ทักษิณและกลุ่มคนเสื้อแดง ประกาศและสำแดงความชัดเจนที่จะทำสงครามการเมืองกับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในห้วงเวลา 12–14 มีนาคม โดยวันแตกหักคือ 14 มีนาคม ด้วยการทำสงครามจิตวิทยาการเมือง ตอบโต้มาตรการของรัฐบาล ที่จำเป็นต้องประกาศใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ซึ่งภาคธุรกิจเอกชนต่างออกมายอมรับว่าเป็นมาตรการที่ดีในการบังคับใช้ มิให้กลุ่มคนเสื้อแดงละเมิดความสงบสุขของประชาชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
เฉพาะบางอำเภอที่ล่อแหลมต่อการก่อความวุ่นวายและสร้างสถานการณ์รุนแรง ซึ่งเป็นภาพที่ประชาชนทั้งไทยและต่างประเทศได้เห็นมาแล้วเมื่อช่วงวันสงกรานต์ เมษายน 2552 และเกิดความสมเพชสะอิดสะเอียนถึงความถ่อยของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่รับจ้างกระทำการอุกอาจ ทำร้ายจิตใจคนบริเวณแฟลตการเคหะ สามเหลี่ยมดินแดง ชาวมุสลิมที่ถนนเพชรบุรี และสังหารโหดเลือดเย็นชาวบ้านนางเลิ้ง 2 คน พวกนั้นแสดงความถ่อยต่างๆ ในการเผารถยนต์โดยสารประจำทาง
ในวันที่ 6 มีนาคม ที่ผ่านมา ทักษิณ ใช้เว็บบล็อก TWITTER.COM ประกาศศึกด้วยการปลุกระดมให้ผู้คนเข้าร่วมกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่อยู่ในอาณัติเงินตราของเขาว่า “ขอเชิญชวนผู้รักประชาธิปไตย ผู้รักความยุติธรรม ผู้ต้องการโอกาสที่เสมอภาค ผู้คิดว่าผมถูกรังแกอย่างโหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรม ออกมาร่วม March on March 14”
ประเด็นที่ทักษิณเน้นหนักในการกล่าวหารัฐบาลว่า “รัฐบาลที่อ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง ที่แท้ก็เป็นนอมินีของอำมาตย์ อยู่ในร่างทรงเผด็จการสุดๆ”
เรื่องราวของทักษิณมีมากมายเกินกว่าใครคนหนึ่งจะพรรณนาได้ และยังไม่เคยมีผู้นำประเทศคนไทยในอดีตที่ดำรงตำแหน่งเพียง 5 ปี แต่สร้างกรรมวิธีการโกงชาติได้อย่างมหัศจรรย์ ทั้งยังแฝงไว้ด้วยการหักหลังประชาชน เพราะใช้คำประกาศว่าจะ “ปราบปรามการทุจริตอย่างเด็ดขาด” ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งทั่วไปในปี 2544 เป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ ทำลายทุกค่ายการเมืองที่อาจจะเป็นปฏิปักษ์ด้วยเงิน ทำลายเพื่อนที่ร่วมตั้งพรรค เช่น การขจัดอำนาจการเมืองของ ร.ต.อ.ปุรชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ผู้ซึ่งยึดมั่นในอุดมการณ์ปราบปรามทุจริตในวงราชการและการเมือง จนได้รับความนิยมจากประชาชนทำให้ทักษิณอิจฉา คนโกงในอดีตพรรคไทยรักไทยกลัว จึงต้องทำลายฐานอุดมการณ์ของเขา และผลักดันให้ออกจากอำนาจบริหารในอดีตพรรคไทยรักไทย
ส่วนการจัดการยุทธทัพหน้าซึ่งทักษิณมอบหมายให้ นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง คนอุบาทว์ที่เกิดผิดประเทศ ได้เคยประกาศไว้ในการต่อสู้ของคนเสื้อแดงกับกองทัพ กับอำมาตย์ และหากถูกปราบปรามว่า “พี่น้องนัดกันคราวหน้า ถ้ารู้ว่าเขาจะปราบปราม ไม่ต้องเตรียมอะไรมาก มาด้วยกัน ขวดแก้วคนละใบ มาเติมน้ำมันเอาข้างหน้า บรรจุให้ได้ 75 ซีซี ถึง 1 ลิตร ถ้าเรามาหนึ่งล้านคนในกรุงเทพมหานคร มีน้ำมัน 1 ล้านลิตร รับรองว่า กทม.จะเป็นทะเลเพลิงอย่างแน่นอน”
และในการชุมนุมครั้งนี้ของคนเสื้อแดงนั้น มีข่าวลือว่า นายอริสมันต์ จะนำคนเสื้อแดงลงเรือจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แล้วมาขึ้นบกที่ท่าพระจันทร์ หรือท่าเรือศิริราช ซึ่งตรงนี้เองทำให้สำนักพระราชวังประกาศงดการลงชื่อถวายพระพรฯ ที่โรงพยาบาลศิริราช อันเป็นเรื่องที่คนไทยทั้งชาติรับไม่ได้จริงๆ ที่นายอริสมันต์ ประกาศตัวเป็นพวกลัทธิเดรัจฉาน อนาธิปไตย แสดงตนว่าไม่เกรงกลัวพระบารมีอันบริสุทธิ์ และไม่กลัวคนไทยต่อต้าน แต่ตามกลยุทธ์นี้แล้ว นายอริสมันต์ ต้องการให้เกิดความรุนแรงบริเวณพื้นที่โรงพยาบาลศิริราช และทำให้เกิดการสูญเสียภายใต้เงื่อนไขของกลุ่มราชภักดี ที่ออกมาต่อสู้กับพวกรับจ้างเสื้อแดง อันเป็นการกระทบกระเทือนเบื้องพระยุคลบาทอย่างแน่นอน และภายใต้เงื่อนไขนี้เองที่ นายอริสมันต์ ประกาศได้ว่าจะทำให้ประเทศไทยเหมือนเนปาล
ยุทธวิธีที่กองทัพหน้าที่มีรถมอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะขับเคลื่อนของนายอริสมันต์ จะกระทำได้มีมากมาย ได้แก่ 1. เจาะยางรถยนต์ทุกคันที่ติดไฟแดง โดยเฉพาะรถยนต์ที่มีสตรีเป็นคนขับ 2. เผายางด้วยน้ำมันเชื้อเพลิงตามถนนสายหลักๆ จนเกิดความวุ่นวายอลหม่านทั่วไป 3. ปาระเบิดขวดในเขตชุมชนให้เกิดไฟไหม้จนรถดับเพลิงไม่สามารถที่จะดับได้ทั่วถึง 4. สร้างความวุ่นวายด้วยกลยุทธ์การกระจายรอบๆ ปริมณฑล ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องกระจายกำลังจนไม่สามารถป้องกันสถานที่สำคัญๆ ไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. ไล่ล่าคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี และผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หากมีการใช้กำลัง และมีการบาดเจ็บล้มตาย เพราะหน่วยรักษาความปลอดภัย ทั้งที่เป็นหน่วยทหาร – ตำรวจ หรือตามบริษัทรักษาความปลอดภัยสังหารเพื่อป้องกันตัวเอง พวกเสื้อแดงก็จะใช้หลักสงครามจิตวิทยาประกาศว่ารัฐบาลทารุณสังหารโหดผู้มาชุมนุมอย่างสันติ และก่อมวลชนที่มีแนวโน้มอยู่แล้วออกมาร่วมเช่นลักษณะ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 และ 6. ปิดล้อมห้างสรรพสินค้า ตลาดนัดจตุจักร เพื่อข่มขวัญประชาชน และนักท่องเที่ยว ทำให้บรรยากาศการลงทุน และการท่องเที่ยวพังย่อยยับ เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำมาก เงินทักษิณที่ยังเหลือก็จะซื้อใจคนได้มากขึ้น และทำสงครามการเมืองต่อเนื่องยืดเยื้อตามทฤษฎีสงครามประชาชนของเหมาเจ๋อตุง
ยุทธวิธีเช่นนี้เกิดได้ง่ายไหม เกิดขึ้นได้ง่าย เมื่อกำลังส่วนหนึ่งตั้งวงปราศรัยรอบกรุง โดยมีศูนย์บัญชาการอยู่ที่ท้องสนามหลวง แต่ส่วนติดอาวุธและก่อวินาศกรรมก็จะดำเนินกลยุทธ์ดาวกระจายไปทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล กลุ่มละ50 –100 คน เคลื่อนที่ไปรอบพื้นที่ที่แต่ละกลุ่มได้รับมอบหมาย จะทำให้กลุ่มเสื้อแดงดูเหมือนมีจำนวนมาก ในการนี้มีการประเมินและแจ้งเตือนกันผ่านเน็ตว่าคนเสื้อแดงจะกระทำการรวม 33 จุด หรือ ASTV ก็ประกาศถึงจุดล่อแหลมต่างไว้แล้ว
หากกลุ่มกล้าตายที่ได้รับจ้างมาถูกๆ แต่ถูกฆ่าตายโดยใครก็ตาม เสื้อแดงที่นั่งฟังคำปราศรัยก็จะถูกปลุกระดมให้มีความก้าวร้าว และเริ่มออกปฏิบัติการรุนแรง เพื่อกดดันรัฐบาลให้ยุบสภา หรือนายกรัฐมนตรีลาออก พรรคร่วมรัฐบาลอาจจะแปรพักตร์ให้กับพรรคเพื่อไทย จัดตั้งรัฐบาลใหม่
สถานการณ์สมมตินี้ดูหฤโหด แต่ในการยุทธนั้น การตั้งสมมติฐานให้มีหลายมิติและครอบคลุมหลักความน่าจะเป็นแล้ว การป้องกัน การป้องปราม และการปราบปราม หรือการเอาชนะก็จะกระทำได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ดี ขณะนี้มีการแพร่กระจายการแจ้งเตือนในภาคประชาชนเกิดขึ้นในเว็บไซต์มีการส่งอีเมลถึงกันและกัน เช่น มีประกาศลงวันที่ 8 มีนาคม ของบริษัท ทรู จากพลตำรวจเอก นพดล สมบูรณ์ทรัพย์ ประธานคณะกรรมการความมั่นคงทางธุรกิจ ถึงผู้บริหารและประชาชนกลุ่มบริษัท ทรู ทุกท่าน เรื่อง คำแนะนำในการปฏิบัติตน ซึ่งเนื้อหาก็คือให้พนักงานมีความตื่นตัว และเตรียมตัวเผชิญเหตุร้าย รวมทั้งแนะนำให้ผู้บริหารเป็นที่พึ่งในการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสวัสดิภาพ และความปลอดภัยแก่พนักงาน
ดังนั้น จึงเป็นการไม่ประมาทที่จะเตรียมตัวเตรียมใจต่อเหตุการณ์ที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะกระทำการปฏิวัติประชาชนล้มล้างรัฐบาล ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นนายกรัฐมนตรีลาออก หรือเหตุการณ์รุนแรงจนรัฐบาลไม่สามารถควบคุมได้ในเวลาอันสั้น คนเสื้อแดงก็จะฉวยโอกาสตั้งรัฐบาลนอกสภา และใช้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคเพื่อไทยสนับสนุน ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายของพวกอนาธิปไตยนิยม ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองด้วยการลดพระราชอำนาจ หรือตัดตอนพระราชอำนาจที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้ผ่านคณะรัฐมนตรี ในการบริหารบ้านเมือง รัฐสภาในการออกกฎหมาย และอำนาจตุลาการผ่านผู้พิพากษา
หากกระทำสำเร็จพระราชอำนาจต่างๆ ก็จะหมดไป โดยเฉพาะการแต่งตั้งข้าราชการทหาร รัฐบาลอนาธิปไตยจะแต่งตั้งเอง จึงทำให้ทหารบางคน เช่น พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ฝักใฝ่ทักษิณ ก็เพราะเงิน และอำนาจในการบังคับบัญชาทหาร
ในห้วง 12 – 14 มีนาคม นี้ เป็นห้วงวิกฤตแน่นอน เพราะทักษิณออกคำสั่งบัญชาการมาแล้ว และบรรดาสาวกกำลังดำเนินการ ประชาชนอย่าได้หลงกลคนเสื้อแดง ถ้าไม่จำเป็นก็ควรจะอยู่ในบ้าน และเตรียมพร้อมในเรื่องเสบียงกรัง ชุมชนก็ต้องระวังรักษามิให้มีคนแปลกปลอมเข้ามาก่อวินาศกรรม เช่น ชุมชนบางเขนได้ประกาศรวมตัวกันต่อต้านคนเสื้อแดงแล้ว
สื่อรัฐบาลจะต้องติดตามสถานการณ์และแจ้งข่าวที่เป็นจริงให้คนไทยได้รับรู้ โดยเฉพาะจุดที่เกิดปัญหา สิ่งที่สำคัญอย่าเป็นไทยมุง แต่ติดตามสถานการณ์ผ่านสื่อโทรทัศน์หรือ SMS ที่บริษัทขายข่าวนิยมส่ง ขอให้คนไทยอดทนเพื่อจะได้เรียนรู้ถึงธาตุแท้ของทักษิณ ว่าตัวตนของเขาเหี้ยมโหดเพียงไหน ที่ทำลายทำร้ายชาติบ้านเมืองของตัวเองได้
nidd.riddhagni@gmail.com
เฉพาะบางอำเภอที่ล่อแหลมต่อการก่อความวุ่นวายและสร้างสถานการณ์รุนแรง ซึ่งเป็นภาพที่ประชาชนทั้งไทยและต่างประเทศได้เห็นมาแล้วเมื่อช่วงวันสงกรานต์ เมษายน 2552 และเกิดความสมเพชสะอิดสะเอียนถึงความถ่อยของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่รับจ้างกระทำการอุกอาจ ทำร้ายจิตใจคนบริเวณแฟลตการเคหะ สามเหลี่ยมดินแดง ชาวมุสลิมที่ถนนเพชรบุรี และสังหารโหดเลือดเย็นชาวบ้านนางเลิ้ง 2 คน พวกนั้นแสดงความถ่อยต่างๆ ในการเผารถยนต์โดยสารประจำทาง
ในวันที่ 6 มีนาคม ที่ผ่านมา ทักษิณ ใช้เว็บบล็อก TWITTER.COM ประกาศศึกด้วยการปลุกระดมให้ผู้คนเข้าร่วมกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่อยู่ในอาณัติเงินตราของเขาว่า “ขอเชิญชวนผู้รักประชาธิปไตย ผู้รักความยุติธรรม ผู้ต้องการโอกาสที่เสมอภาค ผู้คิดว่าผมถูกรังแกอย่างโหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรม ออกมาร่วม March on March 14”
ประเด็นที่ทักษิณเน้นหนักในการกล่าวหารัฐบาลว่า “รัฐบาลที่อ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง ที่แท้ก็เป็นนอมินีของอำมาตย์ อยู่ในร่างทรงเผด็จการสุดๆ”
เรื่องราวของทักษิณมีมากมายเกินกว่าใครคนหนึ่งจะพรรณนาได้ และยังไม่เคยมีผู้นำประเทศคนไทยในอดีตที่ดำรงตำแหน่งเพียง 5 ปี แต่สร้างกรรมวิธีการโกงชาติได้อย่างมหัศจรรย์ ทั้งยังแฝงไว้ด้วยการหักหลังประชาชน เพราะใช้คำประกาศว่าจะ “ปราบปรามการทุจริตอย่างเด็ดขาด” ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งทั่วไปในปี 2544 เป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ ทำลายทุกค่ายการเมืองที่อาจจะเป็นปฏิปักษ์ด้วยเงิน ทำลายเพื่อนที่ร่วมตั้งพรรค เช่น การขจัดอำนาจการเมืองของ ร.ต.อ.ปุรชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ผู้ซึ่งยึดมั่นในอุดมการณ์ปราบปรามทุจริตในวงราชการและการเมือง จนได้รับความนิยมจากประชาชนทำให้ทักษิณอิจฉา คนโกงในอดีตพรรคไทยรักไทยกลัว จึงต้องทำลายฐานอุดมการณ์ของเขา และผลักดันให้ออกจากอำนาจบริหารในอดีตพรรคไทยรักไทย
ส่วนการจัดการยุทธทัพหน้าซึ่งทักษิณมอบหมายให้ นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง คนอุบาทว์ที่เกิดผิดประเทศ ได้เคยประกาศไว้ในการต่อสู้ของคนเสื้อแดงกับกองทัพ กับอำมาตย์ และหากถูกปราบปรามว่า “พี่น้องนัดกันคราวหน้า ถ้ารู้ว่าเขาจะปราบปราม ไม่ต้องเตรียมอะไรมาก มาด้วยกัน ขวดแก้วคนละใบ มาเติมน้ำมันเอาข้างหน้า บรรจุให้ได้ 75 ซีซี ถึง 1 ลิตร ถ้าเรามาหนึ่งล้านคนในกรุงเทพมหานคร มีน้ำมัน 1 ล้านลิตร รับรองว่า กทม.จะเป็นทะเลเพลิงอย่างแน่นอน”
และในการชุมนุมครั้งนี้ของคนเสื้อแดงนั้น มีข่าวลือว่า นายอริสมันต์ จะนำคนเสื้อแดงลงเรือจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แล้วมาขึ้นบกที่ท่าพระจันทร์ หรือท่าเรือศิริราช ซึ่งตรงนี้เองทำให้สำนักพระราชวังประกาศงดการลงชื่อถวายพระพรฯ ที่โรงพยาบาลศิริราช อันเป็นเรื่องที่คนไทยทั้งชาติรับไม่ได้จริงๆ ที่นายอริสมันต์ ประกาศตัวเป็นพวกลัทธิเดรัจฉาน อนาธิปไตย แสดงตนว่าไม่เกรงกลัวพระบารมีอันบริสุทธิ์ และไม่กลัวคนไทยต่อต้าน แต่ตามกลยุทธ์นี้แล้ว นายอริสมันต์ ต้องการให้เกิดความรุนแรงบริเวณพื้นที่โรงพยาบาลศิริราช และทำให้เกิดการสูญเสียภายใต้เงื่อนไขของกลุ่มราชภักดี ที่ออกมาต่อสู้กับพวกรับจ้างเสื้อแดง อันเป็นการกระทบกระเทือนเบื้องพระยุคลบาทอย่างแน่นอน และภายใต้เงื่อนไขนี้เองที่ นายอริสมันต์ ประกาศได้ว่าจะทำให้ประเทศไทยเหมือนเนปาล
ยุทธวิธีที่กองทัพหน้าที่มีรถมอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะขับเคลื่อนของนายอริสมันต์ จะกระทำได้มีมากมาย ได้แก่ 1. เจาะยางรถยนต์ทุกคันที่ติดไฟแดง โดยเฉพาะรถยนต์ที่มีสตรีเป็นคนขับ 2. เผายางด้วยน้ำมันเชื้อเพลิงตามถนนสายหลักๆ จนเกิดความวุ่นวายอลหม่านทั่วไป 3. ปาระเบิดขวดในเขตชุมชนให้เกิดไฟไหม้จนรถดับเพลิงไม่สามารถที่จะดับได้ทั่วถึง 4. สร้างความวุ่นวายด้วยกลยุทธ์การกระจายรอบๆ ปริมณฑล ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องกระจายกำลังจนไม่สามารถป้องกันสถานที่สำคัญๆ ไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. ไล่ล่าคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี และผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หากมีการใช้กำลัง และมีการบาดเจ็บล้มตาย เพราะหน่วยรักษาความปลอดภัย ทั้งที่เป็นหน่วยทหาร – ตำรวจ หรือตามบริษัทรักษาความปลอดภัยสังหารเพื่อป้องกันตัวเอง พวกเสื้อแดงก็จะใช้หลักสงครามจิตวิทยาประกาศว่ารัฐบาลทารุณสังหารโหดผู้มาชุมนุมอย่างสันติ และก่อมวลชนที่มีแนวโน้มอยู่แล้วออกมาร่วมเช่นลักษณะ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 และ 6. ปิดล้อมห้างสรรพสินค้า ตลาดนัดจตุจักร เพื่อข่มขวัญประชาชน และนักท่องเที่ยว ทำให้บรรยากาศการลงทุน และการท่องเที่ยวพังย่อยยับ เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำมาก เงินทักษิณที่ยังเหลือก็จะซื้อใจคนได้มากขึ้น และทำสงครามการเมืองต่อเนื่องยืดเยื้อตามทฤษฎีสงครามประชาชนของเหมาเจ๋อตุง
ยุทธวิธีเช่นนี้เกิดได้ง่ายไหม เกิดขึ้นได้ง่าย เมื่อกำลังส่วนหนึ่งตั้งวงปราศรัยรอบกรุง โดยมีศูนย์บัญชาการอยู่ที่ท้องสนามหลวง แต่ส่วนติดอาวุธและก่อวินาศกรรมก็จะดำเนินกลยุทธ์ดาวกระจายไปทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล กลุ่มละ50 –100 คน เคลื่อนที่ไปรอบพื้นที่ที่แต่ละกลุ่มได้รับมอบหมาย จะทำให้กลุ่มเสื้อแดงดูเหมือนมีจำนวนมาก ในการนี้มีการประเมินและแจ้งเตือนกันผ่านเน็ตว่าคนเสื้อแดงจะกระทำการรวม 33 จุด หรือ ASTV ก็ประกาศถึงจุดล่อแหลมต่างไว้แล้ว
หากกลุ่มกล้าตายที่ได้รับจ้างมาถูกๆ แต่ถูกฆ่าตายโดยใครก็ตาม เสื้อแดงที่นั่งฟังคำปราศรัยก็จะถูกปลุกระดมให้มีความก้าวร้าว และเริ่มออกปฏิบัติการรุนแรง เพื่อกดดันรัฐบาลให้ยุบสภา หรือนายกรัฐมนตรีลาออก พรรคร่วมรัฐบาลอาจจะแปรพักตร์ให้กับพรรคเพื่อไทย จัดตั้งรัฐบาลใหม่
สถานการณ์สมมตินี้ดูหฤโหด แต่ในการยุทธนั้น การตั้งสมมติฐานให้มีหลายมิติและครอบคลุมหลักความน่าจะเป็นแล้ว การป้องกัน การป้องปราม และการปราบปราม หรือการเอาชนะก็จะกระทำได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ดี ขณะนี้มีการแพร่กระจายการแจ้งเตือนในภาคประชาชนเกิดขึ้นในเว็บไซต์มีการส่งอีเมลถึงกันและกัน เช่น มีประกาศลงวันที่ 8 มีนาคม ของบริษัท ทรู จากพลตำรวจเอก นพดล สมบูรณ์ทรัพย์ ประธานคณะกรรมการความมั่นคงทางธุรกิจ ถึงผู้บริหารและประชาชนกลุ่มบริษัท ทรู ทุกท่าน เรื่อง คำแนะนำในการปฏิบัติตน ซึ่งเนื้อหาก็คือให้พนักงานมีความตื่นตัว และเตรียมตัวเผชิญเหตุร้าย รวมทั้งแนะนำให้ผู้บริหารเป็นที่พึ่งในการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสวัสดิภาพ และความปลอดภัยแก่พนักงาน
ดังนั้น จึงเป็นการไม่ประมาทที่จะเตรียมตัวเตรียมใจต่อเหตุการณ์ที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะกระทำการปฏิวัติประชาชนล้มล้างรัฐบาล ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นนายกรัฐมนตรีลาออก หรือเหตุการณ์รุนแรงจนรัฐบาลไม่สามารถควบคุมได้ในเวลาอันสั้น คนเสื้อแดงก็จะฉวยโอกาสตั้งรัฐบาลนอกสภา และใช้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคเพื่อไทยสนับสนุน ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายของพวกอนาธิปไตยนิยม ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองด้วยการลดพระราชอำนาจ หรือตัดตอนพระราชอำนาจที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้ผ่านคณะรัฐมนตรี ในการบริหารบ้านเมือง รัฐสภาในการออกกฎหมาย และอำนาจตุลาการผ่านผู้พิพากษา
หากกระทำสำเร็จพระราชอำนาจต่างๆ ก็จะหมดไป โดยเฉพาะการแต่งตั้งข้าราชการทหาร รัฐบาลอนาธิปไตยจะแต่งตั้งเอง จึงทำให้ทหารบางคน เช่น พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ฝักใฝ่ทักษิณ ก็เพราะเงิน และอำนาจในการบังคับบัญชาทหาร
ในห้วง 12 – 14 มีนาคม นี้ เป็นห้วงวิกฤตแน่นอน เพราะทักษิณออกคำสั่งบัญชาการมาแล้ว และบรรดาสาวกกำลังดำเนินการ ประชาชนอย่าได้หลงกลคนเสื้อแดง ถ้าไม่จำเป็นก็ควรจะอยู่ในบ้าน และเตรียมพร้อมในเรื่องเสบียงกรัง ชุมชนก็ต้องระวังรักษามิให้มีคนแปลกปลอมเข้ามาก่อวินาศกรรม เช่น ชุมชนบางเขนได้ประกาศรวมตัวกันต่อต้านคนเสื้อแดงแล้ว
สื่อรัฐบาลจะต้องติดตามสถานการณ์และแจ้งข่าวที่เป็นจริงให้คนไทยได้รับรู้ โดยเฉพาะจุดที่เกิดปัญหา สิ่งที่สำคัญอย่าเป็นไทยมุง แต่ติดตามสถานการณ์ผ่านสื่อโทรทัศน์หรือ SMS ที่บริษัทขายข่าวนิยมส่ง ขอให้คนไทยอดทนเพื่อจะได้เรียนรู้ถึงธาตุแท้ของทักษิณ ว่าตัวตนของเขาเหี้ยมโหดเพียงไหน ที่ทำลายทำร้ายชาติบ้านเมืองของตัวเองได้
nidd.riddhagni@gmail.com