เส้นทางการเงินอันเป็นท่อน้ำเลี้ยงของมวลหมู่คนเสื้อแดงนั้น มิได้มีอยู่หรือปรากฏให้เห็นเพียงแค่จากการเคลื่อนไหวทางการเงินผิดปกติที่ดีเอสไอ กับ ปปง.กำลังติดตามอย่างใกล้ชิดเท่านั้น
หากยังมีเงินสดจากแหล่งเงินบาปอย่างบ่อนการพนันทั้งจากฝั่งเขมรและเชียงราย ที่ขนกันแบบกองทัพมดเข้ามาทีละนิดทีละหน่อยตั้งแต่ช่วงตุลาคมปีที่แล้ว จนถึงวันนี้ก็ถือว่าได้น้ำได้เนื้อเป็นกอบเป็นกำอยู่พอสมควร
อีกแหล่งหนึ่งที่มีการดูดทรัพย์กันอย่างเป็นล่ำเป็นสันนับตั้งแต่ระบอบทักษิณเรืองอำนาจ และจนถึงปัจจุบันก็ยังเป็นขุมทรัพย์ขนาดมหึมาที่ “ทักษิณ” และพวกได้ใช้ระดมเงินทุนเพื่อทำงานป่วนเมืองอย่างต่อเนื่อง...
นั่นก็คือ “ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” !!!
ยกตัวอย่างให้เห็นกันชัดๆ เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของหุ้นตัวหนึ่งในตลาดที่ถูกปั่นให้ราคาเด้งติดเพดานพุ่งสูงเกินกว่านักวิเคราะห์คนใดจะคาดการณ์ได้
เพราะภายในเวลาไม่ถึงสองเดือนหุ้นตัวนี้ราคาเพิ่มขึ้นถึง 300% !!!
หุ้นที่ดีดตัวแรงได้ขนาดนี้ก็ต้องแกะรอยไปถึงตัวเจ้าของกันหน่อยว่ามีดีกรี หรือได้ยาดีจากไหนหนักหนา จึงได้บริหารธุรกิจให้ทะยานรุดหน้าได้ขนาดนี้
ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยพบว่า หุ้นของเสี่ยชื่อดังแห่งเขาใหญ่ แต่ดั้งเดิมก็กระดึ๊บๆ ไต่กระดานแบบทากน้อย แต่อยู่ๆ ภายในสองเดือนราคาหุ้นก็พุ่งพรวดจากเดิมราคา คือ ณ วันที่ 22 ธ.ค.52 อยู่ที่อัตรา 1.22 บาท เป็น 3.24 บาท ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2553 ทำให้เสี่ยเขาใหญ่ฟันกำไรไปแล้วเหนาะๆ ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท
ส่วนเงินกำไรนั้นจะไหลไปเป็นท่อน้ำแดงของใครหรือเปล่า เป็นหน้าที่รัฐต้องไปติดตามถามไถ่
เพราะตัวเลขที่เพิ่มขึ้น 300% ภายในสองเดือน เป็นความผิดปกติที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ควรสอดส่องดูแลและเข้าไปตรวจสอบ หากชื่อย่อ “ก.ล.ต.” จะไม่ได้หมายความว่า “กูหลับตา”
ข้อมูลที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือ เจ้าของหุ้นดังกล่าวเดินทางไปยังประเทศกัมพูชาในวันที่ 16-17 ธันวาคม 2552 ช่วงเดียวกับที่นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร พำนักพักพิงป่วนบ้านเมืองอยู่ที่กัมพูชาในระหว่างวันที่ 13-22 ธันวาคม 2552
ช่วงเวลาเดียวกัน สถานที่เดียวกัน กับคนคุ้นเคยสองคนที่เคยทำมาหากินร่วมกันมาโดยตลอด มีอะไรให้ติดตามมากกว่าแค่การจิบไวน์แลกเปลี่ยนความเห็นบนโต๊ะอาหาร เพราะเสียงสนทนาที่ลอดเร้นออกมานั้นฟังดูแล้วน่าตกใจสำหรับประเทศไทย
เนื่องจากสองบุรุษผู้คิดจะกุมบังเหียนบ้านเมืองร่วมวางแผนกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหว และแหล่งเงินที่จะนำมาใช้หมุนเวียนหล่อเลี้ยงขบวนการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง โดยชี้นิ้วจิ้มไปที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่าจะเป็นแหล่งเงินสำคัญในการดูดซับมาเป็นทรัพยากรในการเคลื่อนไหว
“เงินหาไม่ยากหรอก เข้าไปปั่นในตลาดแป๊บเดียวก็ได้แล้ว เลือกหุ้นซักตัว ถ้าขาดทุนมาเอาที่ผม”
เป็นคำประกาศที่อหังการยิ่งของคนที่เคยได้ชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อตลาดหุ้น และเป็นนักปั่นหุ้นตัวยงในยามที่มีอำนาจ อันเป็นที่มาของหุ้นการเมืองในยุคระบอบทักษิณ
จะเป็นด้วยเหตุนี้หรือไม่สุดจะเดา เพราะหลังจากเสี่ยคนดังกลับแผ่นดินไทยเพียง 5 วัน ในวันที่ 22 ธันวาคม ราคาหุ้นก็เริ่มขยับจากเดิมไม่ถึงบาทมาอยู่ที่ 1.22 บาท และขยับอย่างต่อเนื่องไต่ระดับทะยานสูงถึง 3.24 บาท ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ดังที่กล่าวแล้วในข้างต้น
ความน่าสนใจของเสี่ยใหญ่ชื่อดังคนนี้ มิได้อยู่เพียงแค่เป็นเจ้าของหุ้นที่ราคากำลังทะยานอย่างผิดปกติเท่านั้น แต่ยังเป็นเจ้าของกิจการสิ่งพิมพ์ ซึ่งแนบแน่นอย่างยิ่งกับบรรดาคนข่าวชื่อดังของวงการสื่อหลายนาม และระดมพลถล่มรัฐบาลอภิสิทธิ์ และพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อย่างหนักหน่วงทุกคอลัมน์ ขณะเดียวกันจะทำหน้าที่ปกป้องนักโทษชายทักษิณอย่างเข้มข้น
ความเชื่อมโยงแห่งสายสัมพันธ์ระหว่างเสี่ยคนดังกับนักโทษชายทักษิณ ยังสืบสาวไปถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของ “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” ผู้ถูกเลือกให้รับบทแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ แต่วันนี้เขากลับผันตัวเองเป็นแค่ผู้กระเหี้ยนกระหือรือหวังพิชิตปลิดนารีผลเข้าเส้นเท่านั้น
ความสัมพันธ์สองเส้าระหว่างเสี่ยคนดังกับนักโทษชายทักษิณ ดูจะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เพราะเป็นที่รับทราบกันดีในแวดวงการเมืองว่า ความสนิทชิดเชื้อของทั้งสองคนอยู่ในระดับแนบแน่นเพียงใด จึงไม่แปลกที่คนในเครือข่ายทักษิณจะวนเวียนไปพบปะถึงขั้นใช้รีสอร์ตของเสี่ยจัดงานใหญ่ของเสื้อแดงมาแล้ว
ไม่เพียงเสื้อแดงเดินเข้า-ออกกันชนิดหัวบันไดไม่แห้งเท่านั้น พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดงก็เป็นอีกหนึ่งเครือข่ายที่กอดคอจิบไวน์กับเสี่ยด้วยเช่นเดียวกัน แถมบางครั้งทำเสียวสไตล์เสธ.เจ้าตำนานสงคราม วันดีคืนดีนึกครึ้มก็จะสาธิตการประกอบวัตถุระเบิดให้ดูซะงั้น
ส่วนจะเป็นการสาธิตก่อนการก่อเหตุการณ์ใดหรือไม่นั้น “เคทอง” ยังไม่ทำนายจึงมิอาจคาดการณ์ได้ แต่มีเสียงบ่นดังๆ ประสาอาเสี่ยที่ชินกับการจิบไวน์นับเงินมากกว่าสูดกลิ่นซีโฟร์ให้หลายคนได้ยินว่า “ชอบมาสาธิตประกอบระเบิด ตูมตามขึ้นมาจะทำยังไง”
แม้จะอิดหนาระอาใจอยู่บ้างกับพฤติกรรมอวดภูมิของเดนสงคราม แต่การแสดงจำอวดนั้นก็ไม่เคยสูญเปล่า
เครือข่ายอาเสี่ยใต้เงานักโทษชายทักษิณยังสยายปีกไปถึงเจ้าของสื่อวิทยุรายหนึ่ง คือ “เสี่ยแสง” เจ้าของบริษัทธุรกิจวิทยุ ซึ่งเคยมีวีรกรรมให้คนตั้งข้อสังเกตในการถอดรายการ “มุมมองของเจิมศักดิ์” มาแล้วในยุคที่ จักรภพ เพ็ญแข เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ปัจจุบัน “เสี่ยแสง” ยังทำมาหากินบนหน้าปัดวิทยุ แต่ถูก สาทิตย์ วงศ์หนองเตย เตะกระเด็นจากคลื่น 105 ปรับเปลี่ยนเป็นคลื่นสีขาวเพื่อเด็กและเยาวชนแทน แต่ด้วยคอนเนกชันสุดยอดทำให้เหนียวยิ่งกว่าตีนตุ๊กแกจึงยังคงทำคลื่นข่าวและยังใจดีจัดพื้นที่ให้ เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ได้จัดรายการทางคลื่นวิทยุนี้ด้วย ไม่เพียงเท่านั้นยังอารีอารอบให้ เรืองไกรได้รู้จักโลกสุขนิยมเคล้าคลึงของคาวสดๆ ขาวๆ
เมื่อรสนิยมตรงกัน การพูดคุยเกลี้ยกล่อมจากแกะดำให้กลายเป็นแกะแดงจึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ด้วยสายสัมพันธ์เดียวกันนี้ได้เชื่อมต่อไปจนเป็นที่มาของพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของ เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ
ถึงขั้นมีคำสัญญาระหว่างกันว่า หากยอมหันไปสนับสนุน ทักษิณ ชินวัตร ก็จะมีโอกาสได้นั่งแท่นเป็นเสนาบดีกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง เมื่อฟ้าเปลี่ยนสี
วันนี้ฟ้ายังสีเดิม มีแต่คนที่แปรสภาพเป็นจิ้งจกเปลี่ยนสีแล้วยังแอบพรางตัวเองว่าเปี่ยมอุดมการณ์ ทั้งที่ความจริง เรืองไกร ก็อยู่ห่างไกลจากของแท้มานานอักโขแล้ว
ถ้อยคำที่ผู้คนเรียกขานอย่างยกย่องว่าเป็นแจ็กผู้ฆ่ายักษ์ จากการนำเสนอหลักฐานการเป็นลูกจ้างทำรายการชิมไปบ่นไป จน สมัคร สุนทรเวช ตกเก้าอี้นายกฯ นั้น แท้จริงแล้วเขามิใช่แจ็ค เป็นเพียงคนที่ถูกเลือกให้สวมบทแจ็คเท่านั้น!
คนที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุด คือ พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รองผู้ว่าสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน มือขวาของคุณหญิงเป็ด (คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา) ผู้ซึ่งเคยถูกระบอบทักษิณกลั่นแกล้งสั่งย้ายจากตำแหน่ง ผอ.สำนักสอบสวนพิเศษ สตง.ให้ไปอยู่อุบลราชธานีภายใน 24 ชั่วโมง ทั้งๆ ที่ในขณะนั้นบิดาของพิศิษฐ์นอนป่วยหนักอยู่ในห้องไอซียู
พิศิษฐ์ ถูกกาหัวเป็นศัตรูตัวยงของระบอบทักษิณ จากการทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตของรัฐบาลขณะนั้นอย่างตรงไปตรงมา และเป็นเขาคนนี้แหละที่นำหลักฐานการหักภาษี ณ ที่จ่ายของ สมัคร สุนทรเวช จากกรมสรรพากรเขต 2 มาตีแผ่ใน สตง.
แต่โดยอำนาจหน้าที่แล้วการกระทำผิดดังกล่าวมิได้อยู่ในสายงานของ สตง.ที่จะเข้าไปตรวจสอบดำเนินการ เรืองไกร ซึ่งมีความสนิทสนมกับคุณหญิงจารุวรรณเช่นเดียวกัน จึงถูกเลือกให้สวมบทแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ เดินเกมร้องเรียนจน สมัคร หลุดจากเก้าอี้ในที่สุด
เนื้อหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายล้วนแต่มีคนตั้งต้นให้ทั้งสิ้น มิใช่ว่า เรืองไกรใช้วิชาความรู้ และความช่างสังเกตในฐานะผู้ตรวจสอบบัญชีอย่างที่พยายามอวดอ้าง
สังคมการเมือง มักมีเรื่องน่าเศร้าที่ท้าทายความเป็นมนุษย์ให้เราเห็นอยู่เสมอ จนเรามิอาจแน่ใจได้เลยว่า คนดีในวันนี้จะเป็นแค่คนที่เคยคิดว่าดีในวันข้างหน้าหรือไม่
แต่ที่น่าเสียดายสำหรับผู้ชายที่ชื่อ เรืองไกร คือ หากพฤติกรรมที่เปลี่ยนสีไปเกิดจากการขาดความยับยั้งชั่งใจ จนขาดความละอายในการก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างคุณธรรม จริยธรรมไปสู่ตัณหา ความโลภโมโทสัน
ดังที่ปรากฏข้อมูลออกมาจริง เขาจะยังส่องกระจกให้ความเคารพในตัวเองได้อย่างเต็มภาคภูมิหรือไม่!!?
หากยังมีเงินสดจากแหล่งเงินบาปอย่างบ่อนการพนันทั้งจากฝั่งเขมรและเชียงราย ที่ขนกันแบบกองทัพมดเข้ามาทีละนิดทีละหน่อยตั้งแต่ช่วงตุลาคมปีที่แล้ว จนถึงวันนี้ก็ถือว่าได้น้ำได้เนื้อเป็นกอบเป็นกำอยู่พอสมควร
อีกแหล่งหนึ่งที่มีการดูดทรัพย์กันอย่างเป็นล่ำเป็นสันนับตั้งแต่ระบอบทักษิณเรืองอำนาจ และจนถึงปัจจุบันก็ยังเป็นขุมทรัพย์ขนาดมหึมาที่ “ทักษิณ” และพวกได้ใช้ระดมเงินทุนเพื่อทำงานป่วนเมืองอย่างต่อเนื่อง...
นั่นก็คือ “ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” !!!
ยกตัวอย่างให้เห็นกันชัดๆ เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของหุ้นตัวหนึ่งในตลาดที่ถูกปั่นให้ราคาเด้งติดเพดานพุ่งสูงเกินกว่านักวิเคราะห์คนใดจะคาดการณ์ได้
เพราะภายในเวลาไม่ถึงสองเดือนหุ้นตัวนี้ราคาเพิ่มขึ้นถึง 300% !!!
หุ้นที่ดีดตัวแรงได้ขนาดนี้ก็ต้องแกะรอยไปถึงตัวเจ้าของกันหน่อยว่ามีดีกรี หรือได้ยาดีจากไหนหนักหนา จึงได้บริหารธุรกิจให้ทะยานรุดหน้าได้ขนาดนี้
ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยพบว่า หุ้นของเสี่ยชื่อดังแห่งเขาใหญ่ แต่ดั้งเดิมก็กระดึ๊บๆ ไต่กระดานแบบทากน้อย แต่อยู่ๆ ภายในสองเดือนราคาหุ้นก็พุ่งพรวดจากเดิมราคา คือ ณ วันที่ 22 ธ.ค.52 อยู่ที่อัตรา 1.22 บาท เป็น 3.24 บาท ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2553 ทำให้เสี่ยเขาใหญ่ฟันกำไรไปแล้วเหนาะๆ ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท
ส่วนเงินกำไรนั้นจะไหลไปเป็นท่อน้ำแดงของใครหรือเปล่า เป็นหน้าที่รัฐต้องไปติดตามถามไถ่
เพราะตัวเลขที่เพิ่มขึ้น 300% ภายในสองเดือน เป็นความผิดปกติที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ควรสอดส่องดูแลและเข้าไปตรวจสอบ หากชื่อย่อ “ก.ล.ต.” จะไม่ได้หมายความว่า “กูหลับตา”
ข้อมูลที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือ เจ้าของหุ้นดังกล่าวเดินทางไปยังประเทศกัมพูชาในวันที่ 16-17 ธันวาคม 2552 ช่วงเดียวกับที่นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร พำนักพักพิงป่วนบ้านเมืองอยู่ที่กัมพูชาในระหว่างวันที่ 13-22 ธันวาคม 2552
ช่วงเวลาเดียวกัน สถานที่เดียวกัน กับคนคุ้นเคยสองคนที่เคยทำมาหากินร่วมกันมาโดยตลอด มีอะไรให้ติดตามมากกว่าแค่การจิบไวน์แลกเปลี่ยนความเห็นบนโต๊ะอาหาร เพราะเสียงสนทนาที่ลอดเร้นออกมานั้นฟังดูแล้วน่าตกใจสำหรับประเทศไทย
เนื่องจากสองบุรุษผู้คิดจะกุมบังเหียนบ้านเมืองร่วมวางแผนกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหว และแหล่งเงินที่จะนำมาใช้หมุนเวียนหล่อเลี้ยงขบวนการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง โดยชี้นิ้วจิ้มไปที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่าจะเป็นแหล่งเงินสำคัญในการดูดซับมาเป็นทรัพยากรในการเคลื่อนไหว
“เงินหาไม่ยากหรอก เข้าไปปั่นในตลาดแป๊บเดียวก็ได้แล้ว เลือกหุ้นซักตัว ถ้าขาดทุนมาเอาที่ผม”
เป็นคำประกาศที่อหังการยิ่งของคนที่เคยได้ชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อตลาดหุ้น และเป็นนักปั่นหุ้นตัวยงในยามที่มีอำนาจ อันเป็นที่มาของหุ้นการเมืองในยุคระบอบทักษิณ
จะเป็นด้วยเหตุนี้หรือไม่สุดจะเดา เพราะหลังจากเสี่ยคนดังกลับแผ่นดินไทยเพียง 5 วัน ในวันที่ 22 ธันวาคม ราคาหุ้นก็เริ่มขยับจากเดิมไม่ถึงบาทมาอยู่ที่ 1.22 บาท และขยับอย่างต่อเนื่องไต่ระดับทะยานสูงถึง 3.24 บาท ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ดังที่กล่าวแล้วในข้างต้น
ความน่าสนใจของเสี่ยใหญ่ชื่อดังคนนี้ มิได้อยู่เพียงแค่เป็นเจ้าของหุ้นที่ราคากำลังทะยานอย่างผิดปกติเท่านั้น แต่ยังเป็นเจ้าของกิจการสิ่งพิมพ์ ซึ่งแนบแน่นอย่างยิ่งกับบรรดาคนข่าวชื่อดังของวงการสื่อหลายนาม และระดมพลถล่มรัฐบาลอภิสิทธิ์ และพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อย่างหนักหน่วงทุกคอลัมน์ ขณะเดียวกันจะทำหน้าที่ปกป้องนักโทษชายทักษิณอย่างเข้มข้น
ความเชื่อมโยงแห่งสายสัมพันธ์ระหว่างเสี่ยคนดังกับนักโทษชายทักษิณ ยังสืบสาวไปถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของ “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” ผู้ถูกเลือกให้รับบทแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ แต่วันนี้เขากลับผันตัวเองเป็นแค่ผู้กระเหี้ยนกระหือรือหวังพิชิตปลิดนารีผลเข้าเส้นเท่านั้น
ความสัมพันธ์สองเส้าระหว่างเสี่ยคนดังกับนักโทษชายทักษิณ ดูจะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เพราะเป็นที่รับทราบกันดีในแวดวงการเมืองว่า ความสนิทชิดเชื้อของทั้งสองคนอยู่ในระดับแนบแน่นเพียงใด จึงไม่แปลกที่คนในเครือข่ายทักษิณจะวนเวียนไปพบปะถึงขั้นใช้รีสอร์ตของเสี่ยจัดงานใหญ่ของเสื้อแดงมาแล้ว
ไม่เพียงเสื้อแดงเดินเข้า-ออกกันชนิดหัวบันไดไม่แห้งเท่านั้น พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดงก็เป็นอีกหนึ่งเครือข่ายที่กอดคอจิบไวน์กับเสี่ยด้วยเช่นเดียวกัน แถมบางครั้งทำเสียวสไตล์เสธ.เจ้าตำนานสงคราม วันดีคืนดีนึกครึ้มก็จะสาธิตการประกอบวัตถุระเบิดให้ดูซะงั้น
ส่วนจะเป็นการสาธิตก่อนการก่อเหตุการณ์ใดหรือไม่นั้น “เคทอง” ยังไม่ทำนายจึงมิอาจคาดการณ์ได้ แต่มีเสียงบ่นดังๆ ประสาอาเสี่ยที่ชินกับการจิบไวน์นับเงินมากกว่าสูดกลิ่นซีโฟร์ให้หลายคนได้ยินว่า “ชอบมาสาธิตประกอบระเบิด ตูมตามขึ้นมาจะทำยังไง”
แม้จะอิดหนาระอาใจอยู่บ้างกับพฤติกรรมอวดภูมิของเดนสงคราม แต่การแสดงจำอวดนั้นก็ไม่เคยสูญเปล่า
เครือข่ายอาเสี่ยใต้เงานักโทษชายทักษิณยังสยายปีกไปถึงเจ้าของสื่อวิทยุรายหนึ่ง คือ “เสี่ยแสง” เจ้าของบริษัทธุรกิจวิทยุ ซึ่งเคยมีวีรกรรมให้คนตั้งข้อสังเกตในการถอดรายการ “มุมมองของเจิมศักดิ์” มาแล้วในยุคที่ จักรภพ เพ็ญแข เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ปัจจุบัน “เสี่ยแสง” ยังทำมาหากินบนหน้าปัดวิทยุ แต่ถูก สาทิตย์ วงศ์หนองเตย เตะกระเด็นจากคลื่น 105 ปรับเปลี่ยนเป็นคลื่นสีขาวเพื่อเด็กและเยาวชนแทน แต่ด้วยคอนเนกชันสุดยอดทำให้เหนียวยิ่งกว่าตีนตุ๊กแกจึงยังคงทำคลื่นข่าวและยังใจดีจัดพื้นที่ให้ เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ได้จัดรายการทางคลื่นวิทยุนี้ด้วย ไม่เพียงเท่านั้นยังอารีอารอบให้ เรืองไกรได้รู้จักโลกสุขนิยมเคล้าคลึงของคาวสดๆ ขาวๆ
เมื่อรสนิยมตรงกัน การพูดคุยเกลี้ยกล่อมจากแกะดำให้กลายเป็นแกะแดงจึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ด้วยสายสัมพันธ์เดียวกันนี้ได้เชื่อมต่อไปจนเป็นที่มาของพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของ เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ
ถึงขั้นมีคำสัญญาระหว่างกันว่า หากยอมหันไปสนับสนุน ทักษิณ ชินวัตร ก็จะมีโอกาสได้นั่งแท่นเป็นเสนาบดีกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง เมื่อฟ้าเปลี่ยนสี
วันนี้ฟ้ายังสีเดิม มีแต่คนที่แปรสภาพเป็นจิ้งจกเปลี่ยนสีแล้วยังแอบพรางตัวเองว่าเปี่ยมอุดมการณ์ ทั้งที่ความจริง เรืองไกร ก็อยู่ห่างไกลจากของแท้มานานอักโขแล้ว
ถ้อยคำที่ผู้คนเรียกขานอย่างยกย่องว่าเป็นแจ็กผู้ฆ่ายักษ์ จากการนำเสนอหลักฐานการเป็นลูกจ้างทำรายการชิมไปบ่นไป จน สมัคร สุนทรเวช ตกเก้าอี้นายกฯ นั้น แท้จริงแล้วเขามิใช่แจ็ค เป็นเพียงคนที่ถูกเลือกให้สวมบทแจ็คเท่านั้น!
คนที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุด คือ พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รองผู้ว่าสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน มือขวาของคุณหญิงเป็ด (คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา) ผู้ซึ่งเคยถูกระบอบทักษิณกลั่นแกล้งสั่งย้ายจากตำแหน่ง ผอ.สำนักสอบสวนพิเศษ สตง.ให้ไปอยู่อุบลราชธานีภายใน 24 ชั่วโมง ทั้งๆ ที่ในขณะนั้นบิดาของพิศิษฐ์นอนป่วยหนักอยู่ในห้องไอซียู
พิศิษฐ์ ถูกกาหัวเป็นศัตรูตัวยงของระบอบทักษิณ จากการทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตของรัฐบาลขณะนั้นอย่างตรงไปตรงมา และเป็นเขาคนนี้แหละที่นำหลักฐานการหักภาษี ณ ที่จ่ายของ สมัคร สุนทรเวช จากกรมสรรพากรเขต 2 มาตีแผ่ใน สตง.
แต่โดยอำนาจหน้าที่แล้วการกระทำผิดดังกล่าวมิได้อยู่ในสายงานของ สตง.ที่จะเข้าไปตรวจสอบดำเนินการ เรืองไกร ซึ่งมีความสนิทสนมกับคุณหญิงจารุวรรณเช่นเดียวกัน จึงถูกเลือกให้สวมบทแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ เดินเกมร้องเรียนจน สมัคร หลุดจากเก้าอี้ในที่สุด
เนื้อหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายล้วนแต่มีคนตั้งต้นให้ทั้งสิ้น มิใช่ว่า เรืองไกรใช้วิชาความรู้ และความช่างสังเกตในฐานะผู้ตรวจสอบบัญชีอย่างที่พยายามอวดอ้าง
สังคมการเมือง มักมีเรื่องน่าเศร้าที่ท้าทายความเป็นมนุษย์ให้เราเห็นอยู่เสมอ จนเรามิอาจแน่ใจได้เลยว่า คนดีในวันนี้จะเป็นแค่คนที่เคยคิดว่าดีในวันข้างหน้าหรือไม่
แต่ที่น่าเสียดายสำหรับผู้ชายที่ชื่อ เรืองไกร คือ หากพฤติกรรมที่เปลี่ยนสีไปเกิดจากการขาดความยับยั้งชั่งใจ จนขาดความละอายในการก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างคุณธรรม จริยธรรมไปสู่ตัณหา ความโลภโมโทสัน
ดังที่ปรากฏข้อมูลออกมาจริง เขาจะยังส่องกระจกให้ความเคารพในตัวเองได้อย่างเต็มภาคภูมิหรือไม่!!?