หลังจากเจ้าของโครงการ “เสื้อสีฟ้า” อันลือลั่น พาตัวเองในชุดเสื้อยืดแขนยาวลายทางสีแดงสลับขาว พร้อมวิกผมทรงใหม่ไฉไลสะดุดตา ก้าวขึ้นเวทีปราศรัยช่วย “ทักษิณ” ในระหว่างการชุมนุมที่กำลังอ่อนล้าของกลุ่มคนเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศแล้วเสร็จ ก็ให้พบว่าในภาวะจนตรอกเยี่ยงนี้ ทักษิณ ชินวัตร คนขายชาติ ก็ยังพอมี “เพื่อนแท้” ยามยากเหมือนคนอื่นเขาบ้าง แม้การสื่อสารของท่านผู้หญิงวิระยาจะไม่สู้เห็นผลนัก ทว่าก็ยังดี และมีภาษีกว่า “ดารุณี กฤตบุญญาลัย” และ “สามเกลอ” ที่ทำท่าจะ “ม้วนเสื่อ” กลับบ้านเก่า เพราะ “มุกแป๊ก”
ตอนที่ทักษิณ และพจมานต้องลี้ภัยในต่างแดนใหม่ วิระยาเคยกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับครอบครัวชินวัตร ว่า
“ครอบครัวคุณทักษิณกับคุณหญิงพจมานเป็นเพื่อนกับพี่มาตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเป็นนายกรัฐมนตรี และพี่เป็นคนไม่เหมือนคนอื่น ใครจะขึ้นจะตก ถ้าพี่เป็นเพื่อนก็คือเพื่อน ความเป็นเพื่อนของเราไม่มีวันหมดสิ้น”
แล้ววิระยาก็พิสูจน์คำพูดของเธอ ด้วยการกระทำในฐานะเพื่อนยามยากเธอได้ให้สนับสนุนการชุมนุม “โค่นอำมาตย์” ของกลุ่ม นปช.เสื้อแดงมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ทั้งในรูปข้าวปลาอาหาร เงินบริจาค และสุดท้ายก็ขึ้นเวทีปราศรัยช่วยทักษิณให้หลุดบ่วง “ล้มเจ้า”
“วิระยา” เพิ่งเสร็จสิ้นจากการจัดงานเลี้ยงวันเกิดที่คฤหาสน์ของเธอ ย่านถนนศรีอยุธยาเมื่อไม่นานมานี้เอง
งานฉลองวันเกิดปีนี้กร่อยนักด้วยคนน้อย ไม่คึกคักฟู้ฟ่าเหมือนเมื่อครั้งยังเรืองอำนาจวาสนา ที่ใครต่อใครก็แห่แหนกันมาร่วมงานวันเกิดของวิระยาจนแทบจะชนกันตาย
แต่กระนั้นชีวิตในปีที่ 74 ของวิระยาก็ไม่ขาดสีสันไปเสียเลยทีเดียว เพราะ “จิ๋ว”ของเธอ แต่เป็น “บิ๊กจิ๋ว” ของเราๆ ท่านๆ ยังสู้อุตส่าห์หอบสังขารหลังผ่าตาต้อกระจกเสร็จหมาดๆ ไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดที่แสนจะจืดชืด โดยแขกส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นน้องๆ ที่น่ารักจากโรงเรียนวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) และสถาบันพระปกเกล้าฯ
งานเลี้ยงเริ่มเร็ว และจบเร็ว ไม่มีวิระยาร้องเพลงและเต้นรีวิวประกอบเพลงเช่นเคย แขกส่วนใหญ่จึงรีบมา รีบกลับ ไม่โอ้เอ้อยู่เอาใจเจ้าภาพ เหมือนเมื่อสมัยในอดีตที่วิระยาเคยยิ่งใหญ่คับฟ้า
วิระยา ชวกุล แบกเกียรติยศ “ท่านผู้หญิง” ค้ำประกันความจงรักภักดีให้กับทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาว่า “ล้มเจ้า” จนม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต ส.ว.กทม. ผู้สืบเชื้อสายจากวังวิทยุออกมาเปิดเผยความจริงว่า ท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล ไม่ได้แป็นนางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ และไม่เคยได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าฯ รับใช้สนองพระเดชพระคุณมานานมากแล้ว รวมถึงยังเรียกร้องให้วิระยาผู้รักทักษิณ คนขายชาติคืนเครื่องราชฯ เสีย
ท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล เป็นบุตรีของนายสมุย และนางอร่าม ชวกุล มีพี่น้อง 4 คน พี่ชายคนโตชื่อ พล.ท.ทวิชาติ รองลงมาคือวิระยา ตามมาด้วย “ท่านผู้หญิงอรสา ล่ำซำ” และน้องชายคนเล็กชื่อ ปฏินันท์ ชวกุล
ในอดีตพี่น้องบ้านนี้เคยมีเรื่องมีราวต้องพูดคุยกันอย่างล้ำลึกเกี่ยวกับมรดกพกห่อที่พ่อแม่ผู้มั่งคั่งทิ้งไว้ให้ และหนึ่งในจำนวนที่ดินมากมายจากกองมรดกคือ ที่ดินผืนงามที่เคยบริจาคให้มูลนิธิสายใจไทย แต่แล้วก็มีเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
วิระยาเคยได้รับฉายาจากวงการไฮโซไซเอตี้ว่า “ขุนคลังสาธารณกุศลพันล้าน” เพราะในฐานะประธานกรรมการเลขาธิการมูลนิธิบำรุงขวัญทหาร ตำรวจ อาสาสมัครชายแดน ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ทำให้งานการกุศลของเธอได้รับเงินบริจาคจากนักธุรกิจ และนักการเมืองมากมาย จนครั้งหนึ่งเคยทำยอดรายได้สูงสุดเกือบพันล้านบาทในคืนเดียว
ทว่าสุภาพสตรีที่ใครต่อใครมักคิดไปว่า เธอใกล้ชิดกับ “ล้นเกล้าฯ 2 พระองค์” เคยจัดงานการกุศลครั้งหนึ่งเพื่อ “ศิลปาชีพ” แล้ว “ทักษิณ” ซึ่งถูกรัฐประหารไปแล้วโทร.เข้ามาบริจาคเงิน 10 ล้านบาทจนเป็นที่มาของการถูกวิจารณ์ว่า “เงินไม่บริสุทธิ์”
แต่วิระยาหาได้กริ่งเกรงกับคำเสียดสีเหล่านั้นไม่ เธอกลับเดินหน้าล่าเงินบริจาคเพื่อ “การกุศล” ต่อไปพร้อมทิ้งวาทะที่สะท้อนแนวคิดของผู้หญิงคนนี้ได้เป็นอย่างดีว่า
“การบริจาคเงินคืนนั้น สมมติมีนักโทษประหารโทรศัพท์มาบริจาคกับพี่ พี่ก็ยินดีรับเงินบริจาคนั้นไว้ เพราะถือเป็นจิตอันเป็นกุศล คือพี่อยากรู้คำว่าเงินบริสุทธิ์ ไม่บริสุทธิ์ หมายถึงอะไร พิสูจน์จากอะไร”
“กรณีคุณทักษิณพี่รู้จักเขาตั้งแต่เขามีเงินพันล้านหมื่นล้านแล้ว รู้จักมาก่อนเป็นนายกรัฐมนตรีเสียอีก พี่ไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับเขา ไม่เคยมีหุ้นชินฯ ไม่เคยขอหุ้นเขาด้วย ขออย่างเดียวว่า เวลาพี่ทำบุญ ขอให้ร่วมงานบุญกับพี่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาและทุกครั้ง เขาก็ทำบุญกับพี่มาตลอด คำว่าเงินบริสุทธิ์ หรือไม่บริสุทธิ์ เราโตๆ กันแล้ว ย่อมรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร พี่ดีใจที่เขายังไม่ลืมพี่ เนี่ยถ้าเขายังอยู่เมืองไทยพี่ต้องได้ 100 ล้านบาทแน่ๆ”
ว่ากันว่า ภาพการแสดงความใกล้ชิดระหว่างท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล กับสถาบันสูงสุดอยู่เนืองๆ เป็นเหตุผลสำคัญที่ดันยอดเงินบริจาคให้พุ่งพรวด จนมีเสียงวิจารณ์ลับหลังเซ็งแซ่ว่า “วิระยาแอบอ้าง”
จึงไม่แปลกใจเมื่อทุกครั้งที่ท่านผู้หญิงวิระยาจะจัดงานการกุศล งานวันเกิด หรือ ปีใหม่ ก็มักจะมีผู้คนจากทั่วทุกวงการแห่แหนกันไปเอาหน้าเอาตากับท่านผู้หญิงกันเนืองแน่น ซึ่งก็รวมทั้งทักษิณกับพจมานด้วย ว่ากันว่า พจมานได้สายสะพายคุณหญิงก็เพราะฝีมือวิระยาที่หว่านล้อมให้บริจาคกับศิริราช 100 ล้าน
อย่างไรก็ตาม ท่านผู้หญิงวิระยามีอันต้องสะดุดขาตัวเองกับกรณี “เสื้อสีฟ้า” แสงสว่างเจิดจ้าที่เคยล้อมรอบก็ค่อยๆ สูญสิ้น ยิ่งมาขึ้นเวทีเสื้อแดงเมื่อวันก่อน ราศีของท่านผู้หญิงวิระยาจึงทั้งหมองและเกือบหมด
“โครงการเสื้อฟ้า ตราสัญลักษณ์” เป็นแนวคิดของท่านผู้หญิงวิระยาที่ต้องการให้ประชาชนได้ซื้อหามาไว้สวมใส่ร่วมกับเสื้อสีเหลืองตราสัญลักษณ์ ในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 72 พรรษา
แต่เสื้อสีฟ้ามูลค่า 400 บาท จะไม่สะดุดหยุดลงทันควันเลย หากไม่มี “ฎีกา” ร้องทุกข์จากประชาชนผู้จนยากนำขึ้นทูลเกล้าถวายองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ ว่า มีหน่วยงานราชการหลายแห่งบังคับให้ข้าราชการต้องซื้อเสื้อสีฟ้า
จนกระทั่งมีพระราชเสาวนีย์ลงมาผ่านท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ฑีขะระ รองราชเลขานุการในพระองค์ให้หาหนทางบรรเทาทุกข์เข็ญให้กับราษฎรผู้เดือดร้อนเป็นการเร่งด่วน
เป็นที่มาของหนังสือชี้แจงที่กล่าวว่า “ท่านผู้หญิงวิระยาไม่เคยเป็นนางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ แต่อย่างใด และ กิจกรรมและธุรกิจทุกประการที่ท่านผู้หญิงวิระยาดำเนินการนั้นเป็นกิจกรรมส่วนตัวของท่านผู้หญิงวิระยา ซึ่งไม่มีความเกี่ยวพันกับสำนักพระราชวังใดๆ ทั้งสิ้น”
กระนั้นแล้วท่านผู้หญิงวิระยายังเดินหน้าขายเสื้อสีฟ้าต่อไปในนามมูลนิธินพรัช - รัตนโกสินทร์อย่างไม่ยำเกรงหนังสือจากกองงานราชเลขานุการในพระองค์ฯ ส่วนกระทรวง ทบวงกรม และสถาบันการเงินต่างๆ ที่ซื้อไปแล้วกลับรีบเก็บมิดชิด ต่อมากลายเป็นว่ามีการนำ “เสื้อสีฟ้า” กลับมาขายกันอีกครั้งในสมัยที่ “นายสมัคร” เป็นนายกรัฐมนตรีนอมินี
อย่างไรก็ดี มีการเปิดเผยจากท่านผู้หญิงวิระยาว่า รายได้จากการขายเสื้อสีฟ้า 480 ล้านบาทยังอยู่ในบัญชีออมทรัพย์ของธนาคารออมสินและไทยพาณิชย์ ชื่อบัญชีมี 3 คนต้องเซ็นเบิก 2 ใน 3 และขณะนี้รอโอกาสเข้าเฝ้าฯ จึงยังมิได้ทูลเกล้าฯ แต่ประการใด
ขณะเดียวกันท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล ซึ่งสนิทสนมกับคนมีสีมากมายก็เคยมีชื่อเข้าไปพัวพันกับคดีลอบสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อ 17 เมษายน ปีก่อน แต่เธอออกมาปฏิเสธเป็นพัลวัน โดยให้เหตุผลว่า นายสนธิเป็นคนใหญ่โต และคนสำคัญของประเทศไทย คนระดับไหน? ที่จะมีอิทธิพลถึงขั้นสั่งสังหารนายสนธิได้ ซึ่งต้องไม่ใช่ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอแน่
ชื่อเสียงของท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล เงียบหายไปพักใหญ่ จะเห็นปรากฏตัวแวบๆ ในสังคมหน้าสี่ของหนังสือพิมพ์รายวันบ้าง ก็จะเป็นครั้งที่ไปรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันกับ “ท่านผู้หญิงบุษบา” และ “ท่านผู้หญิงอรสา ล่ำซำ” กับอีกหนสองหนก็เมื่อตอนที่ไปเยี่ยมเยียนนักโทษชายทักษิณถึงดูไบ
การปรากฏตัวปราศรัยของท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล ครั้งแรกบนเวทีเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญสำหรับ “คนระดับนี้” ที่เคยรับใช้ใกล้ชิดกับ “คุณท่าน” จนกินนอนเฝ้าไข้กันมาแรมปี
แต่เป็นเรื่องที่สามารถคิดไปได้ว่า ที่สุด...ท่านผู้หญิงวิระยาได้เลือกแล้ว ระหว่าง “เจ้า” กับ “โจร” ถวายคืนเครื่องราชฯ เสียสิ อย่านำไปใช้แอบอ้างต่อไปอีกเลย
ตอนที่ทักษิณ และพจมานต้องลี้ภัยในต่างแดนใหม่ วิระยาเคยกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับครอบครัวชินวัตร ว่า
“ครอบครัวคุณทักษิณกับคุณหญิงพจมานเป็นเพื่อนกับพี่มาตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเป็นนายกรัฐมนตรี และพี่เป็นคนไม่เหมือนคนอื่น ใครจะขึ้นจะตก ถ้าพี่เป็นเพื่อนก็คือเพื่อน ความเป็นเพื่อนของเราไม่มีวันหมดสิ้น”
แล้ววิระยาก็พิสูจน์คำพูดของเธอ ด้วยการกระทำในฐานะเพื่อนยามยากเธอได้ให้สนับสนุนการชุมนุม “โค่นอำมาตย์” ของกลุ่ม นปช.เสื้อแดงมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ทั้งในรูปข้าวปลาอาหาร เงินบริจาค และสุดท้ายก็ขึ้นเวทีปราศรัยช่วยทักษิณให้หลุดบ่วง “ล้มเจ้า”
“วิระยา” เพิ่งเสร็จสิ้นจากการจัดงานเลี้ยงวันเกิดที่คฤหาสน์ของเธอ ย่านถนนศรีอยุธยาเมื่อไม่นานมานี้เอง
งานฉลองวันเกิดปีนี้กร่อยนักด้วยคนน้อย ไม่คึกคักฟู้ฟ่าเหมือนเมื่อครั้งยังเรืองอำนาจวาสนา ที่ใครต่อใครก็แห่แหนกันมาร่วมงานวันเกิดของวิระยาจนแทบจะชนกันตาย
แต่กระนั้นชีวิตในปีที่ 74 ของวิระยาก็ไม่ขาดสีสันไปเสียเลยทีเดียว เพราะ “จิ๋ว”ของเธอ แต่เป็น “บิ๊กจิ๋ว” ของเราๆ ท่านๆ ยังสู้อุตส่าห์หอบสังขารหลังผ่าตาต้อกระจกเสร็จหมาดๆ ไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดที่แสนจะจืดชืด โดยแขกส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นน้องๆ ที่น่ารักจากโรงเรียนวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) และสถาบันพระปกเกล้าฯ
งานเลี้ยงเริ่มเร็ว และจบเร็ว ไม่มีวิระยาร้องเพลงและเต้นรีวิวประกอบเพลงเช่นเคย แขกส่วนใหญ่จึงรีบมา รีบกลับ ไม่โอ้เอ้อยู่เอาใจเจ้าภาพ เหมือนเมื่อสมัยในอดีตที่วิระยาเคยยิ่งใหญ่คับฟ้า
วิระยา ชวกุล แบกเกียรติยศ “ท่านผู้หญิง” ค้ำประกันความจงรักภักดีให้กับทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาว่า “ล้มเจ้า” จนม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต ส.ว.กทม. ผู้สืบเชื้อสายจากวังวิทยุออกมาเปิดเผยความจริงว่า ท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล ไม่ได้แป็นนางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ และไม่เคยได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าฯ รับใช้สนองพระเดชพระคุณมานานมากแล้ว รวมถึงยังเรียกร้องให้วิระยาผู้รักทักษิณ คนขายชาติคืนเครื่องราชฯ เสีย
ท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล เป็นบุตรีของนายสมุย และนางอร่าม ชวกุล มีพี่น้อง 4 คน พี่ชายคนโตชื่อ พล.ท.ทวิชาติ รองลงมาคือวิระยา ตามมาด้วย “ท่านผู้หญิงอรสา ล่ำซำ” และน้องชายคนเล็กชื่อ ปฏินันท์ ชวกุล
ในอดีตพี่น้องบ้านนี้เคยมีเรื่องมีราวต้องพูดคุยกันอย่างล้ำลึกเกี่ยวกับมรดกพกห่อที่พ่อแม่ผู้มั่งคั่งทิ้งไว้ให้ และหนึ่งในจำนวนที่ดินมากมายจากกองมรดกคือ ที่ดินผืนงามที่เคยบริจาคให้มูลนิธิสายใจไทย แต่แล้วก็มีเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
วิระยาเคยได้รับฉายาจากวงการไฮโซไซเอตี้ว่า “ขุนคลังสาธารณกุศลพันล้าน” เพราะในฐานะประธานกรรมการเลขาธิการมูลนิธิบำรุงขวัญทหาร ตำรวจ อาสาสมัครชายแดน ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ทำให้งานการกุศลของเธอได้รับเงินบริจาคจากนักธุรกิจ และนักการเมืองมากมาย จนครั้งหนึ่งเคยทำยอดรายได้สูงสุดเกือบพันล้านบาทในคืนเดียว
ทว่าสุภาพสตรีที่ใครต่อใครมักคิดไปว่า เธอใกล้ชิดกับ “ล้นเกล้าฯ 2 พระองค์” เคยจัดงานการกุศลครั้งหนึ่งเพื่อ “ศิลปาชีพ” แล้ว “ทักษิณ” ซึ่งถูกรัฐประหารไปแล้วโทร.เข้ามาบริจาคเงิน 10 ล้านบาทจนเป็นที่มาของการถูกวิจารณ์ว่า “เงินไม่บริสุทธิ์”
แต่วิระยาหาได้กริ่งเกรงกับคำเสียดสีเหล่านั้นไม่ เธอกลับเดินหน้าล่าเงินบริจาคเพื่อ “การกุศล” ต่อไปพร้อมทิ้งวาทะที่สะท้อนแนวคิดของผู้หญิงคนนี้ได้เป็นอย่างดีว่า
“การบริจาคเงินคืนนั้น สมมติมีนักโทษประหารโทรศัพท์มาบริจาคกับพี่ พี่ก็ยินดีรับเงินบริจาคนั้นไว้ เพราะถือเป็นจิตอันเป็นกุศล คือพี่อยากรู้คำว่าเงินบริสุทธิ์ ไม่บริสุทธิ์ หมายถึงอะไร พิสูจน์จากอะไร”
“กรณีคุณทักษิณพี่รู้จักเขาตั้งแต่เขามีเงินพันล้านหมื่นล้านแล้ว รู้จักมาก่อนเป็นนายกรัฐมนตรีเสียอีก พี่ไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับเขา ไม่เคยมีหุ้นชินฯ ไม่เคยขอหุ้นเขาด้วย ขออย่างเดียวว่า เวลาพี่ทำบุญ ขอให้ร่วมงานบุญกับพี่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาและทุกครั้ง เขาก็ทำบุญกับพี่มาตลอด คำว่าเงินบริสุทธิ์ หรือไม่บริสุทธิ์ เราโตๆ กันแล้ว ย่อมรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร พี่ดีใจที่เขายังไม่ลืมพี่ เนี่ยถ้าเขายังอยู่เมืองไทยพี่ต้องได้ 100 ล้านบาทแน่ๆ”
ว่ากันว่า ภาพการแสดงความใกล้ชิดระหว่างท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล กับสถาบันสูงสุดอยู่เนืองๆ เป็นเหตุผลสำคัญที่ดันยอดเงินบริจาคให้พุ่งพรวด จนมีเสียงวิจารณ์ลับหลังเซ็งแซ่ว่า “วิระยาแอบอ้าง”
จึงไม่แปลกใจเมื่อทุกครั้งที่ท่านผู้หญิงวิระยาจะจัดงานการกุศล งานวันเกิด หรือ ปีใหม่ ก็มักจะมีผู้คนจากทั่วทุกวงการแห่แหนกันไปเอาหน้าเอาตากับท่านผู้หญิงกันเนืองแน่น ซึ่งก็รวมทั้งทักษิณกับพจมานด้วย ว่ากันว่า พจมานได้สายสะพายคุณหญิงก็เพราะฝีมือวิระยาที่หว่านล้อมให้บริจาคกับศิริราช 100 ล้าน
อย่างไรก็ตาม ท่านผู้หญิงวิระยามีอันต้องสะดุดขาตัวเองกับกรณี “เสื้อสีฟ้า” แสงสว่างเจิดจ้าที่เคยล้อมรอบก็ค่อยๆ สูญสิ้น ยิ่งมาขึ้นเวทีเสื้อแดงเมื่อวันก่อน ราศีของท่านผู้หญิงวิระยาจึงทั้งหมองและเกือบหมด
“โครงการเสื้อฟ้า ตราสัญลักษณ์” เป็นแนวคิดของท่านผู้หญิงวิระยาที่ต้องการให้ประชาชนได้ซื้อหามาไว้สวมใส่ร่วมกับเสื้อสีเหลืองตราสัญลักษณ์ ในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 72 พรรษา
แต่เสื้อสีฟ้ามูลค่า 400 บาท จะไม่สะดุดหยุดลงทันควันเลย หากไม่มี “ฎีกา” ร้องทุกข์จากประชาชนผู้จนยากนำขึ้นทูลเกล้าถวายองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ ว่า มีหน่วยงานราชการหลายแห่งบังคับให้ข้าราชการต้องซื้อเสื้อสีฟ้า
จนกระทั่งมีพระราชเสาวนีย์ลงมาผ่านท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ฑีขะระ รองราชเลขานุการในพระองค์ให้หาหนทางบรรเทาทุกข์เข็ญให้กับราษฎรผู้เดือดร้อนเป็นการเร่งด่วน
เป็นที่มาของหนังสือชี้แจงที่กล่าวว่า “ท่านผู้หญิงวิระยาไม่เคยเป็นนางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ แต่อย่างใด และ กิจกรรมและธุรกิจทุกประการที่ท่านผู้หญิงวิระยาดำเนินการนั้นเป็นกิจกรรมส่วนตัวของท่านผู้หญิงวิระยา ซึ่งไม่มีความเกี่ยวพันกับสำนักพระราชวังใดๆ ทั้งสิ้น”
กระนั้นแล้วท่านผู้หญิงวิระยายังเดินหน้าขายเสื้อสีฟ้าต่อไปในนามมูลนิธินพรัช - รัตนโกสินทร์อย่างไม่ยำเกรงหนังสือจากกองงานราชเลขานุการในพระองค์ฯ ส่วนกระทรวง ทบวงกรม และสถาบันการเงินต่างๆ ที่ซื้อไปแล้วกลับรีบเก็บมิดชิด ต่อมากลายเป็นว่ามีการนำ “เสื้อสีฟ้า” กลับมาขายกันอีกครั้งในสมัยที่ “นายสมัคร” เป็นนายกรัฐมนตรีนอมินี
อย่างไรก็ดี มีการเปิดเผยจากท่านผู้หญิงวิระยาว่า รายได้จากการขายเสื้อสีฟ้า 480 ล้านบาทยังอยู่ในบัญชีออมทรัพย์ของธนาคารออมสินและไทยพาณิชย์ ชื่อบัญชีมี 3 คนต้องเซ็นเบิก 2 ใน 3 และขณะนี้รอโอกาสเข้าเฝ้าฯ จึงยังมิได้ทูลเกล้าฯ แต่ประการใด
ขณะเดียวกันท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล ซึ่งสนิทสนมกับคนมีสีมากมายก็เคยมีชื่อเข้าไปพัวพันกับคดีลอบสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อ 17 เมษายน ปีก่อน แต่เธอออกมาปฏิเสธเป็นพัลวัน โดยให้เหตุผลว่า นายสนธิเป็นคนใหญ่โต และคนสำคัญของประเทศไทย คนระดับไหน? ที่จะมีอิทธิพลถึงขั้นสั่งสังหารนายสนธิได้ ซึ่งต้องไม่ใช่ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอแน่
ชื่อเสียงของท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล เงียบหายไปพักใหญ่ จะเห็นปรากฏตัวแวบๆ ในสังคมหน้าสี่ของหนังสือพิมพ์รายวันบ้าง ก็จะเป็นครั้งที่ไปรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันกับ “ท่านผู้หญิงบุษบา” และ “ท่านผู้หญิงอรสา ล่ำซำ” กับอีกหนสองหนก็เมื่อตอนที่ไปเยี่ยมเยียนนักโทษชายทักษิณถึงดูไบ
การปรากฏตัวปราศรัยของท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล ครั้งแรกบนเวทีเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญสำหรับ “คนระดับนี้” ที่เคยรับใช้ใกล้ชิดกับ “คุณท่าน” จนกินนอนเฝ้าไข้กันมาแรมปี
แต่เป็นเรื่องที่สามารถคิดไปได้ว่า ที่สุด...ท่านผู้หญิงวิระยาได้เลือกแล้ว ระหว่าง “เจ้า” กับ “โจร” ถวายคืนเครื่องราชฯ เสียสิ อย่านำไปใช้แอบอ้างต่อไปอีกเลย