหรงเหรง บุกราบ 11 บีบให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา คนส่วนใหญ่ของประเทศก็ไม่ตอบรับ ใช้มนต์ดำ “ดูดเลือดไพร่” ล้างระบอบอำมาตย์ ก็เป็นที่น่าขยะแขยงและสะอิดสะเอียนไปทั้งแผ่นดิน
คำปราศรัยหรือดาราบนเวทีก็กร่อยๆ มีแต่พวกถ่อยๆ ที่พูดจาสุนัขไม่รับประทานและวนเวียนแต่เรื่องเก่าๆ 2 มาตรฐาน ล้มระบอบอำมาตย์ ทวงคืนประชาธิปไตยที่แท้จริง ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว หางแดงทำเพื่อ “พ่อแม้ว” เพียงคนเดียวเท่านั้น
แถมแต่ละกลุ่มแต่ละก๊วนก็ไปกันคนละทางสองทาง แดงสยาม-เสธ.แดงแตกคอกับ 3 เกลือหัวขวด ขณะที่ “แดงตัวพ่อ” ที่คนเสื้อแดงเคารพนับถือบูชายิ่งกว่าพ่อก็ต้องหนีหัวซุกหัวซุนจนแทบไม่มีแผ่นดินจะอยู่ ล่าสุดต้องถูกตะเพิดออกจาก “ดูไบ” ไปซุกหัวอยู่ “มอนเตรเนรโก”
เรียกว่า ทั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธี ม็อบคนเสื้อแดงแพ้อย่างไม่เป็นท่า และทำท่าว่าจะงัดไม้ตายท่าสุดท้ายคือ ก่อจลาจล ก่อวินาศกรรม เผาบ้านเผาเมืองให้พังพินาศสมกับแรงแค้นมาใช้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
**สงคราม 10 ทัพ แพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้รบ
12 มี.ค.53 คือวันแรกที่กลุ่มคนเสื้อแดงประกาศทำสงครามที่พวกเขาใช้ชื่อว่า “สงคราม 10 ทัพ” ซึ่งหลังแผนการรบปรากฏออกมาสู่สายตาสาธารณชนก็เป็นที่หวาดวิตกว่า จะสร้างความฉิบหายวายป่วงให้เกิดขึ้นอย่างมิอาจคาดเดาได้ เพราะกลุ่มคนเสื้อแดงวางแผนที่จะไปม็อบกันในจุดเป็นจุดตายของกรุงเทพฯ ถึง 6 จุดด้วยกัน เรียกว่า เป็นการปิดเมืองเพื่อยึดประเทศเลยทีเดียว
เกมนี้ แม่ทัพคนเสื้อแดงต้องการแสดงให้เห็นว่า ไพร่เสื้อแดงที่อยู่ในกทม.และปริมณฑลมีจำนวนไม่น้อย และต้องการแสดงให้เห็นว่า ม็อบคนเสื้อแดงไม่ได้มีแต่ไพร่ที่มาจากต่างจังหวัด โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคอีสานเท่านั้น
แต่เอาเข้าจริง ไพร่เสื้อแดงในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลกลับไม่ได้มีจำนวนมากสมราคาคุย มากันอย่าง “หร็อมแหร็ม” ทำให้ไม่สามารถขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ให้บรรลุเป้าหมายได้ จนต้องประกาศสลายการชุมนุมไปในเวลาอันรวดเร็ว โดยอ้างว่า เป็นเพียงแค่การแสดงสัญลักษณ์โหมโรงของการต่อสู้ แต่ความจริงคือ ถ้าหากปล่อยต่อไปจะทำให้ขายขี้หน้าตั้งแต่ยังไม่ได้รบ
ขณะที่การคาดหวังว่า การม็อบของไพร่เสื้อแดงจะได้รับการยอมรับจากคนกรุง ก็กลับเป็นว่า บรรดาคนกรุงต่างพากันหอบหิ้วลูกหลานหนีภัยสงครามออกไปต่างจังหวัดกันจนกรุงเทพฯ แทบจะเป็นเมืองร้าง การปิดถนนกดดันจึงหกคะเมนหงายเก๋งไปอย่างไม่เป็นท่า
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพหรือกรุงเทพโพลล์เผยผลสำรวจความคิดเห็นของคนกรุงต่อการชุมนุมของม็อบแดงออกมาชัดเจนว่า คนกรุงเทพฯ ถึงร้อยละ 41 มีความเบื่อหน่ายและเซ็งต่อการชุมนุมของม็อบแดงอย่างมาก
นอกจากนี้ ไพร่แดงยังสร้างวีรกรรมที่ตอกย้ำความถ่อยให้เห็นอีก นั่นก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่บริเวณหน้าศาลากลางปทุมธานี ขณะที่ไพร่เสื้อแดงกำลังขับรถกระจายเสียงเพื่อชักชวนให้ชาวบ้านออกมาร่วมชุมนุม “นายธานินทร์ บุญเกษม” ซึ่งขับรถผ่านมาในเส้นทางนั้นพอดีได้ขอร้องให้หลีกทาง แต่กลับไม่ได้รับความสนใจ แถมทำให้ “นายสันต์ชัย เพชรประเสริฐ” ทาสเสื้อแดงย่านเมืองปทุมไม่พอใจ และจบลงด้วยการใช้โทรโข่งขนาดใหญ่ที่ใช้พูดฟาดเข้าใส่จนถึงขั้นเลือดตกยางออก จนคนกรุงไม่อยากเฉียดกรายเข้าไปใกล้คนเสื้อแดง
**อีแต๋น-ทัพเรือโม้ตัวพ่อ แดงรับจ้าง-แดงทัศนาจรเพียบ
หลังพ่ายแพ้จนแทบจะต้องเอาหน้าไปซุกกระโปรงให้หายอายในวันแรก คนเสื้อแดงก็รีบแจ้นไปจัดขบวนใหม่ ซึ่งสังคมก็เฝ้าจับตามองว่า ในวันที่ 14 มี.ค.ที่จะเป็นการเริ่มต้นการทำสงครามไพร่ล้มอำมาตย์อย่างเต็มรูปแบบนั้น พวกเขาคงมีทีเด็ดทีขาดอย่างไรให้สมกับเป็นสงครามครั้งสุดท้าย
แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะทัพไพร่แดง(ส่วนใหญ่) ที่หลั่งไหลเข้ามาด้วยฝีมือการจัดตั้งของ “ส.ส.พรรคเพื่อไทย” ที่ได้รับท่อน้ำเลี้ยงจากนายใหญ่ก็มิได้น่าสะพรึงกลัวแต่อย่างใด ทั้งปริมาณและคุณภาพ
เพราะมีประจักษ์พยานยืนยันว่า ม็อบคนต่างจังหวัดที่ยกขบวนเข้ามาสมทบนั้น ไม่ได้มาเพราะคลั่งไคล้และศรัทธาในตัว นช.ทักษิณอย่างแท้จริง ดังเช่นคลิปที่ถูกส่งมาจากนครพนมที่ปรากฏภาพกลุ่มคนเสื้อแดงยืนเข้าแถวรับเงินกันหัวละ 2,000 บาทก่อนเข้ากรุง
นอกจากนี้ อีกส่วนหนึ่งก็ร่วมขบวนมาเพียงเพื่อขอทัศนศึกษาและเที่ยวชมกรุงเทพฯ หรือพูดง่ายๆ คือขอติดรถฟรีที่มีพ็อกเก็ตมันนี่และอาหารการกินเพื่อมาเที่ยวกรุงเทพฯ ไม่ได้มุ่งหวังมาร่วมม็อบเพื่อโค่นอำมาตย์แต่ประการใด เพราะฟังคำปราศรัยแล้วยังงงๆ ว่า อำมาตย์ที่จะพามาให้ล้มนั้นคือใครกันแน่
สำหรับการประกาศยกขบวน “รถอีแต๋น” จากต่างจังหวัดเข้ามาอย่างเอิกเกริก รวมทั้งคำโม้ที่จะยกขบวนชลมารคเคลื่อนทัพมาทางเรือ 500 ลำ สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่ “สีสัน” ของการม็อบเท่านั้น เพราะเอาเข้าจริงก็แทบไม่เห็นรถอีแต๋นโผล่มาให้เห็น ส่วนกองเรือที่ทำท่าว่าจะมายกพลขึ้นบกที่ท่าศิริราช ทีแรกนึกว่าจะมาเป็นขบวนใหญ่ยาวเหยียดจนแน่นแม่น้ำเจ้าพระยาไปหมด สุดท้ายก็มีแค่ประมาณไม่เกิน 10 ลำ ทำได้แค่เพียงให้ช่างภาพได้ถ่ายภาพเอาไปลงข่าวอย่างเดียว
ขณะที่การประกาศโม้ว่าจะมีหางแดงมาร่วมม็อบมากถึง 1 ล้านคนนั้นก็เป็นเพียงแค่ราคาคุย เพราะบทสรุปสุดท้ายพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่า งานนี้มีการทรยศ-หักหลังงาบหัวคิวท่อน้ำเลี้ยงกันอย่างมันปาก จากที่คาดหมายว่าจะมาถึงล้านกลับลดฮวบฮาบ มาอย่างมากก็ราวๆ แสนคน ส่งผลทำให้ นช.ทักษิณถึงกับคับแค้นแน่นอยู่ในอกกับแม่ทัพนายกองทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น 3 เกลอหัวขวดหรือ ส.ส.ปากมัน ที่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้รักกันจริง แต่ที่มาร่วมขบวนก็เพียงเพื่อหวังอามิสสินจ้าง รวมทั้งหลอกสูบเงินเพื่อยกสถานะของตัวเองให้เป็น “แดงสู้แล้วรวย” เสียมากกว่า
แถมไอ้ที่มาราวแสนคน ทำไปทำมาเพียงไม่กี่วัน ยอดก็ลดฮวบฮาบจน นช.ทักษิณต้องโฟนอิน ต้องวิดีโอลิงก์มาออดอ้อนให้ออกมาชุมนุมกันให้เยอะกว่านี้
**บุกราบ 11 บีบยุบสภา แค่พาเหรดยืดเส้นยืดสาย
เมื่อกำลังของกองทัพไพร่พร้อมสรรพโดยยึด “สะพานผ่านฟ้าลีลาศ” เป็นกองบัญชาการส่วนหน้า หลายคนอดสงสัยและตั้งคำถามไม่ได้อีกว่า การกำหนดให้สะพานผ่านฟ้าเป็นศูนย์การนำนั้นมีความเหมาะสมหรือไม่ เพราะเหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นว่า จะเป็นชัยภูมิที่ “ดีเด่น” แต่ประการใด นอกเสียจากว่า ต้องการทำเพื่อเป็น “เคล็ดทางไสยศาสตร์” ตามวัตถุประสงค์หลักของการม็อบครั้งนี้
เพราะชื่อของสะพานผ่านฟ้าฯ นั้น ตรงตามเป้าหมายของ นช.ทักษิณที่ต้องการ “ผ่านฟ้า” เพื่อยึดอำนาจรัฐและสถาปนารัฐไทยใหม่ที่มีระบบการปกครองที่พวกเขามักใช้คำอย่างโก้เก๋ “ประชาธิปไตยที่แท้จริง” เป็นการปกครองระบอบสาธารณรัฐเหมือนดังเช่นสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศสหรือเนปาล เฉกเช่นเดียวกับการประกาศสงคราม 10 ทัพแทนที่จะเป็นสงคราม 9 ทัพก็น่าจะเป็นมนต์ดำทางไสยศาสตร์ เพราะต้องไม่ลืมว่า นช.ทักษิณนั้นมีความผูกพันและเชื่อตัวเลข 10 เป็นอย่างมาก เนื่องจากเขาปรารถนาที่จะเป็น “ผู้นำหนึ่งเดียวหมายเลข 10” แห่งแผ่นดินไทย
จากนั้น หัวโจกม็อบไพร่แดงก็ยื่นคำขาดบีบรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ทันที โดยหมัดแรกที่ถูกส่งออกมาก็คือ การขีดเส้นตายให้นายอภิสิทธิ์ยุบสภาก่อนเวลา 12.00 น. ของวันที่ 15 มี.ค.มิฉะนั้นแล้วจะยกขบวนปิดล้อมกทม.ให้พินาศย่อยยับตายตกไปตามๆ กัน
หลังประกาศขีดเส้นตาย เช้าวันที่ 15 มี.ค. 3 เกลือหัวขวดแดงก็ประกาศนำลี้พลไพร่แดงเคลื่อนขบวนออกจากสะพานผ่านฟ้าฯ ไปปิดล้อมกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์(ร.11 รอ.) เนื่องจากนายอภิสิทธิ์และบุคคลสำคัญหลายคนย้ายไปพำนักพักอาศัยที่นี่ รวมทั้งเป็นที่ตั้งของศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ(ศอ.รส.)
ทั้งนี้ นอกจากหวังปิดล้อมราบ 11 แล้ว ยังหวังที่จะยั่วยุทหารให้ตบะแตกจนต้องหยิบอาวุธขึ้นมาประหัตประหารไพร่แดงตามที่วางแผนเอาไว้
ทว่า ยุทธวิธีนี้ก็ล้มเหลวอีก เนื่องจากก่อนที่ไพร่แดงจะเคลื่อนขบวนไปถึงราบ 11 และก่อนที่จะถึงเส้นตายในเวลา 12.00 น. นายอภิสิทธิ์ก็ได้ชิงประกาศอย่างชัดเจนด้วยความหนักแน่นและเป็นเหตุเป็นผลอีกว่า หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็ไม่ประกาศยุบสภา เพราะการยุบสภาไม่สามารถแก้ปัญหาของชาติได้
ดังนั้น เมื่อม็อบแดงไปถึงจึงออกอาการ “เหวอ” จนไม่สามารถคิดแผนออกมารับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนได้ทัน สุดท้ายหันรีหันขวางอยู่พักใหญ่ “นายวีระ มุสิกพงศ์” ตัดสินใจประกาศชัยชนะและประกาศสลายตัวกลับไปยังฐานที่มั่นสะพานผ่านฟ้าฯ
เรียกว่า ม็อบแดงยังไม่ทันมารวมกันที่ราบ 11 ครบถ้วนทั่วทุกตัวคน แกนนำก็ประกาศให้กลับเสียแล้ว
งานนี้ เล่นเอาบรรดาแดงฮาร์ดคอร์หัวเสียไปตามๆ กัน เพราะเดิมทีตั้งใจจะมาทำสงครามแตกหัก บุกค่ายทหารให้รู้ดำรู้แดงกันไป แต่แกนนำกลับหลอกให้เดินให้นั่งรถมาเหนื่อยฟรีๆ ดังนั้น แดงฮาร์ดคอร์จำนวนไม่น้อยจึงพากันบ่ายหน้าออกจากราบ 11 กลับบ้านช่องห้องหับของตัวเองแบบเข็ดขี้เข็ดเยี่ยวกันไปอีกนาน
“รอยเตอร์” ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ของ “นายมนัส เต็งมณี” จากจังหวัดลำปางว่า “ผมอยากให้รุกคืบกว่านี้ และทำอะไรที่ดุดัน ผมว่าถ้าไม่เลือดสาดจริงๆ ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก”
ขณะที่ภาคธุรกิจ ทั้งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทยและหอการค้าไทย ก็ไม่ตอบรับแนวคิดเรียกร้องให้ยุบสภาของม็อบ เกมนี้ รัฐบาลจึงคว้าชัยชนะได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
**“สูบเลือดไพร่”มนต์ดำทำทัพแตก
แก๊งอีเพ็ญ-เสธ.แดงฟาดปาก 3 เกลอ
ระหว่างที่ศูนย์การนำกำลังเสียขบวน ทัพไพร่แดงกำลังหัวเสียที่ถูกหลอกให้ฝ่าแดดที่ร้อนเปรี้ยงแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จู่ๆ “นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ที่ได้รับความไว้อกไว้ใจจากนช.ทักษิณมากที่สุด ก็หยิบไมค์โผล่ขึ้นมาบนรถขยายเสียงพร้อมประกาศแผนใหม่ที่ดูเหมือนจะคิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน นั่นก็คือ “แผนสูบเลือดไพร่” ให้ได้ 3 ล้านซีซี.เพื่อนำไปเทที่ทำเนียบรัฐบาล ที่พรรคประชาธิปัตย์และที่บ้านของนายอภิสิทธิ์ที่ซอยสวัสดี ถนนสุขุมวิท
นัยว่าเป็นการกระทำเพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้รัฐบาลเห็นว่า ความรุนแรงกำลังจะเกิดขึ้น
ทว่า แท้ที่จริงแล้ว การเทเลือดที่เกิดขึ้นคือพิธีกรรมไสยศาสตร์หรือมนต์ดำที่ม็อบแดงใช้เพื่อสาปแช่งให้บ้านเมืองฉิบหาย ซึ่งเรื่องนี้ได้มีการยอมรับออกมาจากปากของพราหมณ์เสื้อแดงอย่าง ”พราหมณ์ศักดิ์ระพี พรหมชาติ” บุตรชายของ “พราหมณ์" จ้ง พรหมชาติ” พราหมณ์ราชสำนักอาวุโส ผู้ที่รับหน้าที่เป็นพราหมณ์เจ้าพิธีในการชุมนุมทุกครั้งของเหล่าคนเสื้อแดง รวมถึงพิธีการเทเลือดที่เกิดขึ้นด้วย
“ยอมรับว่าเป็นพิธีอัปมงคลที่มีการทำกันเป็นครั้งแรก โดยทางพราหมณ์แจ้งผู้เป็นพ่อก็เตือนว่าจะส่งผลที่ไม่ดีต่อบ้านเมือง เพราะบ้านเมืองจะเจอกับความหายนะฉิบหายไม่เว้นแม้กระทั่งผู้กระทำและตัวผู้ถูกกระทำ ผลร้ายถึงหายนะของประเทศชาติ เพราะพิธีนี้จุดธูป 1 ดอก เป็นการกราบไหว้คนตาย ไม่ใช่แค่ 3-4คน แต่เป็นทั้งครม. ที่ต้องเหยียบย่ำเลือดคนเสื้อแดงก่อนเข้าประตูทางเข้าและทางออก เหตุผลที่ต้องเทเลือดในครั้งนี้ก็เพราะรัฐบาลไม่ฟังเสียงของประชาชน" พราหมณ์เก๊ประจำกลุ่มเสื้อแดงกล่าว
ทันทีที่สังคมรับทราบ เสียงก่นด่าก็ตามมาอย่างไม่ขาดสาย เพราะเป็นการกระทำอุบาทว์ชาติชั่วอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จากนั้นความคิดเห็นของประชาชนก็สะท้อนออกมาอย่างรุนแรงผ่านทางสื่อต่างๆ โดยเฉพาะสื่อออนไลน์
“พระราชครูวามเทพมุนี” หัวหน้าพราหมณ์เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า เป็นการทำพิธีที่ไม่ใช่การกระทำในวิถีของพราหมณ์ เพราะการนำเลือดคนมาเททิ้งนั้น เป็นการไม่ให้เกียรติ การให้เลือดคนมาหนึ่งหยด ก็มีคุณค่า แต่กลับนำมาเทด้วยความอาฆาตมาดร้าย หรือ สาปแช่งด้วยวิธีต่างๆ จึงไม่ใช่วิถีพราหมณ์ที่จะปฏิบัติ ซึ่งวิถีของพราหมณ์ คือ การส่งเสริมความสงบ ความสุข สันติเกิดขึ้นในจิตใจ
ส่วนการที่ นายศักดิ์ระพี พรหมชาติ ผู้ที่แต่งกายเป็นพราหมณ์นำประกอบพิธี และได้มีการอ้างตนว่ามีพ่อเป็นพราหมณ์หลวงในสำนักพระราชวังนั้น ความจริงแล้วเขามีเชื้อสายพราหมณ์ แต่พ่อเขาไม่ได้ทำงานในวัง และไม่ได้เป็นพราหมณ์ของสำนักพระราชวัง แต่เคยมาอยู่ในโบสถ์พราหมณ์เมื่อ 20 ปีที่แล้ว โดยได้มาทำพิธีที่ทำให้เสื่อมเสียและปฏิบัติตนไม่เหมาะสมจึงให้ออกไป เพราะฉะนั้นจึงไม่ถือว่าเขาเป็นพราหมณ์ อีกทั้งนายศักดิ์ระพีก็ไม่ได้มาบวชที่โบสถ์พราหมณ์แต่อย่างใด แต่ได้แต่งตัวและทำตัวเป็นพราหมณ์ขึ้นมาเอง
แต่ที่น่าสนใจก็คือ ในแก๊งเสื้อแดงเองก็ไม่เห็นด้วยกับมนต์ดำการเทเลือด รวมทั้งยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีในการนำม็อบของ 3 เกลอเพราะเล็งเห็นแล้วว่า “ไร้ประสิทธิภาพ” และนับวันยิ่งจะนำม็อบเสื้อแดงไปสู่ความพ่ายแพ้
แดงสยามตัวพ่อ หัวหน้าขบวนล้มเจ้าตัวเอ้อย่าง “นายสุรชัย แซ่ด่าน” ถึงกับอดรนทนไม่ไหวต้องออกมาเปิดปากไล่ 3 เกลอให้พ้นไปจากการนำหลังจากถูกการ์ด นปช.คนกันเองแสดงท่าทีไม่พอใจขณะที่เขากำลังปราศรัยกับกลุ่มแดงสยามบริเวณหน้าอาคารสหประชาชาติ
สหายสุรชัยซัด 3 เกลออย่างไม่ไว้หน้าว่า แนวทางการต่อสู้ของสามเกลอมีแต่จะทำให้แพ้ ไม่สามารถโค่นล้มอำมาตย์ได้ พร้อมแนะนำให้ใช้แนวทางการปฏิวัติตามที่นายจักรภพเคยเสนอให้นายใหญ่ด้วยการปรับเปลี่ยนทั้งโครงสร้าง
ตามต่อด้วย “พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล” หรือ “เสธ.แดง” ที่ซัดเข้าเป้าทันทีว่า “การเจาะเลือดไม่ใช่นโยบายของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เป็นแนวความคิดของแกนนำ นปช.เอง และหากกรีดเลือดแล้วรัฐบาลไม่ยุบสภา จะทำอย่างไร นายจตุพรไม่ต้องเผาตัวเองเลยหรือ วันนี้นปช.สู้ไม่ได้ ก็ควรยอมรับ นำประชาชนถอยทัพกลับไป แล้วก็ควรจะมีการจัดทัพใหม่”
มนต์ดำเลือดแดงกลับกลายเป็นชนวนที่ทำให้ไพร่แดงแตกคอกันอย่างเละเทะ เมื่อ 3 เกลอหัวขวดสวยยกขบวนหัวโจกนปช.แดงทั้งแผ่นดินขึ้นเวทีประกาศตัดญาติขาดมิตรกับนายสุรชัยและพล.ต.ขัตติยะ
แต่เอาเข้าจริงนั่นอาจเป็นเพียงแค่ “แผนหลอก” ในช่วงที่มีการปรับแผนจากนายใหญ่ หรือเป็นเพียงแค่ “การฆ่าตัดตอน” หลังจากที่นายใหญ่มีคำสั่งให้นำแผนฮาร์ดคอร์มาใช้
เป็นการทำให้ภาพของไพร่แดงที่ผ่านฟ้าฯ เป็นภาพของมวลชนที่เคลื่อนไหวอย่างสงบ สันติและอหิงสา เพื่อเปิดทางให้แดงฮาร์ดคอร์ก่อความรุนแรงตามแผนที่นายใหญ่บัญชา
ทั้งนี้ เพื่อปฏิเสธว่า พวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น หรือหมายความว่า ถ้าเกิดระเบิดหรือมีใครบาดเจ็บล้มตาย ไม่ใช่ฝีมือของ 3 เกลอ หากแต่เป็นฝีมือของนายสุรชัยและเสธ.แดงแทน ทั้งๆ ที่พวกเขาก็ยังคงเป็นพวกเดียวกันเหมือนเดิม เพียงแต่สร้างภาพให้เกิดความแตกแยกเพื่อแยกกันไปปฏิบัติการตามแนวทางของนายใหญ่เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เลือดไพร่ที่ถูกสูบออกมานั้น เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ครบ 3 ล้านซี.ซี . ตามเป้าที่กำหนดไว้เพราะม็อบโหรงเหรง หร็อมแหร็มเหลือคนไม่กี่มากน้อย แถมยังมีการตั้งข้อสังเกตว่า เป็นเลือดคนจริงๆ หรือไม่ ดังเช่นที่นายทศพล เพ็งส้ม ส.ส.นนทบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า ได้รับแจ้งจากชาวบ้านในย่านตลาดท่าอิฐ ว่า เมื่อคืนวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา มีกลุ่มคนเสื้อแดงนนทบุรีไปขอซื้อเลือดวัว เลือดควาย จากโรงเชือดวัวและควายในชุมชนพี่น้องมุสลิมย่านท่าอิฐกว่า 30 ลิตร โดยบรรจุในแกลลอนขนาดถังละ 5 ลิตร จำนวน 6 แกลลอน เท่ากับ 30 ลิตร คาดว่า จะนำไปผสมน้ำและสารบางตัวที่ทำให้เลือดไม่จับตัวแข็งเป็นก้อน เพื่อนำไปใช้อ้างว่าเป็นเลือดคนเพื่อใช้เทที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ที่หน้าพรรคประชาธิปัตย์และที่บ้านของนายกรัฐมนตรี
**มุขแป้ก ร้อง ส.ส.เพื่อไทยลาออก
ขณะที่การวิดีโอลิงก์เข้ามาล้างสมองไพร่แดงของ นช.ทักษิณเองก็ไม่สามารถสะกดไพร่พลของตัวเองเอาไว้ได้ เพราะมีแต่เรื่องเก่าๆ ที่ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องโกหกพกลมทั้งสิ้น แถมการงัด “คลิปเสียง” ของนายอภิสิทธิ์ที่เขาอ้างว่า เป็นคลิปเสียงที่นายอภิสิทธิ์สั่งให้ใช้ความรุนแรงจริง ก็เป็นเรื่องที่ตลกโปกฮาเข้าไปใหญ่ เนื่องจากมีการพิสูจน์ให้เห็นชัดๆ แล้วว่าเป็นการตัดต่อ
ขณะเดียวกันก็ไม่ได้มีข้อมูลทีเด็ดเกี่ยวกับการทุจริตคอรัปชั่นของรัฐบาลออกมาให้สังคมเห็น เรียกร้องแต่การล้มระบอบอำมาตย์ ประชาธิปไตยที่แท้จริง ซึ่งเป็นนามธรรมที่บัดนี้คนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยก็ยังงงๆ ว่า ไอ้ประชาธิปไตยที่แท้จริงหรือระบอบอำมาตย์นั้นมันหมายถึงอะไร
แต่ที่เรียกว่าน่าสมเพชเวทนาและสร้างความเจ็บปวดในหัวใจของไพร่เสื้อแดงที่สุดคือ ขณะที่พ่อแม้วโฆษณาชวนเชื่อให้ไพร่เสื้อแดงออกศึก แต่ตัวเองกลับสั่งลูกเมียและวงศ์วานว่านเครือหนีไปต่างประเทศเสียเฉยๆ
ความรู้สึกของไพร่เสื้อแดงจึงปวดร้าวอย่างไม่อาจหาคำบรรยายได้พร้อมกับคำถามว่า “นี่มันหลอกมาตายกันนี่หว่า...”
ดังนั้น นับวันพลพรรคไพร่แดงจึงเริ่มเห็นธาตุแท้ของ นช.ทักษิณชัดเจนขึ้นว่า การนำม็อบออกมาสร้างความวุ่นวายให้กับบ้านเมืองนั้น เป็นการทำเพื่อตัวเองทั้งสิ้น ขณะที่ไพร่แดงอย่างพวกเขาต้องทั้งตากแดดที่ร้อนราวกับจะเผาให้ละลาย ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย ต้องทนเหม็นกับสิ่งปฏิกูลที่ขับถ่ายออกมา
ระหว่างนั้นเอง นายวีระก็ยิงมุขใหม่ออกมาอีกมุขหนึ่งโดยเสนอให้ “ส.ส.พรรคเพื่อไทย” ซึ่งเป็นแนวร่วมในการยึดบ้านยึดเมืองยื่น “ใบลาออก” เพื่อกดดันให้รัฐบาลยุบสภา แต่ก่อนพูดนายวีระคงลืมไปซาวด์เสียงพรรคพวกก่อนว่า จะเอาด้วยหรือไม่ เพราะทันทีที่โยนข้อเสนอออกมา บรรดา ส.ส.พท. รวมถึงน้องรักของนายวีระคือนายจตุพร พรหมพันธุ์ หรือแม้แต่ นช.ทักษิณเองก็ไม่เห็นด้วย
งานนี้เลยสะท้อนภาพให้เห็นถึงความมั่วที่ต่างคนต่างทำ ต่างคนแย่งกันเป็นใหญ่ โดยไม่ได้มีการปรึกษาหารือให้สะเด็ดน้ำเสียก่อนที่จะโยนแผนออกมา
** วินาศกรรม-ส่ง M-79 หาเหยื่อสังเวยเกมอำนาจ
อย่างไรก็ตาม เมื่อหนทางที่พยายามสร้างภาพว่า ม็อบไพร่แดงยึดหลัก “สงบ สันติ อหิงสา” เป็นธงนำในการทำม็อบทำท่าจะตีบตันไปทุกที เพราะไพร่พลที่ระดมขนกันมาก็เก็บข้าวเก็บของทยอยกลับกันไปทีละคนสองคน ทางเลือกของซูเปอร์นายทุนศักดินาตัวพ่อดูจะเหลือน้อยไปทุกที
ปฏิบัติการแผน 2 จึงได้เริ่มสำแดงอิทธิฤทธิ์ออกมาให้เห็น นั่นคือการใช้ความรุนแรง แม้ขณะนี้มิอาจสรุปได้ว่า ใครเป็นคนลงมือทำ แต่เชื่อว่า สังคมคงคาดเดาไม่ยากว่าใครเป็นคนทำ
และระเบิดลูกแรกก็เกิดขึ้นขณะที่ไพร่แดงกำลังจะยกขบวนกลับจากราบ 11 เมื่อมีการยิง M-79 ถล่มกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ หรือ ร.1พัน 1 รอ.ซึ่งตั้งอยู่บริเวณถนนวิภาวดีรังสิตขาออกจำนวน 4 ลูก ส่งผลทำให้ทหารได้รับบาดเจ็บทันที 2 นายคือ จ.ส.อ.ปรีชา ปานสมุทรและพลทหารหนุ่ม ศรีเฝือง
M-79 ที่ถูกยิงออกมานั้น มิอาจหมายความเป็นอื่นได้ เพราะคนที่ยิงมีเจตนาชัดเจนว่า ต้องการยั่วทหารให้โกรธจนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ จนต้องสั่งให้มีการใช้ความรุนแรงกับม็อบ แต่เกมยั่วครั้งนี้ก็ไม่ประสบความสำเร็จอีกเช่นเคย เนื่องจากทหารไม่หลงกล
จากนั้น M-79 ลูกที่สองก็ถูกส่งออกมาอีก คราวนี้เป้าหมายอยู่ที่บุคคลสำคัญคือ “นายอักขราทร จุฬารัตน” ประธานศาลปกครองสูงสุด ซึ่งถึงแม้ M-79 จะพลาดเป้าบ้านพักของนายอักขราทรพอสมควร แต่ก็มิอาจตีความเป็นอย่างอื่นได้ว่า มีเจตนาเพื่อบีบคั้นสถานการณ์ให้เลวร้าย แต่เกมยั่วครั้งนี้ก็ไม่ประสบความสำเร็จอีกเช่นเคย
ตามต่อด้วยการส่งจักรยานยนต์ไปปาระเบิดบ้าน “นายคะแนน สุภา” พ่อตานายเนวิน ชิดชอบ ที่จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้กระจกสำนักงานชั้นล่างแตกเสียหาย 1 บาน แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งคนทำมีเจตนาที่จะยั่วยุให้นายเนวินโมโหและสั่งขุนทหารพร้อมขุนตำรวจเสื้อน้ำเงินออกมาแก้แค้นม็อบ จนก่อให้เกิดการจลาจลขึ้น แต่เกมยั่วก็ไม่ประสบความสำเร็จเหมือนเดิม
ดังนั้น นับจากนี้เป็นต้นไป จึงมีความสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งที่เป้าหมายต่อไปในการยิง M-79 ก็มีสิทธิ์เป็นไปได้ที่จะปรับเปลี่ยนเป็นการยิงเข้ามาที่เวทีชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงแทน เพื่อใช้ชีวิตและเลือดไพร่เป็นเครื่องบัดพลีชัยชนะในการทำสงคราม ดังเช่นที่มีข่าวออกมาว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาประกาศแจ้งเตือนมายังรัฐบาลไทยว่า จากการดักฟังทางโทรศัพท์ของ นช.ทักษิณขณะเดินทางไปยังมอนเตรเนโกร พบมีการสั่งการให้“ก่อวินาศกรรม”
นอกจากนี้ คำยืนยันจาก “พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย” โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่ยอมรับถึงกระแสข่าวการลอบสังหารนายอภิสิทธิ์และบุคคลสำคัญในบ้านเมือง โดยกำลังจับตากลุ่มผู้ต้องสงสัยประมาณ 5-6 กลุ่ม ที่เคยก่อเหตุและสร้างสถานการณ์ความรุนแรงป่วนบ้านเมืองในช่วงที่ผ่านมา ก็คือ สิ่งที่ต้องระวังเช่นกัน
ความน่าสะพรึงกลัวเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น