หายใจไม่ทั่วท้องไปตามๆกัน เมื่อกลุ่มคนเสื้อแดงระดมพลนับแสนในวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา ทั้งม็อบรับจ้างและสาวกตัวจริง”ทักษิณ ชินวัตร” จากต่างจังหวัดหลั่งไหลเข้าสู่กรุง ท่ามกลางข่าวก่อวินาศกรรมกระจายไปทั่ว
หลายชุมชนเมืองกรุงจัดตั้งกำลังชายฉกรรจ์คอยรับมือม็อบป่วนบุกเผาบ้านเรือน เพราะเคยได้รับบทเรียนจากสงกรานต์เลือดมาแล้ว ในส่วนของภาครัฐก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ วางแผนรับมือเต็มอัตราศึก ทั้งทหาร ตำรวจ กว่า 5 หมื่นนาย มีการวางกำลังคุ้มกันสถานที่ราชการ ห้างสรรพสินค้า และสถานที่บุคคลสำคัญที่ยืนคนละขั้วกับกลุ่มคนเสื้อแดงโดยเฉพาะฝ่ายตุลาการ
แปดโมงครึ่งของวันที่ 15 มีนาคม ขบวนทัพรถบรรทุก 6 ล้อ รถกระบะ และจักรยานยนต์ หลักหมื่นคน ตั้งแถวจัดขบวนทัพยาตราปิดล้อม กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง และ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ กำลังประชุมศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) เพื่อกดดันให้ยุบสภา
คลื่นไพร่สีแดงเถือกเคลื่อนผ่านลานพระบรมรูปทรงม้า แยกวังสวนจิตรฯ แยกตึกชัย ถนนพระราม 6 สวนจัตุจักร แยกลาดพร้าว ผ่าน ถนนพหลโยธิน ไปสมทบที่บริเวณราบ 11 ไม่ขาดสาย การจราจรอัมพาตไปทุกสายที่สีแดงผ่าน
ท่ามกลางความเป็นห่วงบ่วงใยของหลายฝ่ายว่าอาจการกระทบกระทั่งและเกิดความรุนแรงเกิดขึ้น ซึ่งทั้งผองก็คือเลือดไทยด้วยกัน
แต่ระหว่างที่กลุ่มคนเสื้อแดงปิดล้อม ราบ 11 อยู่นั้น เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเมื่อ กลุ่มคนร้ายยิงอาวุธปืนเอ็ม 79 ใส่ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 พัน 1 รอ.) ถนนวิภาวดีรังสิต เขตดินแดง กทม. เป็นเหตุให้ จ.ส.อ.ปรีชา ปานสมุทร ถูกสะเก็ดระเบิดเข้าที่ช่องท้อง และ พลทหารหนุ่ม ศรีเฟื่อง ได้รับบาดเจ็บที่แขนซ้าย
ยุทธศาสตร์ยั่วยุทหารก็เริ่มขึ้น เพื่อกระตุกต่อมอดทนอดกลั้นให้สิ้นสุด แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนอง เพราะทหารยังนิ่ง ไม่สะทกสะท้านต่อแผนการยั่วยุให้ใช้อำนาจปราบปรามผุ้ชุมนุมแต่อย่างใด
เหตุดังกล่าวแย้งกับสามเกลอขัวขวด ที่พูดอยู่ตลอดเวลาว่าพวกเขามาชุมนุมโดยสงบและสันติ ไม่นานสามเกลอก็ประกาศยุติการชุมนุม ถอยร่นจาก ราบ 11 ไปตั้งหลักที่สะพานผ่านฟ้า สร้างความผิดหวังให้กับกลุ่มฮาร์ดคอร์ไปตามๆกัน
และกลางดึกคืนวันเดียวกัน เกิดเหตุคนร้ายปาระเบิดบริษัทเชียงใหม่คอนตรัคชั่น จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 30 ถ.มหิดล ต.สุเทพ อ.เมืองเชียงใหม่ ซึ่งเป็นบริษัทของ นายคะแนน สุภา พ่อตาของนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย อีกครั้ง
ยังไม่ทันข้ามคืน กระสุน เอ็ม 79 ปริศนา ก็ยิงใส่หลังคาบ้าน นายวรสิทธิ เกียรติทวีอนันต์ อายุ 43 ปี นักธุรกิจ ภายซอยลาดพร้าว 23 แขวงจันทร์เกษม เขตจตุจักร กทม. ห่างจากบ้านพัก นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด ไม่กี่ร้อยเมตร แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะออกมาแก้ต่างว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับบ้าน นายอักขราทร แต่ นายวรสิทธิ ก็ออกมาบอกว่า เขาไม่ได้มีเรื่องมีราวขัดแย้งกับใคร
อย่างไรก็ตามเป็นที่ทราบกันดีว่า นายอักขราทร สมัย เป็น รองประธานตุลาการรัฐธรรมนูญ เคยพิพากษายุบพรรคไทยรักไทยและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด 111 คน เป็นเวลา 5 ปี และผลจากการตัดสินคดีดังกล่าว ทำให้ นายอักขราทร ถูกมือมืดนำระเบิดมาวางขู่ที่บ้านพักมาแล้ว
ซึ่งพอจะมองออกว่าแนวทางการต่อสู้ของกลุ่มคนเสื้อแดง มีอยุ่ด้วยกัน สองแนวทาง ทั้งบนดินและใต้ดิน โดยให้สามเกลอนำมวลชนกดดันรัฐบาลในรูปแบบต่าง ๆ เช่นปิดล้อมสถานที่ราชการ ปราศรัยโจมตีรัฐบาลและ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ล่าสุดที่กลายเป็นข่าวฮือฮาคือกรณี เอาเลือดไปราดใส่ทำเนียบรัฐบาล ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ และบ้านพักนายอภิสิทธิ์ ซึ่งผู้อยู่เบื้องหลังคงมองไม่เห็นถึงชัยชนะ หากปล่อยให้สามเกลอทำเรื่องโง่ๆ ต่อไป
ขณะที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ออกมาให้สัมภาณ์ว่าได้รับแจ้งจากสหรัฐอเมริกาว่า นช.ทักษิณ โทรศัพท์สั่งการให้พวกหัวรุนแรงก่อวินาศกรรม ทำร้ายทำลายบ้านเมืองที่ให้ที่ซุกหัวนอนและให้ทำมาหากินจนเขามีวันนี้ได้
ปฏิเสธไม่ได้ว่า แนวทางการต่อสู้แบบอสิงหาใช้ไม่ได้ผลกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้แน่นอน เพราะมวลชนบางส่วนเห็นทาสแท้ของ นช.ทักษิณ ที่เอาตัวรอดจากเหตุการณ์ สงกรานตร์เลือด ที่ประกาศจะออกมายืนแถวหน้านำประชาชนเมื่อเสียงปืนแตก แต่เมื่อเกิดเหตุรุนแรงเขากลับนอนสบายใจเฉิบที่ดูไบ นอกจากนี้ก่อนถึงการระดมมวลชนในวันที่ 14 มีนาคม เขาก็สั่งการให้ลูกเมียและวงศ์วานว่านเครือ หนีเอาตัวรอดออกนอกประเทศ โดยทิ้งผู้ชุมนุมที่ยืนอยู่ข้างเขาให้โดดเดี่ยวและเดียวดาย
ต้องยอมรับว่าในการระดมมวลชนครั้งนี้ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ที่มาคือชาวบ้านตาดำๆ ที่รักนโยบายประชานิยมทักษิณส่วนหนึ่ง และอีกส่วนคือเงินค่าจ้าง ซึ่งครั้งนี้ถือว่ามีการจ่ายกัน 2,000 บาทต่อหัว สูงกว่าการชุมนุมครั้งที่ผ่านๆมา
อย่างไรก็ตามจนถึงขณะนี้ยอดผู้ชุมนุมบางตาลงไปมากเหลือไม่กี่พันคนเพราะต่างทยอยกันกลับบ้าน ไปทำมาหากิน ตามปกติ
มวลชนก็ยิ่งลดน้อยถอยลง แถมฝ่ายสามเกลอ เกิดมาแตกคอกับ ทหารนอกแถว “พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิ กองทัพบกอีก โดยนายจตุพร ถึงกับด่าอย่างเสียๆหายๆว่า
“มีพวกปากหมาคอยออกมาพูดว่าการใช้สันติวิธีไม่มีทางชนะ ต้องใช้ความรุนแรง ผมอยากขอให้คนปากหมาพวกนี้เลิกพูดกวนตีนได้แล้ว ไอ้ พล.ต.ขัตติยะ ขอให้เลิกกวนตีน เก็บปากเอาไว้ เพราะคนเสื้อแดงยืนยันว่าจะใช้สันติวิธี ไม่มีนักรบจริงที่ไหนเดินไปให้ถูกจับที่กองปราบ คนที่เดินไปให้ถูกจับ เขาเรียกว่าพวกกระจอก”
และไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการปะทะคารมกัน ก่อนหน้านี้ ฝ่ายนายจตุพร ได้ด่า พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อย่างสาดเสียเทเสียมาแล้ว ซึ่งครั้งนั้น เสธ.แดง ถึงกับลมออกหูประกาศว่าเสร็จสงครามล้มอำมาตย์เมื่อไหร่ จะจัดการ นายจตุพร แน่นอน
นอกจากนี้มีศึกอีกด้านกับกลุ่มล้มเจ้า”แดงสยาม”ที่มี คอมมิวนิสหลงยุค “ นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ” และ เจ๊เพ็ญ นายจักรภพ เพ็ญแข ผู้ต้องหาหนีคดีหมิ่นเบื้องสูง ที่มองว่าแนวทางการต่อสู้ของสามเกลอ ไม่สามารถล้มรัฐบาลและอำมาตย์ได้
หากมองตามรูปการณ์ปรากฏ จะเห็นว่าคนที่ตกที่นั่งลำบากคือ นช.แม้ว เพราะกลุ่มลิ้วล้อต่างแตกคอแยกเป็นก๊กเป็นเหล่า แต่อย่าลืมว่ายุทธศาสตร์แสร้งแตกแยกให้ศรัตรูตายใจ เปิดแนวรบแยกกันตี ใช้ได้ผลมาแล้วหลายสมรภูมิ
แต่จะเช็คบิลรัฐนาวามาร์คได้หรือไม่นั้น จากการประเมินของฝ่ายความมั่นคงพบว่าขณะนี้มวลชนเริ่มอ่อนแรง เจออากาศร้อนตับแลบของเมืองกรุงมาตั้งแต่วันเริ่มชุมนุม จนหลายคนถอดใจ และแกนนำไร้ต้นทุนอย่างสามเกลอก็ดูท่าจะเสื่อมถอย เพราะหลอกดูดเงินทักษิณไปวันๆ หากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ นช.แม้วและพลพรรคเสื้อแดงนับถอยหลังแพ้ได้เลย
แต่ทั้งนี้อย่าลืมว่าคนอย่าง"ทักษิณ ชินวัตร" ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ แผนการชั่วช้าสามานย์เผาบ้านป่วนเมือง หรือลอบสังหาร นายกรัฐมนตรีฯเพื่อยั่วยุให้ทหารใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชน อาจถูกงัดออกมาใช้ อย่างที่นายสุเทพและนายสาธิต วงศ์หนองเตย ออกมาลากไส้ สถานการณ์กำลังเดินทางเข้าสู่จุดเขม็งเกลียว ซึ่งไม่มีใครบอกได้ว่าวันข้างหน้านี้จะเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเมืองของเรา
หลายชุมชนเมืองกรุงจัดตั้งกำลังชายฉกรรจ์คอยรับมือม็อบป่วนบุกเผาบ้านเรือน เพราะเคยได้รับบทเรียนจากสงกรานต์เลือดมาแล้ว ในส่วนของภาครัฐก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ วางแผนรับมือเต็มอัตราศึก ทั้งทหาร ตำรวจ กว่า 5 หมื่นนาย มีการวางกำลังคุ้มกันสถานที่ราชการ ห้างสรรพสินค้า และสถานที่บุคคลสำคัญที่ยืนคนละขั้วกับกลุ่มคนเสื้อแดงโดยเฉพาะฝ่ายตุลาการ
แปดโมงครึ่งของวันที่ 15 มีนาคม ขบวนทัพรถบรรทุก 6 ล้อ รถกระบะ และจักรยานยนต์ หลักหมื่นคน ตั้งแถวจัดขบวนทัพยาตราปิดล้อม กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง และ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ กำลังประชุมศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) เพื่อกดดันให้ยุบสภา
คลื่นไพร่สีแดงเถือกเคลื่อนผ่านลานพระบรมรูปทรงม้า แยกวังสวนจิตรฯ แยกตึกชัย ถนนพระราม 6 สวนจัตุจักร แยกลาดพร้าว ผ่าน ถนนพหลโยธิน ไปสมทบที่บริเวณราบ 11 ไม่ขาดสาย การจราจรอัมพาตไปทุกสายที่สีแดงผ่าน
ท่ามกลางความเป็นห่วงบ่วงใยของหลายฝ่ายว่าอาจการกระทบกระทั่งและเกิดความรุนแรงเกิดขึ้น ซึ่งทั้งผองก็คือเลือดไทยด้วยกัน
แต่ระหว่างที่กลุ่มคนเสื้อแดงปิดล้อม ราบ 11 อยู่นั้น เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเมื่อ กลุ่มคนร้ายยิงอาวุธปืนเอ็ม 79 ใส่ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 พัน 1 รอ.) ถนนวิภาวดีรังสิต เขตดินแดง กทม. เป็นเหตุให้ จ.ส.อ.ปรีชา ปานสมุทร ถูกสะเก็ดระเบิดเข้าที่ช่องท้อง และ พลทหารหนุ่ม ศรีเฟื่อง ได้รับบาดเจ็บที่แขนซ้าย
ยุทธศาสตร์ยั่วยุทหารก็เริ่มขึ้น เพื่อกระตุกต่อมอดทนอดกลั้นให้สิ้นสุด แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนอง เพราะทหารยังนิ่ง ไม่สะทกสะท้านต่อแผนการยั่วยุให้ใช้อำนาจปราบปรามผุ้ชุมนุมแต่อย่างใด
เหตุดังกล่าวแย้งกับสามเกลอขัวขวด ที่พูดอยู่ตลอดเวลาว่าพวกเขามาชุมนุมโดยสงบและสันติ ไม่นานสามเกลอก็ประกาศยุติการชุมนุม ถอยร่นจาก ราบ 11 ไปตั้งหลักที่สะพานผ่านฟ้า สร้างความผิดหวังให้กับกลุ่มฮาร์ดคอร์ไปตามๆกัน
และกลางดึกคืนวันเดียวกัน เกิดเหตุคนร้ายปาระเบิดบริษัทเชียงใหม่คอนตรัคชั่น จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 30 ถ.มหิดล ต.สุเทพ อ.เมืองเชียงใหม่ ซึ่งเป็นบริษัทของ นายคะแนน สุภา พ่อตาของนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย อีกครั้ง
ยังไม่ทันข้ามคืน กระสุน เอ็ม 79 ปริศนา ก็ยิงใส่หลังคาบ้าน นายวรสิทธิ เกียรติทวีอนันต์ อายุ 43 ปี นักธุรกิจ ภายซอยลาดพร้าว 23 แขวงจันทร์เกษม เขตจตุจักร กทม. ห่างจากบ้านพัก นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด ไม่กี่ร้อยเมตร แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะออกมาแก้ต่างว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับบ้าน นายอักขราทร แต่ นายวรสิทธิ ก็ออกมาบอกว่า เขาไม่ได้มีเรื่องมีราวขัดแย้งกับใคร
อย่างไรก็ตามเป็นที่ทราบกันดีว่า นายอักขราทร สมัย เป็น รองประธานตุลาการรัฐธรรมนูญ เคยพิพากษายุบพรรคไทยรักไทยและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด 111 คน เป็นเวลา 5 ปี และผลจากการตัดสินคดีดังกล่าว ทำให้ นายอักขราทร ถูกมือมืดนำระเบิดมาวางขู่ที่บ้านพักมาแล้ว
ซึ่งพอจะมองออกว่าแนวทางการต่อสู้ของกลุ่มคนเสื้อแดง มีอยุ่ด้วยกัน สองแนวทาง ทั้งบนดินและใต้ดิน โดยให้สามเกลอนำมวลชนกดดันรัฐบาลในรูปแบบต่าง ๆ เช่นปิดล้อมสถานที่ราชการ ปราศรัยโจมตีรัฐบาลและ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ล่าสุดที่กลายเป็นข่าวฮือฮาคือกรณี เอาเลือดไปราดใส่ทำเนียบรัฐบาล ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ และบ้านพักนายอภิสิทธิ์ ซึ่งผู้อยู่เบื้องหลังคงมองไม่เห็นถึงชัยชนะ หากปล่อยให้สามเกลอทำเรื่องโง่ๆ ต่อไป
ขณะที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ออกมาให้สัมภาณ์ว่าได้รับแจ้งจากสหรัฐอเมริกาว่า นช.ทักษิณ โทรศัพท์สั่งการให้พวกหัวรุนแรงก่อวินาศกรรม ทำร้ายทำลายบ้านเมืองที่ให้ที่ซุกหัวนอนและให้ทำมาหากินจนเขามีวันนี้ได้
ปฏิเสธไม่ได้ว่า แนวทางการต่อสู้แบบอสิงหาใช้ไม่ได้ผลกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้แน่นอน เพราะมวลชนบางส่วนเห็นทาสแท้ของ นช.ทักษิณ ที่เอาตัวรอดจากเหตุการณ์ สงกรานตร์เลือด ที่ประกาศจะออกมายืนแถวหน้านำประชาชนเมื่อเสียงปืนแตก แต่เมื่อเกิดเหตุรุนแรงเขากลับนอนสบายใจเฉิบที่ดูไบ นอกจากนี้ก่อนถึงการระดมมวลชนในวันที่ 14 มีนาคม เขาก็สั่งการให้ลูกเมียและวงศ์วานว่านเครือ หนีเอาตัวรอดออกนอกประเทศ โดยทิ้งผู้ชุมนุมที่ยืนอยู่ข้างเขาให้โดดเดี่ยวและเดียวดาย
ต้องยอมรับว่าในการระดมมวลชนครั้งนี้ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ที่มาคือชาวบ้านตาดำๆ ที่รักนโยบายประชานิยมทักษิณส่วนหนึ่ง และอีกส่วนคือเงินค่าจ้าง ซึ่งครั้งนี้ถือว่ามีการจ่ายกัน 2,000 บาทต่อหัว สูงกว่าการชุมนุมครั้งที่ผ่านๆมา
อย่างไรก็ตามจนถึงขณะนี้ยอดผู้ชุมนุมบางตาลงไปมากเหลือไม่กี่พันคนเพราะต่างทยอยกันกลับบ้าน ไปทำมาหากิน ตามปกติ
มวลชนก็ยิ่งลดน้อยถอยลง แถมฝ่ายสามเกลอ เกิดมาแตกคอกับ ทหารนอกแถว “พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิ กองทัพบกอีก โดยนายจตุพร ถึงกับด่าอย่างเสียๆหายๆว่า
“มีพวกปากหมาคอยออกมาพูดว่าการใช้สันติวิธีไม่มีทางชนะ ต้องใช้ความรุนแรง ผมอยากขอให้คนปากหมาพวกนี้เลิกพูดกวนตีนได้แล้ว ไอ้ พล.ต.ขัตติยะ ขอให้เลิกกวนตีน เก็บปากเอาไว้ เพราะคนเสื้อแดงยืนยันว่าจะใช้สันติวิธี ไม่มีนักรบจริงที่ไหนเดินไปให้ถูกจับที่กองปราบ คนที่เดินไปให้ถูกจับ เขาเรียกว่าพวกกระจอก”
และไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการปะทะคารมกัน ก่อนหน้านี้ ฝ่ายนายจตุพร ได้ด่า พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อย่างสาดเสียเทเสียมาแล้ว ซึ่งครั้งนั้น เสธ.แดง ถึงกับลมออกหูประกาศว่าเสร็จสงครามล้มอำมาตย์เมื่อไหร่ จะจัดการ นายจตุพร แน่นอน
นอกจากนี้มีศึกอีกด้านกับกลุ่มล้มเจ้า”แดงสยาม”ที่มี คอมมิวนิสหลงยุค “ นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ” และ เจ๊เพ็ญ นายจักรภพ เพ็ญแข ผู้ต้องหาหนีคดีหมิ่นเบื้องสูง ที่มองว่าแนวทางการต่อสู้ของสามเกลอ ไม่สามารถล้มรัฐบาลและอำมาตย์ได้
หากมองตามรูปการณ์ปรากฏ จะเห็นว่าคนที่ตกที่นั่งลำบากคือ นช.แม้ว เพราะกลุ่มลิ้วล้อต่างแตกคอแยกเป็นก๊กเป็นเหล่า แต่อย่าลืมว่ายุทธศาสตร์แสร้งแตกแยกให้ศรัตรูตายใจ เปิดแนวรบแยกกันตี ใช้ได้ผลมาแล้วหลายสมรภูมิ
แต่จะเช็คบิลรัฐนาวามาร์คได้หรือไม่นั้น จากการประเมินของฝ่ายความมั่นคงพบว่าขณะนี้มวลชนเริ่มอ่อนแรง เจออากาศร้อนตับแลบของเมืองกรุงมาตั้งแต่วันเริ่มชุมนุม จนหลายคนถอดใจ และแกนนำไร้ต้นทุนอย่างสามเกลอก็ดูท่าจะเสื่อมถอย เพราะหลอกดูดเงินทักษิณไปวันๆ หากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ นช.แม้วและพลพรรคเสื้อแดงนับถอยหลังแพ้ได้เลย
แต่ทั้งนี้อย่าลืมว่าคนอย่าง"ทักษิณ ชินวัตร" ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ แผนการชั่วช้าสามานย์เผาบ้านป่วนเมือง หรือลอบสังหาร นายกรัฐมนตรีฯเพื่อยั่วยุให้ทหารใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชน อาจถูกงัดออกมาใช้ อย่างที่นายสุเทพและนายสาธิต วงศ์หนองเตย ออกมาลากไส้ สถานการณ์กำลังเดินทางเข้าสู่จุดเขม็งเกลียว ซึ่งไม่มีใครบอกได้ว่าวันข้างหน้านี้จะเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเมืองของเรา