ถึงตรงนี้ คงเป็นรับรู้กันโดยถ้วนทั่วแล้วว่า สังคมไทยตกอยู่ในภาวะที่สุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งกับการก่อ “วินาศกรรม” ของกลุ่มเสื้อแดงภายใต้การนำทัพของคนโกงบ้านโกงเมืองตามคำพิพากษาของศาลที่ชื่อ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ในการชุมนุมใหญ่ที่กำหนดดีเดย์ในวันที่ 14 มี.ค.นี้
เพราะถ้าไม่ได้กลิ่นความรุนแรง รัฐบาลคงไม่ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ในเขตพื้นที่กทม.และปริมณฑลรวม 8 จังหวัด
เพราะถ้าไม่รุนแรง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคงไม่งดการเดินทางไปประเทศออสเตรเลียที่มีกำหนดเวลาในช่วงเดียวกันคือ 14-16 มี.ค. และเตรียมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินที่กำลังจะเกิดขึ้น
เพราะถ้าไม่รุนแรง “นายควินทัน เควลย์” เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย คงไม่ตัดสินใจบุกไปถึงพรรคเพื่อไทย เพื่อขอให้ชุมนุมโดยสันติวิธี
และถ้าไม่รุนแรง นช.ทักษิณก็ไม่มีวันที่จะชนะในการทำศึกที่พวกเขาเรียกว่าสงคราม 10 ทัพได้
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของ นช.ทักษิณในการทำศึกครั้งนี้ คงต้องบอกว่าไม่ใช่แค่ต้องการล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์เท่านั้น เพราะเขามีความฝันที่มากไปกว่านั้น นั่นก็คือ การสถาปนา “รัฐไทยใหม่” ที่มีตัวเขาเป็นผู้นำสูงสุดให้จงได้
-1-
Voice of Taksin
ใบเสร็จล้มเจ้า
การที่ “สำนักพระราชวัง” ออกประกาศงดเปิดให้พสกนิกรชาวไทยลงนามถวายพระพร “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ที่โรงพยาบาลศิริราช ระหว่างวันที่ 11-23 มีนาคมนี้ ถือเป็นประกาศที่มีนัยสำคัญและสร้างความสั่นสะเทือนในหัวใจของคนไทยที่มีความจงรักภักดียิ่ง
เพราะนั่นหมายความว่า ประชาชนคนไทยที่ต้องการเดินทางมาลงนามถวายพระพรจะต้องยุติลงเป็นการชั่วคราวในช่วงการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่จัดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว
แต่สำหรับกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเฉพาะ นช.ทักษิณแล้ว อาจเห็นเป็นแค่เรื่องปกติ เพราะระหว่างวันที่ 11-23 มี.ค.คือห้วงเวลาที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาในการทำศึกในสงครามใหญ่ที่มีเป้าหมายสูงสุดเพื่อ “พลิกฟ้า-คว่ำแผ่นดิน” และต้องการสถาปนา “รัฐไทยใหม่” ขึ้นมา โดยมีเขาเป็นผู้นำสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว
ด้วยเหตุนี้ สงครามที่จะเกิดขึ้นจึงเป็นสงครามที่น่าสะพรึงกลัวยิ่ง และเป็นสงครามครั้งประวัติศาสตร์ที่จะสั่นคลอนสถาบันที่รุนแรงเสียยิ่งกว่าเมื่อครั้ง “คณะราษฎร” ยึดอำนาจและเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเมื่อปี พ.ศ.2475 เสียอีก
เป้าหมายแรกที่เขาต้องการทำให้สำเร็จก่อนก็คือ การโค่นล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์เพื่อนำไปสู่การยุบสภาหรือการเจรจาต่อรองเพื่อให้เขาพ้นผิดและกลับมามีอำนาจอีกครั้ง จากนั้นก็เดินหน้าสู่เป้าหมายที่สองด้วยการจัดระเบียบการบริหารการจัดการบ้านเมืองเสียใหม่ให้เป็นไปอย่างที่เขาต้องการ เพื่อเตรียมพร้อมไปสู่ระดับที่ 3 หรือระดับสูงสุดคือ การสถาปนารัฐไทยใหม่
ก่อนอื่นคงต้องทำความเข้าใจถึงนิยามของคำว่า “รัฐไทยใหม่” เสียก่อนว่าหมายถึงอะไร
ระบบการปกครองที่เรียกว่ารัฐไทยใหม่ของ นช.ทักษิณคือ ระบอบประชาธิปไตยที่ปกครองโดยมหาประชาชน อำนาจสูงสุดของประเทศเป็นของราษฎรทั้งหลาย หรือที่กลุ่มคนเสื้อแดงมักนิยมใช้คำว่า “ประชาธิปไตยที่แท้จริง” ซึ่งประจักษ์พยานที่ยืนยันแนวความคิดนี้ได้ดีคือความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ “หมวดพระมหากษัตริย์” เพื่อริดรอนพระราชอำนาจ ที่ทั้งตัว นช.ทักษิณเองและแกนนำคนเสื้อแดงโยนความคิดเรื่องนี้เป็นระยะๆ
เมื่อเป้าหมายสูงสุดเป็นเช่นนี้ นช.ทักษิณและกลุ่มคนเสื้อแดงก็ปฏิบัติการปลุกระดมมวลชนเพื่อมุ่งไปสู่ความฝันของพวกเขา โดยมีการหยิบและนำถ้อยคำต่างๆ ที่สะท้อนให้เป็นการเอารัดเอาเปรียบทางชนชั้นมานำเสนอ เช่น ระบอบอำมาตย์-ไพร่ สองมาตรฐาน ระบบอภิสิทธิ์ชน ฯลฯ รวมทั้งมุ่งโจมตีสถาบันองคมนตรี โจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษที่ทำงานใกล้ชิดสถาบันอย่างมิเกรงกลัวกฎหมาย
ทั้งนี้ เพื่อชี้ให้เห็นว่า แท้ที่จริงแล้วอำนาจที่อยู่เหนืออำมาตย์นั้นมีส่วนสำคัญที่ทำให้สังคมไทยมีความไม่เท่าเทียมกัน พร้อมทั้งยกยอปอปั้นตนเองว่า เป็นคนดี เป็นคนเก่ง เป็นคนที่ทำมาหากินโดยสุจริตที่ถูกรังแกโดยระบอบอำมาตย์ และสร้างภาพให้ นช.ทักษิณเป็นแม่ทัพที่จะโค่นล้มระบบอำมาตย์ที่เต็มไปด้วยอภิสิทธิ์ชน
ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น
การที่ นช.ทักษิณปลุกระดมกลุ่มคนเสื้อแดงให้ออกมาชุมนุมหลังจากศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พร้อมทั้งโจมตีอย่างตรงไปตรงมาว่ามีผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังคำตัดสิน ก็คือบทพิสูจน์ที่ชัดเจนแล้วว่า แท้ที่จริงแล้วเขามีเป้าประสงค์อะไร
เพราะต้องไม่ลืมว่า ศาลนั้นมีคำพิพากษาภายใต้พระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นช.ทักษิณต้องการแสดงให้ประชาชนรากหญ้าที่หลงมัวเมาและศรัทธาในตัวเขาเห็นว่า สถาบันคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังคำพิพากษายึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้าน ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว ศาลมีคำอธิบายที่ชัดเจนแล้วว่า นช.คือผู้ที่โกงบ้านโกงเมืองด้วยการอธิบายขั้นตอนและกรรมวิธีการโกงของเขาออกมาอย่างหมดไส้หมดพุง
จากนั้น พวกเขาก็ประกาศท้ารบกับสถาบันอย่างตรงไปตรงมาด้วยการสื่อออกมาให้เห็นกันชัดๆ ในนิตยสารเสียงทักษิณ (Voice of Taksin) ปีที่ 1 ฉบับที่ 16 ปักษ์แรก มีนาคม 2553 ซึ่งบนปกมีข้อความระบุว่า “ปิดหน้าปล้น แตกหัก” พร้อมทั้งลงภาพพญาครุฑถูกปิดหน้าด้วยรังผึ้ง ขณะที่บนโปรยด้านล่าง ระบุข้อความว่า “โหด 6 ตุลาแห่งปี 53 ... บ้านจะดีต้องเริ่มที่พ่อ ... GT200 เครื่องจับแรงกดดันอนุพงษ์”
ชัดเจนว่า สื่อเสื้อแดงในเครือข่ายของนช.ทักษิณมุ่งโจมตีสถาบันเบื้องสูง เนื่องจาก “พญาครุฑ” นั้นถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ของไทยที่มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยตราครุฑเป็นสัญลักษณ์แทนพระมหากษัตริย์ ดังที่ปรากฏอยู่ในดวงตราหรือพระราชลัญจกรประจำพระองค์ ประจำแผ่นดิน ประจำราชวงศ์ และประจำรัชกาล เป็นต้น
ขณะที่คำว่า “บ้านจะดีต้องเริ่มที่พ่อ” ที่โปรยอยู่ด้านล่างก็ไม่ต้องอธิบายความมาก เพราะเป็นที่รับรู้กันดีว่า สื่อเสื้อแดงมีเจตนาเช่นไร
กลุ่มคนเสื้อแดงต้องการแสดงให้เห็นว่า พวกเขาไม่ยอมรับที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษายึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จำนวน 4.6 หมื่นล้านบาท และต้องการทำสงครามแตกหักชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน
ที่สำคัญคือ กลุ่มก๊วนที่เป็นเจ้าของ คนทำงานหรือคอลัมนิสต์ก็ล้วนแล้วแต่เป็นพวกที่ปฏิเสธสถาบันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข นายสุธรรม แสงประทุม นายจักรภพ เพ็ญแข นายจรัล ดิษฐาอภิชัย นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ฯลฯ
ขณะเดียวกัน เมื่อย้อนหลังไปดูพฤติกรรมของ นช.ทักษิณตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาก็ยิ่งเห็นชัดเข้าไปใหญ่ว่า เขามีเจตนากระทบกระเทียบและจาบจ้วงสถาบันมาโดยตลอด จนสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า นช.ทักษิณไม่เคารพสักการะสถาบันพระมหากษัตริย์เหมือนคนไทยส่วนใหญ่
ไม่ว่าจะเป็น การไปนั่งเป็นประธานทำบุญประเทศในวัดพระแก้ว เมื่อวันที่ 10 เม.ย.48 โดยแต่งกายไม่สุภาพ ไม่ใส่ชุดปกติขาว แถมยังนั่งล้ำหน้าผู้ร่วมงานคนอื่นๆ โดยมีพรมแดงรองพื้น และมีเจ้าหน้าที่มาคุกเข่าให้เขากรวดน้ำ
หรือการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์อาราเบียน บิซิเนส ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อวันที่ 24 พ.ย.51 ที่บอกว่า “ผมคิดว่าหลายๆ อย่างขึ้นอยู่กับอำนาจของประชาชน หากพวกเขารู้สึกว่า พวกเขาอยู่อย่างยากลำบากและต้องการให้ผมช่วย ผมก็จะกลับไป หากในหลวงทรงเห็นว่า ผมยังสามารถทำคุณประโยชน์ได้ ผมจะกลับไป และพระองค์อาจจะพระราชทานอภัยโทษให้แก่ผม แต่ถ้าพวกเขาไม่ต้องการผม และพระองค์ทรงเห็นว่าผมกลับไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมก็จะอยู่ที่นี่ ทำธุรกิจไป”
หรือการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เดอะ ไทมส์ ออฟ ลอนดอน ที่เนื้อหาของบทสัมภาษณ์ชิ้นดังกล่าวเป็นให้ร้ายและล่วงละเมิดองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขณะเดียวกันก็มีการก้าวล่วงไปถึงสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารและการสืบราชสันตติวงศ์อีกด้วย
หรือถ้อยคำที่ นช.ทักษิณโฟนอินมาในเวทีเสื้อแดงเมื่อวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมาว่า
“พี่น้องครับ คนกรุงเทพฯกลัวเรื่องน้ำจะท่วม วันนี้เป็นข่าวเป็นกระแสที่ลือกันมาก กลัวน้ำท่วมกรุงเทพฯ กลัวบ้านเรือนพังกันหมด พี่น้องครับ ถ้ากลัวต้องเอาผมกลับไปเร็วๆ บอกคนกรุงเทพฯด้วย ผมกลับไป จะสร้างเขื่อนลอดกรุงเทพฯ ไม่ให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ และจะเป็นเขื่อนที่สวยงามที่สุดในโลก และไม่ต้องกู้เงินสักบาทหนึ่ง พี่น้อง”
ไม่ต้องแปลความหมายจากคำพูดของนช.ทักษิณ ก็คงทราบเจตนาดีว่า เขาหมายถึงใครและต้องการกระทบกระเทียบใคร เพราะคนไทยทุกคนรู้ดีว่า “ใคร” คือผู้ที่เอาใจใส่ในการป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ มาโดยตลอด
อย่างไรก็ตาม แม้นช.ทักษิณและกลุ่มคนเสื้อแดงจะปฏิเสธสถาบัน แต่ในระยะเปลี่ยนผ่าน พวกเขาก็พยายามสร้าง “นิทานหลอกเด็ก” ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นจิตวิทยาในการหล่อเลี้ยงมวลชนคนรากหญ้าให้ศรัทธาในตัว นช.ทักษิณโดยยกตนให้อยู่ในระดับเดียวกับสถาบันที่คนไทยเทิดทูนสูงสุด ด้วยการโน้มนำให้เชื่อว่า ในอดีตชาตินั้น เขาคือ “พระเจ้าตาก” กลับชาติมาเกิด หรือการทำให้คนเชื่อว่าเขาคือ “เจ้ามูลเมือง” กลับชาติมาเกิด
ใบเสร็จที่ชัดเจนในเรื่องนี้ก็หนีไม่พ้นนิตยสารเสียงทักษิณ (Voice of Taksin) ปักษ์แรกเดือนมกราคม ที่มีการหยิบยกเอาภาพอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช บริเวณวงเวียนใหญ่ ขึ้นมาเป็นภาพปกหน้า และมีข้อความโปรยว่า “กงกรรมประวัติศาสตร์ TAKSIN RETURNS” ส่วนปกหลังเป็นภาพ “ทักษิณ” กล่าวอวยพรปีใหม่ให้ลิ่วล้อคนเสื้อแดง
ทั้งนี้ เนื้อหาภายในที่เขียนโดย “นายทหารเอก กรุงธน” นั้น ยังได้พยายามหยิบยกเหตุกรณีการสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าตากสิน ซึ่งระบุว่า น่าเสียดายที่พระองค์ถูกแย่งชิงอำนาจด้วยการทำรัฐประหาร ซึ่งถูกวิจารณ์อย่างหนัก ว่า มีเจตนาหวังผลทางการเมืองในปัจจุบัน เพื่อปลุกระดมมวลชน หวังสร้างความแตกแยก ที่สำคัญจงใจมุ่งทำลาย “ราชวงศ์จักรี” อย่างที่สุด
นี่คือเป้าประสงค์ที่แท้จริงในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง
-2-
ก่อวินาศกรรม-บีบตั้งโต๊ะเจรจา
จากเหตุผลทั้งหลายทั้งปวงข้างต้น ในที่สุดเมื่อสถานการณ์สุกงอมหลังศาลมีคำพิพากษายึดทรัพย์ นช.ทักษิณก็ตัดสินใจประกาศทำสงครามครั้งสุดท้ายทันทีด้วยแรงพิโรธที่พร้อมเปิดหน้าชกอย่างไม่เกรงกลัวอีกต่อไป
แหล่งข่าวด้านความมั่นคงยืนยันว่า งานนี้ นช.ทักษิณประกาศบัญชาการทัพด้วยตนเอง โดยเขาจะวิเคราะห์สถานการณ์แบบนาทีต่อนาที ก่อนที่จะสั่งการให้ “ขุนพล” บนกระดานที่ตระเตรียมไว้เคลื่อนทัพไปตามยุทธวิธีที่วางไว้ และงานนี้ กองกำลังกลุ่มคนเสื้อแดงที่มี “3 เกลอหัวขวด” จะไม่ใช่กองกำลังที่ชี้เป็นชี้ตาย หากแต่มี “กองกำลังพิเศษ” หรือ “ทัพพิสดาร” ที่พร้อมจะทุ่มกายถวายหัวทำให้ทุกอย่างโดยไม่คิดถึงชีวิตและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับบ้านเมือง
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะนายใหญ่ได้รับบทเรียนจากครั้งสงกรานต์เลือดที่ผิดพลาดจนทำให้พ่ายแพ้ไปอย่างหมดรูป ดังนั้น เที่ยวนี้จึงจำเป็นที่จะต้องลงมือบัญชาการด้วยตนเอง และมีหมากหลายตัวในการเคลื่อนทัพ
แหล่งข่าวทางด้านความมั่นคงยืนยันตรงกันว่า จะมีการปาระเบิดในกรุงเทพฯ 2 จุดใหญ่ และมีระเบิดมือดาวกระจายออกไปป่วนเมืองทั่วไปอีก 30-40 จุด รวมทั้งจะมีการปิดล้อมสถานที่ราชการ จับตัวบุคคลสำคัญของประเทศอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเท่านั้น หากในต่างจังหวัดก็เป็นพื้นที่เป้าหมายในการปฏิบัติการของกลุ่มคนเสื้อแดงและมีความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการก่อวินาศกรรมเช่นกัน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานและภาคเหนือ
สำหรับทีมกุนซือระดับมันสมองที่อยู่เคียงข้าง นช.ทักษิณ หรือกลุ่มที่ช่วยระดมสมองคิดแผนการต่างๆ เห็นจะหนีไม่พ้นบุคคลสำคัญ 4 คน ซึ่งปกติไม่ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนและไม่ปรากฏตัวให้เป็นข่าว หากแต่เป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลทางความคิดต่อ นช.ทักษิณยิ่ง
4 กุนซือระดับมันสมองที่ว่านี้ ประกอบไปด้วย 1.นายเกรียงกมล เลาหะไพโรจน์ 2.นายภูมิธรรม เวชชยชัย 3.นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ และ 4.นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช
ศูนย์บัญชาการลับสุดยอดของของคนกลุ่มนี้ ว่ากันว่า อยู่ที่บริเวณ “อาคารฟอรัม ทาวเวอร์” ซึ่งตั้งอยู่ที่ย่านรัชดาภิเษก
ขณะที่มือขวาและมือซ้ายที่เดินสายกวาดต้อนผู้คนและจ่ายกระสุนดินดำในการทำศึกก็ไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นน้องสาวสุดที่รักของนายใหญ่ 3 คนคือ “เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เยาวเรศและยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ซึ่งขยันขันแข็งทำงานตัวเป็นเกลียวเพื่อป้องกันปัญหาปัจจัยไม่ถึงมือคนทำงานหรือตกหล่นเป็นเบี้ยใบ้รายทางจนงานใหญ่เสียหาย
นอกจากนั้น ยังมีขุนพลระดับปฏิบัติการอีกหลายต่อหลายคนที่ก่อนหน้านี้ได้เดินทางออกนอกประเทศเพื่อรับทั้ง “ปัจจัย” และ “แผนการ” เรียบร้อยแล้ว ขุนพลกลุ่มนี้ประกอบไปด้วย “พล.อ.พรชัย กรานเลิศ” และ“พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี” 2 เพื่อนซี้แห่งเตรียมทหาร 10 รวมถึงนายทหารสายฮาร์ดคอร์ที่พากันตบเท้าเข้าคอกเสื้อแดงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี และพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล
ส่วนขุนพลที่จะคุมกำลังบุกทะลวงไปตามจุดยุทธศาสตร์ต่างๆ นั้น ขณะนี้ได้มีการจัดทัพเรียบร้อยแล้ว โดย “นายวีระ มุสิกพงศ์” เป็นแม่ทัพคุมมวลชนที่บริเวณหลักสี่ อันเป็นเส้นทางหลักที่จะรับคนมาจากภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งจุดนี้ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญยิ่ง เพราะนอกจากจะเป็นเส้นทางสัญจรที่สำคัญในการเดินทางแล้วยังเป็นบริเวณที่สามารถแบ่งทัพกระจายไปยังหน่วยงานที่สำคัญของรัฐบาลได้อีกหลายจุด
ด้าน “นายจตุพร พรหมพันธุ์” เป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้ มีภารกิจคุมมวลชนที่บริเวณวงเวียนใหญ่ที่เคลื่อนทัพมาจากภาคใต้ ภาคกลางและภาคตะวันตกบางส่วน โดยสาเหตุที่เลือกจุดนี้ ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์เพราะนช.ทักษิณมีความเชื่อว่า เขาคือ “เจ้าตาก” กลับชาติมาเกิดละภาคอีสาน ขณะเดียวกันก็สามารถแบ่งทัพกระจายไปยังหน่วยงานที่สำคัญของรัฐบาลได้อีกหลายจุด
ขณะที่ “นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” จะเป็นแม่ทัพใหญ่ที่จะบัญชาการที่ทัพหลวง ซึ่งตั้งอยู่ที่ “ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว” ทั้งนี้ เพื่อรอรับคำสั่งจากนายใหญ่ที่วิดีโอลิงก์หรือโฟนอินเข้ามาสั่งการเป็นระยะๆ จากนั้นก็จะถ่ายทอดสดคำสั่งทางยุทธวิธีผ่านพีเพิล แชนแนล
นอกจากนี้ ยังมีอีก 4 จุดยุทธศาสตร์ที่เป็นแหล่งชุมนุมใหญ่นั่นก็คือ 1.สน.ทุ่งสองห้อง 2. สี่แยกบางนา 3. สวนลุมพินี และ 4.สามเหลี่ยมดินแดง ซึ่งถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่า แต่ละจุดล้วนแล้วแต่มีเจตนาที่จะปิดล้อมกรุงเทพฯ ให้ตกอยู่ในสภาวะ “อัมพาต”จากนั้นก็ปฏิบัติการก่อวินาศกรรมทำให้ “กรุงเทพฯเป็นทะเลเพลิง”
สำหรับเป้าหมายสูงสุดของ นช.ทักษิณในการเคลื่อนทัพคนเสื้อแดงครั้งนี้ก็คือ การก่อวินาศกรรมหรือก่อจลาจลเพื่อกดดันให้รัฐบาลไม่สามารถบริหารประเทศได้จนนำไปสู่การประกาศยุบสภา แต่ถ้าหากนายอภิสิทธิ์ไม่ยอม เขาจะปลุกปั่นให้สถานการณ์รุนแรงหนักเข้าไปอีกเพื่อบีบให้สถานการณ์เป็นไปในท่วงทำนองเดียวกับเมื่อครั้งเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535
เพราะภาพที่ติดตราและตรึงใจเขามาโดยตลอดก็คือ ภาพที่ พล.อ.สุจินดา คราประยูรและ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เขาฝันอยากที่จะอยู่ในสภาพเช่นนั้นบ้าง
อย่างไรก็ตาม นช.ทักษิณคงลืมคิดไปว่า เหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 35 กับเหตุการณ์มีนาทมิฬปี 53 นั้น มีบริบทที่แตกต่างกัน เพราะเหตุการณ์พฤษภาทมิฬคือการต่อสู้ระหว่างพล.อ.สุจินดากับประชาชน แต่มีนาทมิฬที่กำลังจะมาถึงคือการต่อสู้ระหว่าง นช.ทักษิณกับสถาบัน
…ถึงตรงนี้ เมื่อพิจารณาเหตุและผล รวมทั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธีในการทำสงครามของ นช.ทักษิณแล้ว ก็สามารถสรุปได้ในทันทีว่า นี่ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างที่เขากล่าวอ้าง และนี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่เกิดขึ้นด้วยความปรารถนาดีที่มีต่อชาติ หากแต่เป็นการต่อสู้เพื่อทวงคืนทรัพย์สมบัติที่หาได้มาด้วยการคดโกงแผ่นดิน และเป็นการต่อสู้เพื่อต้องการล้มสถาบันที่เข้ามาขัดขวางการทำมาหากินของเขาและวงศ์วานว่านเครือ
ส่วนเหตุที่ต้องรีบร้อนและเร่งรีบปิดเกมนั้น เป็นเพราะยิ่งนานวันไป ที่ทางของ นช.ทักษิณยิ่งลดน้อยถอยลงไปในเวทีโลก ยิ่งหลังจากศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษายึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านที่เกิดจากการโกงบ้านโกงแผ่นดินด้วยแล้ว ยิ่งเห็นได้ชัดว่า เขาใกล้จะไร้ซึ่ง “ที่ซุกหัวนอน” เข้าไปทุกที
นี่จึงเป็นสงครามที่เขาไม่มีวันชนะ