ASTVผู้จัดการรายวัน – ทัวร์จีนร้องรัฐบาล ต่อมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าเกิดสูญญากาศ ไม่เกิดผลเป็นรูปธรรมจริง ส่งผลทัวร์จีนสะดุด มหาดไทยอ้างยังไม่ได้รับคำสั่ง ทั้งที่มีประกาศจากมติ ครม.ไปแล้ว ระบุ สถานการณ์ทางการเมืองของไทยก็เป็นปัจจัยลบพอแล้ว การประสานงานในหน่วยงานรัฐบาลที่แย่ยังมาซ้ำเติม
พร้อมจี้กระทรวงการท่องเที่ยวตั้งศูนย์ฯสถิตินักท่องเที่ยว แยกให้ชัดเจนว่าแท้จริงต่อปีมีจำนวนเท่าใด เพื่อผลด้านการกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดได้ตรงจุด
นายศิษฏิวัชร ชีวรัตนพร ที่ปรึกษากิติมศักดิ์ สมาคมผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวสัมพันธ์ไทย-จีน เปิดเผยว่า ต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการต่ออายุมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ครบกำหนดไปเมื่อวันที่ 4 มี.ค.53 โดยเร็ว เพราะตามที่มติคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบต่ออายุมาตรการดังกล่าวมาตั้งแต่ปลายเดือนก.พ.53แต่จนบัดนี้ในระดับปฎิบัติของ กระทรวงมหาดไทย กลับไม่ยอมต่ออายุมาตรการ โดยอ้างว่ายังไม่ได้รับคำสั่ง ทั้งที่เป็นมติขิงที่ประชุม ครม.ที่ประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
“ก่อนช่วงสัปดาห์แรกที่หมดอายุมาตรการแล้วไม่ได้รับการต่ออายุ ก็ได้แจ้งให้ นายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวรับทราบแล้ว แต่ถึงวันนี้มาตรการนี้ก็ยังไม่สามารถปฎิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม “
จากความไม่ต่อเนื่องดังกล่าว ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจากตลาดจีนเกิดชะลอการตัดสินใจที่จะเดินทางเข้ามาประเทศไทย รวมถึงบริษัทนำเที่ยวของประเทศจีน ก็ชะลอที่จะนำเสนอขายประเทศไทยเช่นกัน ประกอบกับขณะนี้ สถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองของประเทศไทย ยิ่งทำให้เป็นเหตุผลให้ชาวจีนไม่ตัดสินใจที่จะมาประเทศไทยในช่วงนี้ ทั้งที่มาตรการดังกล่าวสามารถเข้ามากระตุ้นตลาดได้เห็นผล จากที่ผ่านมาการใช้มาตรการยกเว้นค่าวีซ่า ทำให้เห็นแล้วว่าสามารถกระตุ้นนักท่องเที่ยวจากตลาด จีน และ ตลาดอื่นๆ โดยเฉพาะย่าน เอเชีย และอินเดีย ได้อย่างเป็นรูปธรรมจริง
นายศิษฎิวัชร ยังเสนอแนะอีกว่า ต้องการให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำงานทั้งด้านนโยบาย และ การแก้ไขปัญหาสถานการณ์เฉพาะหน้าไปพร้อมๆกัน ถึงแม้ขณะนี้มีสถานการณ์ทางการเมืองให้ต้องรีบแก้ไข แต่ก็ไม่ควรปล่อยวางแผนงานและนโยบายเดิมที่วางไว้ เพราะหากเราหยุดก็เท่ากับว่าต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่
เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มเข้าใจการเมืองของประเทศไทย โดยเฉพาะแถบยุโรป หรือแม้แต่ตลาดญี่ปุ่น ที่ขณะนี้ยังคงเดินทางมาเป็นปกติ ส่วน ตลาดจีน ฮ่องกง ไต้หวัน และเกาหลี ถึงจะชะลอตัวออกไปบ้าง เพราะเป็นตลาดที่อ่อนไหว แต่ก็พร้อมเดินทางกลับมาได้ทันทีหากทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติ
นอกจากั้น ยังต้องการเสนอให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯเร่งจัดตั้ง ศูนย์ข้อมูลสถิตินักท่องเที่ยว เพื่อแบ่งกลุ่มชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยในแต่ละปีว่า มีจำนวนนักท่องเที่ยวเท่าใด นักธุรกิจเท่าใด และ เข้ามาเพื่อทำงานในประเทศไทยเท่าใด เป็นต้น ซึ่งมีหลายประเทศทั่วโลกได้แบ่งนักเดินทางในรูปแบบนี้แล้ว ทั้งนี้เพราะ เพื่อให้ทราบจำนวนนักท่องเที่ยวที่แท้จริง เพิ่มนำข้อมูลมาใช้กำหนดยุทธศาสตร์การวางแผนงานด้านการตลาด รวมถึงจะได้รู้ว่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามานั้น มี FIT กับที่เดินทางมากับบริษัททัวร์ มีจำนวนเท่าใด เพราะแต่ละกลุ่มพฤติกรรมการท่องเที่ยวก็แตกต่างกัน
พร้อมจี้กระทรวงการท่องเที่ยวตั้งศูนย์ฯสถิตินักท่องเที่ยว แยกให้ชัดเจนว่าแท้จริงต่อปีมีจำนวนเท่าใด เพื่อผลด้านการกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดได้ตรงจุด
นายศิษฏิวัชร ชีวรัตนพร ที่ปรึกษากิติมศักดิ์ สมาคมผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวสัมพันธ์ไทย-จีน เปิดเผยว่า ต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการต่ออายุมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ครบกำหนดไปเมื่อวันที่ 4 มี.ค.53 โดยเร็ว เพราะตามที่มติคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบต่ออายุมาตรการดังกล่าวมาตั้งแต่ปลายเดือนก.พ.53แต่จนบัดนี้ในระดับปฎิบัติของ กระทรวงมหาดไทย กลับไม่ยอมต่ออายุมาตรการ โดยอ้างว่ายังไม่ได้รับคำสั่ง ทั้งที่เป็นมติขิงที่ประชุม ครม.ที่ประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
“ก่อนช่วงสัปดาห์แรกที่หมดอายุมาตรการแล้วไม่ได้รับการต่ออายุ ก็ได้แจ้งให้ นายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวรับทราบแล้ว แต่ถึงวันนี้มาตรการนี้ก็ยังไม่สามารถปฎิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม “
จากความไม่ต่อเนื่องดังกล่าว ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจากตลาดจีนเกิดชะลอการตัดสินใจที่จะเดินทางเข้ามาประเทศไทย รวมถึงบริษัทนำเที่ยวของประเทศจีน ก็ชะลอที่จะนำเสนอขายประเทศไทยเช่นกัน ประกอบกับขณะนี้ สถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองของประเทศไทย ยิ่งทำให้เป็นเหตุผลให้ชาวจีนไม่ตัดสินใจที่จะมาประเทศไทยในช่วงนี้ ทั้งที่มาตรการดังกล่าวสามารถเข้ามากระตุ้นตลาดได้เห็นผล จากที่ผ่านมาการใช้มาตรการยกเว้นค่าวีซ่า ทำให้เห็นแล้วว่าสามารถกระตุ้นนักท่องเที่ยวจากตลาด จีน และ ตลาดอื่นๆ โดยเฉพาะย่าน เอเชีย และอินเดีย ได้อย่างเป็นรูปธรรมจริง
นายศิษฎิวัชร ยังเสนอแนะอีกว่า ต้องการให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำงานทั้งด้านนโยบาย และ การแก้ไขปัญหาสถานการณ์เฉพาะหน้าไปพร้อมๆกัน ถึงแม้ขณะนี้มีสถานการณ์ทางการเมืองให้ต้องรีบแก้ไข แต่ก็ไม่ควรปล่อยวางแผนงานและนโยบายเดิมที่วางไว้ เพราะหากเราหยุดก็เท่ากับว่าต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่
เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มเข้าใจการเมืองของประเทศไทย โดยเฉพาะแถบยุโรป หรือแม้แต่ตลาดญี่ปุ่น ที่ขณะนี้ยังคงเดินทางมาเป็นปกติ ส่วน ตลาดจีน ฮ่องกง ไต้หวัน และเกาหลี ถึงจะชะลอตัวออกไปบ้าง เพราะเป็นตลาดที่อ่อนไหว แต่ก็พร้อมเดินทางกลับมาได้ทันทีหากทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติ
นอกจากั้น ยังต้องการเสนอให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯเร่งจัดตั้ง ศูนย์ข้อมูลสถิตินักท่องเที่ยว เพื่อแบ่งกลุ่มชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยในแต่ละปีว่า มีจำนวนนักท่องเที่ยวเท่าใด นักธุรกิจเท่าใด และ เข้ามาเพื่อทำงานในประเทศไทยเท่าใด เป็นต้น ซึ่งมีหลายประเทศทั่วโลกได้แบ่งนักเดินทางในรูปแบบนี้แล้ว ทั้งนี้เพราะ เพื่อให้ทราบจำนวนนักท่องเที่ยวที่แท้จริง เพิ่มนำข้อมูลมาใช้กำหนดยุทธศาสตร์การวางแผนงานด้านการตลาด รวมถึงจะได้รู้ว่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามานั้น มี FIT กับที่เดินทางมากับบริษัททัวร์ มีจำนวนเท่าใด เพราะแต่ละกลุ่มพฤติกรรมการท่องเที่ยวก็แตกต่างกัน