ก่อนวันที่ 12 มีนาคม 2553 ทั่วทุกวงการ ทั้งในและต่างประเทศพากันจับตาให้ความสนใจกับศึกใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทย นั่นคือศึกล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ล้มล้างอำมาตย์ ประกาศตั้งประเทศไทยใหม่ ว่าจะเป็นอย่างไร
มีการประกาศระดมพล 1 ล้านคนจากทั่วประเทศจัดเป็นกระบวนรบ 10 กระบวนทัพ ทั้งทัพบก ทัพเรือ โดยในส่วนทัพบกนั้นจะมีขบวนรถ 100,000 คัน ส่วนทัพเรือนั้นจะมีขบวนเรือ 100 ลำ ล่องมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา ยกพลขึ้นบกแถวท่าพระจันทร์
การประกาศให้แต่ละคนเตรียมน้ำมันมาคนละลิตร เพื่อเผากรุงเทพฯ ให้เป็นทะเลเพลิงและภาพลักษณ์เก่าๆ เมื่อครั้งเดือนเมษาเลือดปีที่แล้วยังคงติดตาประชาชนไทยและประชาชาติทั่วโลก ดังนั้นศึกสิบทัพครั้งนี้จึงเป็นที่จับตาสนใจของใครต่อใครทั่วโลก
เป็นผลให้ประเทศต่างๆ อย่างน้อย 37 ประเทศประกาศห้ามประชาชนของตนเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย หรือถ้าจำเป็นต้องมาก็ให้หลีกเลี่ยงจุดที่มีการชุมนุม เอกอัครราชทูตหลายประเทศต้องติดตามเรื่องความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่สถานทูต
ร้านค้าต่างๆ ตามเส้นทางที่ประกาศว่าจะเป็นเส้นทางเดินทัพพากันปิดกิจการ แม้กระทั่งสถานที่ราชการ โรงเรียน และร้านค้าเอกชนพากันปิดร้านเผ่นหนี
บรรดารัฐมนตรีก็เผ่นหนีไปต่างจังหวัด เหลือไว้เพียง 9 คน เพื่อเป็นเพื่อนนายกรัฐมนตรีที่จะไปตั้งกองบัญชาการสู้ศึกอยู่ในกรมทหารราบที่ 11
มีการเตรียมกำลังทหาร 50,000 คน ตำรวจอีก 25,000 คน สิริรวมแล้วเป็น 75,000 คน โดยยังไม่รวมอาสาสมัครฝ่ายพลเรือนของ กทม. และฝ่ายปกครอง ตลอดจนภาคเอกชนอื่นๆ นับเป็นการเตรียมกำลังรับศึกครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทยนับแต่สิ้นสงครามเย็นเป็นต้นมา
มีการประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงและรวบอำนาจตามกฎหมาย 18 ฉบับ เพื่อเตรียมรับมือกับศึกใหญ่
มีการเปิดเผยข่าวคราวเรื่องวินาศกรรมไม่เว้นแต่ละวัน และวันละหลายๆ หน
ในภาคประชาชนที่สิ้นหวังกับการพึ่งพารัฐบาลในการดูแลความปลอดภัยของชุมชนและตนเองพากันประกาศจัดตั้งกองกำลังป้องกันตนเองขึ้น หรือไม่ก็ระดมประชาชนในทุกชุมชนให้เตรียมการป้องกันตน และเตรียมอาวุธไว้ให้พร้อมเพื่อใช้สิทธิป้องกันตัวตามกฎหมาย
ทั้งหมดทั้งสิ้นเหล่านี้ได้ทำให้ประเทศไทยที่เคยร่มเย็นเป็นสุขตกอยู่ในบรรยากาศของสงครามกลางเมืองในทันที
ครั้นถึงวันที่ 12 มีนาคม 2553 ซึ่งเป็นวันเคลื่อนพลเข้ายึดจุดยุทธศาสตร์ 6 แห่งในกรุงเทพฯ ด้วยกำลังพล 150,000 คน และตั้งจุดระดมพลทางภาคเหนือไว้ที่จังหวัดนครสวรรค์ 150,000 คน ตั้งจุดระดมพลทางภาคอีสานไว้ที่โคราชจำนวน 150,000 คน กลับเกิดเหตุการณ์โอละพ่อ
เพราะการเข้ายึดจุดยุทธศาสตร์ในกรุงเทพฯ 6 แห่งด้วยกำลังพล 150,000 คนนั้นปรากฏว่าโหรงเหรงจนไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่ละจุดมีคนเข้าร่วมเพียง 300-500 คน โดยฝ่ายตำรวจได้รายงานตัวเลขรวมของทุกจุดว่ามีผู้เข้าร่วมชุมนุมประมาณ 6,500 คน ห่างจากตัวเลข 150,000 คนมากมาย
แม้ที่นครสวรรค์และโคราชก็ปรากฏว่ามีผู้เข้าร่วมชุมนุมไม่มากนัก มีรถเข้าร่วมชุมนุมทั้งสองจุดรวมกันแล้วไม่เกิน 1,500 คัน
จึงทำให้เกิดการงุนงงสงสัยกันโดยทั่วไปว่ามีแผนลึกล้ำประการใดตามมาอีก บ้างก็ว่าเป็นแผนหลอกเพื่อให้รัฐบาลตั้งอยู่ในความประมาท บ้างก็ว่าเป็นแผนหลอกให้รัฐบาลเตรียมคนให้มากเพื่อให้เกิดความล้า เมื่อรัฐบาลล้าเมื่อใดก็จะระดมพลเข้าเผด็จศึกทันที
แต่สภาพการณ์ที่เกิดขึ้นก็มีคนตั้งข้อสังเกตว่านี่คือลีลาของสภาโจ๊ก เพราะบรรดาแกนนำที่จัดการชุมนุมครั้งนี้ กลุ่มที่เป็นหลักก็คือกลุ่มสภาโจ๊กที่เคยทำมาหากินด้วยการเล่นตลกโปกฮาสนุกสนานหรือดุเดือดเลือดพล่านจนราวกับว่าเป็นเรื่องจริง
แม้กระนั้น ทุกฝ่ายก็ตั้งตารอดูเหตุการณ์ต่อไป
ล่วงมาถึงวันที่ 13 มีนาคม 2553 ซึ่งตามแผนการที่วางไว้นั้นถือเป็นวันเคลื่อนพลใหญ่ เคลื่อนสิบทัพเข้าสู่กรุงเทพฯ ซึ่งแกนนำบางคนก็ว่าจะเหมือนกับเมื่อครั้งกองทัพมองโกลรุกเข้าสู่ประเทศจีนที่จะไม่มีอะไรทัดทานได้
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้วิดีโอลิงก์เข้ามายังที่ชุมนุม แสดงความมั่นใจในพลังอันยิ่งใหญ่ของศึกสิบทัพนี้ว่าจะเปรียบประดุจดั่งเลือดสีแดงที่หลั่งไหลจากทั่วทุกสารทิศเข้าท่วมกรุงเทพมหานคร
ช่างองอาจเกรียงไกรยิ่งใหญ่เหลือประมาณ! และเป็นผลทำให้ทุกคนในขบวนการฮึกห้าวเหิมหาญ กระทั่งกลุ่มนักการเมืองกลุ่มหนึ่งมั่นใจในชัยชนะ ทำหนังสือถึงบุคคลชั้นสูงว่าเป็นโอกาสสุดท้ายในการรักษาสถานภาพ จึงเสนอให้แก้ปัญหาโดยขอให้จัดการให้นายกรัฐมนตรีลาออก แล้วตั้งรัฐบาลแห่งชาติมาทำการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จากนั้นก็ยุบสภา
ในขณะที่นักการเมืองบางกลุ่มไม่มั่นใจในสถานการณ์ พากันเผ่นหนีออกไปต่างประเทศ ไม่เว้นแม้กระทั่งบุคคลในครอบครัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วย
กระทั่งถึงเวลาเย็นของวันที่ 13 มีนาคม 2553 ชะเง้อแล้วชะแง้หาก็ปรากฏว่ากำลังพลที่เคลื่อนเข้ามากี่ทัพต่อกี่ทัพนั้นไม่มีวี่แววว่าจะถึง 1 ล้านคน และไม่มีวี่แววว่าจะมีขบวนรถถึง 100,000 คัน โดยทางตำรวจได้ประเมินจำนวนคนที่มาร่วมชุมนุมอยู่ที่ระดับ 80,000-100,000 คน ในขณะที่แกนนำกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “มีพี่น้องประชาชนมาชุมนุมเป็นแสนเป็นล้าน”
รัฐบาลยังคงตั้งรับอย่างสงบและเยือกเย็นอยู่ในกรมทหารราบที่ 11 และเริ่มปรับขบวนให้ถอยกำลังทหารออกมา และให้กำลังตำรวจเข้าแทนที่
เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้พวกแกนนำยกขึ้นกล่าวอ้างว่ารัฐบาลกำลังยอมแพ้ โดยแกนนำบางคนยังพูดเลยเถิดไปถึงขั้นที่ว่านายกรัฐมนตรีหวาดระแวงต่อฝ่ายทหาร และทหารแตงโมกำลังจะปฏิบัติการ โดยหารู้ไม่ว่ารัฐบาลได้ประมาณสถานการณ์แล้วผิดคาดผิดคิด จึงต้องถอยกำลังทหารกลับไปแล้วให้ตำรวจเข้ามาปฏิบัติหน้าที่แทน
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้วิดีโอลิงก์เข้ามายังที่ชุมนุมประหนึ่งมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่ากำลังจักแหล่นที่จะกลับมามีอำนาจรัฐอีกครั้งหนึ่ง
ดูช่างครึ้มอกครึ้มใจเหลือประมาณนัก! แต่แล้ววันที่ 13 มีนาคม 2553 ก็ผ่านพ้นไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากอากาศที่ร้อนจัดและความรู้สึกที่บรรดาแกนนำละล้าละลังหวั่นไหวอย่างหนัก เนื่องจากชาวบ้านที่มาจากต่างจังหวัดไม่ว่ามาโดยรถตู้ รถบัส พากันทยอยกลับอย่างคึกคัก
ระบุว่าได้มาชุมนุมครบถ้วนตามเวลาที่ตกลงกันในการจ้างแล้ว มิหนำซ้ำยังมี คลิปวิดีโอเกี่ยวกับการจ้างคนมาชุมนุมเผยแพร่ไปตามสื่อต่างๆ จนกระทั่งตกไปถึงมือสื่อต่างประเทศนำไปวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นที่สนุกสนานทั่วทั้งโลก
เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงเยาะเย้ยเหยียดหยามการจัดการชุมนุม และไม่ได้ให้ราคากับการชุมนุมเลย นับเป็นครั้งแรกของการชุมนุมในโลกที่สื่อต่างประเทศเหยียดหยามเยาะเย้ย เนื่องจากเป็นการชุมนุมที่เกิดจากการจ้างวาน ซึ่งนานาชาติเขาถือสาว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเหยียดหยามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อีกด้วย
ลองนึกดูเอาก็แล้วกันว่าการวิพากษ์วิจารณ์ของสื่อต่างประเทศไปทั่วโลกเช่นนี้จะกระทบกระเทือนใจคนที่เป็นหัวหน้าในการจัดม็อบหรือไม่เพียงใด
จำนวนคนยิ่งลดน้อยลง วันเผด็จศึกก็มาถึงคือวันที่ 14 มีนาคม 2553 ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก ทั้งๆ ที่เป็นวันครบกำหนดการยื่นคำขาดให้รัฐบาลยุบสภา แต่รัฐบาลก็ชิงประกาศก่อนเวลากำหนดว่าไม่ยุบสภา ไม่ลาออก พร้อมทั้งแสดงชี้แจงเหตุผลต่อสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศด้วย
ทำเอาแกนนำสามเกลอคิดไม่ออกบอกไม่ถูกว่าจะทำอย่างไรต่อไป ในที่สุดก็โพล่งมาตรการ 2 อย่างออกมา คือ ให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยลาออก เพื่อกดดันให้มีการยุบสภาและจะกรีดเลือดประชาชน 100,000 คน จำนวน 1 ล้านซีซี เพื่อเอาไปเทที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ที่พรรคประชาธิปัตย์ และบ้านนายกรัฐมนตรี
เท่านั้นแหละเกิดเรื่อง! ทั้งในประเทศและต่างประเทศพากันรุมด่ากระเจิดกระเจิง และเกิดความขยะแขยงโดยทั่วไป และในที่สุดก็ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย กลายเป็นถูกกล่าวหาว่าเอาเลือดหมูเลือดวัวเลือดควายมาผสมกับเลือดคนไป ทำให้เกิดความเป็นปฏิกูลแก่สถานที่ต่างๆ
จนในที่สุดความแตกแยกภายในขบวนก็ปรากฏให้เห็น เสธ.แดง นักรบคนดังแถลงต่อสื่อมวลชนว่าม็อบแดงแพ้แล้ว จึงไล่สามเกลอหัวขวดให้ไปเผาตัวตาย พร้อมกับให้สถาปนาแกนนำใหม่เป็นนายขวัญชัย ไพรพนา และใช้แผนเผด็จศึก 3 วัน ในขณะที่กลุ่มแดงสยามก็ประกาศความพ่ายแพ้ เรียกร้องให้หยุดเวทีใน 24 ชั่วโมง
ปรากฏการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นสร้างความงุนงงสงสัยว่าอะไรเกิดขึ้นกับการชุมนุมของคนเสื้อแดง ทำไมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับที่มีการป่าวประกาศกันไว้ล่วงหน้าเป็นคนละเรื่อง
ก็อย่าได้สงสัยอะไรกันอีกต่อไปเลย เพราะนี่เป็นเรื่องของสภาโจ๊กกำลังเล่นเรื่องโจ๊กเพื่อความสนุกสนาน ใครไปคิดจริงจังก็ย่อมกังวลวิตกและเดือดร้อน แต่การเล่นสภาโจ๊กคราวนี้กำลังทำให้บ้านเมืองฉิบหาย เพราะเป็นการเอาบ้านเมืองมาเล่นเป็นการเมือง!
มีการประกาศระดมพล 1 ล้านคนจากทั่วประเทศจัดเป็นกระบวนรบ 10 กระบวนทัพ ทั้งทัพบก ทัพเรือ โดยในส่วนทัพบกนั้นจะมีขบวนรถ 100,000 คัน ส่วนทัพเรือนั้นจะมีขบวนเรือ 100 ลำ ล่องมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา ยกพลขึ้นบกแถวท่าพระจันทร์
การประกาศให้แต่ละคนเตรียมน้ำมันมาคนละลิตร เพื่อเผากรุงเทพฯ ให้เป็นทะเลเพลิงและภาพลักษณ์เก่าๆ เมื่อครั้งเดือนเมษาเลือดปีที่แล้วยังคงติดตาประชาชนไทยและประชาชาติทั่วโลก ดังนั้นศึกสิบทัพครั้งนี้จึงเป็นที่จับตาสนใจของใครต่อใครทั่วโลก
เป็นผลให้ประเทศต่างๆ อย่างน้อย 37 ประเทศประกาศห้ามประชาชนของตนเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย หรือถ้าจำเป็นต้องมาก็ให้หลีกเลี่ยงจุดที่มีการชุมนุม เอกอัครราชทูตหลายประเทศต้องติดตามเรื่องความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่สถานทูต
ร้านค้าต่างๆ ตามเส้นทางที่ประกาศว่าจะเป็นเส้นทางเดินทัพพากันปิดกิจการ แม้กระทั่งสถานที่ราชการ โรงเรียน และร้านค้าเอกชนพากันปิดร้านเผ่นหนี
บรรดารัฐมนตรีก็เผ่นหนีไปต่างจังหวัด เหลือไว้เพียง 9 คน เพื่อเป็นเพื่อนนายกรัฐมนตรีที่จะไปตั้งกองบัญชาการสู้ศึกอยู่ในกรมทหารราบที่ 11
มีการเตรียมกำลังทหาร 50,000 คน ตำรวจอีก 25,000 คน สิริรวมแล้วเป็น 75,000 คน โดยยังไม่รวมอาสาสมัครฝ่ายพลเรือนของ กทม. และฝ่ายปกครอง ตลอดจนภาคเอกชนอื่นๆ นับเป็นการเตรียมกำลังรับศึกครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทยนับแต่สิ้นสงครามเย็นเป็นต้นมา
มีการประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงและรวบอำนาจตามกฎหมาย 18 ฉบับ เพื่อเตรียมรับมือกับศึกใหญ่
มีการเปิดเผยข่าวคราวเรื่องวินาศกรรมไม่เว้นแต่ละวัน และวันละหลายๆ หน
ในภาคประชาชนที่สิ้นหวังกับการพึ่งพารัฐบาลในการดูแลความปลอดภัยของชุมชนและตนเองพากันประกาศจัดตั้งกองกำลังป้องกันตนเองขึ้น หรือไม่ก็ระดมประชาชนในทุกชุมชนให้เตรียมการป้องกันตน และเตรียมอาวุธไว้ให้พร้อมเพื่อใช้สิทธิป้องกันตัวตามกฎหมาย
ทั้งหมดทั้งสิ้นเหล่านี้ได้ทำให้ประเทศไทยที่เคยร่มเย็นเป็นสุขตกอยู่ในบรรยากาศของสงครามกลางเมืองในทันที
ครั้นถึงวันที่ 12 มีนาคม 2553 ซึ่งเป็นวันเคลื่อนพลเข้ายึดจุดยุทธศาสตร์ 6 แห่งในกรุงเทพฯ ด้วยกำลังพล 150,000 คน และตั้งจุดระดมพลทางภาคเหนือไว้ที่จังหวัดนครสวรรค์ 150,000 คน ตั้งจุดระดมพลทางภาคอีสานไว้ที่โคราชจำนวน 150,000 คน กลับเกิดเหตุการณ์โอละพ่อ
เพราะการเข้ายึดจุดยุทธศาสตร์ในกรุงเทพฯ 6 แห่งด้วยกำลังพล 150,000 คนนั้นปรากฏว่าโหรงเหรงจนไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่ละจุดมีคนเข้าร่วมเพียง 300-500 คน โดยฝ่ายตำรวจได้รายงานตัวเลขรวมของทุกจุดว่ามีผู้เข้าร่วมชุมนุมประมาณ 6,500 คน ห่างจากตัวเลข 150,000 คนมากมาย
แม้ที่นครสวรรค์และโคราชก็ปรากฏว่ามีผู้เข้าร่วมชุมนุมไม่มากนัก มีรถเข้าร่วมชุมนุมทั้งสองจุดรวมกันแล้วไม่เกิน 1,500 คัน
จึงทำให้เกิดการงุนงงสงสัยกันโดยทั่วไปว่ามีแผนลึกล้ำประการใดตามมาอีก บ้างก็ว่าเป็นแผนหลอกเพื่อให้รัฐบาลตั้งอยู่ในความประมาท บ้างก็ว่าเป็นแผนหลอกให้รัฐบาลเตรียมคนให้มากเพื่อให้เกิดความล้า เมื่อรัฐบาลล้าเมื่อใดก็จะระดมพลเข้าเผด็จศึกทันที
แต่สภาพการณ์ที่เกิดขึ้นก็มีคนตั้งข้อสังเกตว่านี่คือลีลาของสภาโจ๊ก เพราะบรรดาแกนนำที่จัดการชุมนุมครั้งนี้ กลุ่มที่เป็นหลักก็คือกลุ่มสภาโจ๊กที่เคยทำมาหากินด้วยการเล่นตลกโปกฮาสนุกสนานหรือดุเดือดเลือดพล่านจนราวกับว่าเป็นเรื่องจริง
แม้กระนั้น ทุกฝ่ายก็ตั้งตารอดูเหตุการณ์ต่อไป
ล่วงมาถึงวันที่ 13 มีนาคม 2553 ซึ่งตามแผนการที่วางไว้นั้นถือเป็นวันเคลื่อนพลใหญ่ เคลื่อนสิบทัพเข้าสู่กรุงเทพฯ ซึ่งแกนนำบางคนก็ว่าจะเหมือนกับเมื่อครั้งกองทัพมองโกลรุกเข้าสู่ประเทศจีนที่จะไม่มีอะไรทัดทานได้
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้วิดีโอลิงก์เข้ามายังที่ชุมนุม แสดงความมั่นใจในพลังอันยิ่งใหญ่ของศึกสิบทัพนี้ว่าจะเปรียบประดุจดั่งเลือดสีแดงที่หลั่งไหลจากทั่วทุกสารทิศเข้าท่วมกรุงเทพมหานคร
ช่างองอาจเกรียงไกรยิ่งใหญ่เหลือประมาณ! และเป็นผลทำให้ทุกคนในขบวนการฮึกห้าวเหิมหาญ กระทั่งกลุ่มนักการเมืองกลุ่มหนึ่งมั่นใจในชัยชนะ ทำหนังสือถึงบุคคลชั้นสูงว่าเป็นโอกาสสุดท้ายในการรักษาสถานภาพ จึงเสนอให้แก้ปัญหาโดยขอให้จัดการให้นายกรัฐมนตรีลาออก แล้วตั้งรัฐบาลแห่งชาติมาทำการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จากนั้นก็ยุบสภา
ในขณะที่นักการเมืองบางกลุ่มไม่มั่นใจในสถานการณ์ พากันเผ่นหนีออกไปต่างประเทศ ไม่เว้นแม้กระทั่งบุคคลในครอบครัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วย
กระทั่งถึงเวลาเย็นของวันที่ 13 มีนาคม 2553 ชะเง้อแล้วชะแง้หาก็ปรากฏว่ากำลังพลที่เคลื่อนเข้ามากี่ทัพต่อกี่ทัพนั้นไม่มีวี่แววว่าจะถึง 1 ล้านคน และไม่มีวี่แววว่าจะมีขบวนรถถึง 100,000 คัน โดยทางตำรวจได้ประเมินจำนวนคนที่มาร่วมชุมนุมอยู่ที่ระดับ 80,000-100,000 คน ในขณะที่แกนนำกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “มีพี่น้องประชาชนมาชุมนุมเป็นแสนเป็นล้าน”
รัฐบาลยังคงตั้งรับอย่างสงบและเยือกเย็นอยู่ในกรมทหารราบที่ 11 และเริ่มปรับขบวนให้ถอยกำลังทหารออกมา และให้กำลังตำรวจเข้าแทนที่
เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้พวกแกนนำยกขึ้นกล่าวอ้างว่ารัฐบาลกำลังยอมแพ้ โดยแกนนำบางคนยังพูดเลยเถิดไปถึงขั้นที่ว่านายกรัฐมนตรีหวาดระแวงต่อฝ่ายทหาร และทหารแตงโมกำลังจะปฏิบัติการ โดยหารู้ไม่ว่ารัฐบาลได้ประมาณสถานการณ์แล้วผิดคาดผิดคิด จึงต้องถอยกำลังทหารกลับไปแล้วให้ตำรวจเข้ามาปฏิบัติหน้าที่แทน
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้วิดีโอลิงก์เข้ามายังที่ชุมนุมประหนึ่งมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่ากำลังจักแหล่นที่จะกลับมามีอำนาจรัฐอีกครั้งหนึ่ง
ดูช่างครึ้มอกครึ้มใจเหลือประมาณนัก! แต่แล้ววันที่ 13 มีนาคม 2553 ก็ผ่านพ้นไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากอากาศที่ร้อนจัดและความรู้สึกที่บรรดาแกนนำละล้าละลังหวั่นไหวอย่างหนัก เนื่องจากชาวบ้านที่มาจากต่างจังหวัดไม่ว่ามาโดยรถตู้ รถบัส พากันทยอยกลับอย่างคึกคัก
ระบุว่าได้มาชุมนุมครบถ้วนตามเวลาที่ตกลงกันในการจ้างแล้ว มิหนำซ้ำยังมี คลิปวิดีโอเกี่ยวกับการจ้างคนมาชุมนุมเผยแพร่ไปตามสื่อต่างๆ จนกระทั่งตกไปถึงมือสื่อต่างประเทศนำไปวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นที่สนุกสนานทั่วทั้งโลก
เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงเยาะเย้ยเหยียดหยามการจัดการชุมนุม และไม่ได้ให้ราคากับการชุมนุมเลย นับเป็นครั้งแรกของการชุมนุมในโลกที่สื่อต่างประเทศเหยียดหยามเยาะเย้ย เนื่องจากเป็นการชุมนุมที่เกิดจากการจ้างวาน ซึ่งนานาชาติเขาถือสาว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเหยียดหยามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อีกด้วย
ลองนึกดูเอาก็แล้วกันว่าการวิพากษ์วิจารณ์ของสื่อต่างประเทศไปทั่วโลกเช่นนี้จะกระทบกระเทือนใจคนที่เป็นหัวหน้าในการจัดม็อบหรือไม่เพียงใด
จำนวนคนยิ่งลดน้อยลง วันเผด็จศึกก็มาถึงคือวันที่ 14 มีนาคม 2553 ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก ทั้งๆ ที่เป็นวันครบกำหนดการยื่นคำขาดให้รัฐบาลยุบสภา แต่รัฐบาลก็ชิงประกาศก่อนเวลากำหนดว่าไม่ยุบสภา ไม่ลาออก พร้อมทั้งแสดงชี้แจงเหตุผลต่อสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศด้วย
ทำเอาแกนนำสามเกลอคิดไม่ออกบอกไม่ถูกว่าจะทำอย่างไรต่อไป ในที่สุดก็โพล่งมาตรการ 2 อย่างออกมา คือ ให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยลาออก เพื่อกดดันให้มีการยุบสภาและจะกรีดเลือดประชาชน 100,000 คน จำนวน 1 ล้านซีซี เพื่อเอาไปเทที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ที่พรรคประชาธิปัตย์ และบ้านนายกรัฐมนตรี
เท่านั้นแหละเกิดเรื่อง! ทั้งในประเทศและต่างประเทศพากันรุมด่ากระเจิดกระเจิง และเกิดความขยะแขยงโดยทั่วไป และในที่สุดก็ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย กลายเป็นถูกกล่าวหาว่าเอาเลือดหมูเลือดวัวเลือดควายมาผสมกับเลือดคนไป ทำให้เกิดความเป็นปฏิกูลแก่สถานที่ต่างๆ
จนในที่สุดความแตกแยกภายในขบวนก็ปรากฏให้เห็น เสธ.แดง นักรบคนดังแถลงต่อสื่อมวลชนว่าม็อบแดงแพ้แล้ว จึงไล่สามเกลอหัวขวดให้ไปเผาตัวตาย พร้อมกับให้สถาปนาแกนนำใหม่เป็นนายขวัญชัย ไพรพนา และใช้แผนเผด็จศึก 3 วัน ในขณะที่กลุ่มแดงสยามก็ประกาศความพ่ายแพ้ เรียกร้องให้หยุดเวทีใน 24 ชั่วโมง
ปรากฏการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นสร้างความงุนงงสงสัยว่าอะไรเกิดขึ้นกับการชุมนุมของคนเสื้อแดง ทำไมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับที่มีการป่าวประกาศกันไว้ล่วงหน้าเป็นคนละเรื่อง
ก็อย่าได้สงสัยอะไรกันอีกต่อไปเลย เพราะนี่เป็นเรื่องของสภาโจ๊กกำลังเล่นเรื่องโจ๊กเพื่อความสนุกสนาน ใครไปคิดจริงจังก็ย่อมกังวลวิตกและเดือดร้อน แต่การเล่นสภาโจ๊กคราวนี้กำลังทำให้บ้านเมืองฉิบหาย เพราะเป็นการเอาบ้านเมืองมาเล่นเป็นการเมือง!